Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Cinderella ตอนที่ 1 ค่ะ ติดต่อทีมงาน

จากทู้ที่แล้วที่ชวนมาอ่าน มีคนแนะนำให้ลองเอาเรื่องมาลงเลยแทนที่จะเป็นลิ้งค์ ก็เลยทำตามที่บอกค่ะ รบกวนด้วยนะคะ

___________________________________________________

ฉันไม่เคยมองว่าชีวิตของตัวเองเป็นเทพนิยาย..

บางครั้งฉันอ่านหนังสือที่ตัวเอกพยายามจะบอกว่าชีวิตของเขานั้นช่างยอกย้อนซับซ้อนเหมือนละครฉากใหญ่ หรือเทพนิยาย หรืออะไรเทือกๆ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ฉันไม่เคยปฏิเสธ แต่เฮ้... ดูฉันสิ ชีวิตฉันก็ออกจะประหลาด แต่ฉันไม่เคยมองว่ามันเป็นเทพนิยายหรืออะไรเลยนะ

อาจเป็นเพราะชีวิตวัยเด็กของฉันกับพวกเขาคงต่างกันนิดหน่อย พวกเขาอาจจะโตมากับห้องนอนทาสีชมพู เตียงนอนนุ่มนิ่มลายการ์ตูนรูปหมี ซึ่งฉันไม่เคยเข้าใจว่าทำไมถึงมีคนคิดว่าน่ารัก ตอนเล็กๆฉันโดนมันวิ่งไล่ครั้งหนึ่ง ฉัน ‘เกลียด’ มันไปเลย อ้อ..ใช่ แล้วไงนะ หนังสือนิทานสีสวยตั้งเป็นชั้นตรงผนังใช่ไหม อันนั้นฉันเคยเห็นในหนัง มีไอ้โน่นไอ้นี่กุ๊กกิ๊กเต็มไปหมด ทั้งหมดดูนุ่มหยุ่นหวานแหวว และแน่นอน มันเป็นสีชมพูเทือกไปหมด เห็นแล้วมันก็น่าเกลือกกลิ้งเล่นดีหรอกนะ แต่มันดูไม่จริงเลย ฉันหมายถึง เอาจริงๆสิ ใครจะมีห้องนอนอย่างนั้นกัน โอเค.. พวกคุณบางคนอาจจะส่ายหน้าไม่เห็นด้วย แต่อย่างน้อยฉันก็เชื่อว่าห้องนอนเด็กไม่มีทางเป็นสีชมพูจนอายุสิบสามแน่ะ..

ทำไมน่ะเหรอ.. นึกภาพตามละกันนะ ผนังห้องอันแรกและอันเดียวที่ฉันจำได้คือไม้ซุง ที่นอนของฉันมีสีเดียวตลอดกาลคือสีตุ่นๆและความนุ่มนวลระดับผ้ากระสอบ จริงๆมันไม่เชิงว่าที่นอนหรอก มันเป็นผ้าแข็งๆที่ซ้อนๆกันสองสามชั้น หมอนประจำของฉันคือกระเป๋าเป้ใส่ของที่สามารถเลือกความนุ่มนวลได้ตามของที่ใส่ และด้านซ้ายของมันมีซิปอันโตและที่รัดของ คุณจะตะแคงหน้าไปทางซ้ายไม่ได้เพราะมันเจ็บ จะขยับย้ายมันเดี๋ยวจะไม่ได้ความนุ่มอย่างที่ควรเป็น ซึ่งทำให้ฉันติดนอนตะแคงขวาจนถึงทุกวันนี้  เตียงนอนของฉันคือทุกที่ ทุกที่จริงๆตามตัวอักษร ที่จำได้ดีคือพื้นแคร่ที่ทำจากไม้ซุงที่ทำสูงขึ้นจากพื้นเพราะหนีหิมะตอนหน้าหนาว นอกนั้นก็เป็น ใต้ต้นไม้ พื้นดิน พื้นหิน บนต้นไม้ ทุกที่เท่าที่คุณจะนึกออก

ถึงตรงนี้หลายคนคงคิดออกแล้วว่าฉันโตที่ไหน ถ้าคุณกำลังคิดว่าในป่า คุณคิดถูกต้องแล้ว พ่อของฉันเป็นนายพรานล่าสัตว์ ปีๆนึงพ่อก็จับฉันใส่เสื้อขนสัตว์กระเตงข้ามภูเขาล่ากวางบ้าง เสือบ้าง พอฉันเริ่มเดินได้พ่อก็หัดให้ปีนเขา พอฉันปีนเขาได้พ่อก็ยัดเยียดให้ถือปืน บางครั้งฉันเป็นคนยิง บางครั้งพ่อยิง บางครั้งเรานึกสนุกก็ถือมีดกันคนละเล่มแข่งกันล่ากวาง บ้านของฉัน หมายถึงของเรา ฉันกับพ่อน่ะ คือจริงๆที่ถูกควรเรียกว่ากระท่อม เพราะมันไม่มีกั้นห้อง มีแต่แคร่ที่ยกขึ้นไปเป็นเตียงฉัน ข้างล่างปูแคร่อีกอันเป็นเตียงพ่อ เสื้อผ้าเราอัดๆไว้ในกระเป๋า ครัวเราอยู่นอกกระท่อม ตอนกลางคืนก็จุดตะเกียง เราไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกหรือเสริมสร้างจินตนาการอย่างทีวี ฉันฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือที่อพ่ออัดๆไว้ใต้พื้นกระท่อม ส่วนพ่อฆ่าเวลาด้วยการก่อไฟดื่มเหล้าหน้ากระท่อม พ่อชอบเมา ฉันคิดว่าอย่างนั้น เพราะเมื่อล่าสัตว์ได้เงินมาบ้างก็จะปรี่มาเมาทันที

พ่อเมาบ่อย และชอบพูดอะไรแปลกๆ บางครั้งพอเมาแล้วก็ทำตัวแปลกๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนฉันเจ็ดขวบ ฉันกำลังนอนหลับสนิท จู่ๆก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากลงจากเตียงแล้วตกแอ้กกระแทกกับพื้น ไม่ทันตั้งตัวกำปั้นหนาก็ลอยมาเข้าเบ้าตา มึนจนเห็นดาวเลย ฉันคลานหนี จมูกได้กลิ่นเหล้าตลบ หันไปเห็นพ่อหน้าแดงก่ำ หัวคิ้วขมวด ตาเขียวปั้ดดุร้ายเหมือนคนบ้า พอรองเท้าบู้ทๆหนาๆของพ่อทำท่าจะลอยมา ฉันก็หลบเป็นพัลวัน ฉันหลบหลีกวิ่งหนีออกนอกกระท่อมได้ก็โกยแน่บเข้าไปในป่าลึก ซุกตัวนอนกับใบไม้แห้งป้องกันความหนาวหนึ่งคืนเต็มๆ พอสายโด่งถึงกลับด้วยเบ้าตาเขียวปั้ดและรอยช้ำม่วงเป็นวงกว้างที่ท้องเพราะโดนปลายบู้ทพ่อถากเอา

พ่อยืนอยู่หน้ากระท่อม สร่างแล้ว และสีหน้าไม่สู้ดีนัก คือไม่สู้ดีแบบอ้วกแตกไปสองสามหนกับรู้สึกผิดแทบแย่ปนๆกัน พอฉันเดินตัวงอกลับมา สิ่งแรกที่พ่อทำคือยื่นรีวอลเวอร์ให้ฉันหนึ่งกระบอก บรรจุหกนัด ฉันจำได้ว่าเป็นปืนเก่าเก็บของพ่อ หวงมากจนไม่ยอมให้ฉันแตะ แล้วพ่อก็พูดสิ่งที่ใกล้เคียงคำขอโทษที่สุดเท่าที่เขาจะพูดได้

“คราวหลังถ้าพ่อเมาแล้วตีหนูอีก ยิงพ่อให้ตายเลยนะ”

ปืนกระบอกนั้นบรรจุลูกไว้เต็มหกนัด พ่อแถมกระสุนมาให้ด้วยอีกกล่อง ศูนย์ดีมาก น้ำหนักกำลังเหมาะ แค่จับยังไม่ทันลองยิงก็รู้ว่างานปราณีตขนาดไหน ฉันรับมาอย่างกล้าๆกลัวๆ ที่ผ่านมาแม้จะเคยถือปืนพ่อ แต่ไม่เคยได้เป็นของตัวเอง พอรับปืนเช็คลูกเรียบร้อยพ่อก็พาฉันไปหลังกระท่อมให้หัดยิง วันนั้นพอสอนฉันชกมวยเป็นครั้งแรก

สองสามเดือนต่อมา พ่อเมาอีก และกระชากฉันลงมาซ้อมอีก ฉันยิงสวนตามที่พ่อบอก แต่ใจไม่แข็งพอจะยิงที่สำคัญ พ่อโดนแขนไปเต็มๆหนึ่งนัด แต่สติไมยอมกลับ ฉันเลยคว้ามีดที่อยู่ใกล้มือเสียบหน้าแข้งไปอีกหนึ่งที แล้วดึงขาให้ล้ม พ่อหมดสติ ฉันต้องเลยต้องนั่งปฐมพยาบาลให้ พอฟื้น รู้เรื่องทุกอย่างแล้วพ่อก็รับปากว่าถ้าหายดีเมื่อไรจะสอนฉันใช้มีดอีก

หลังจากนั้นหลายปี ฉันอายุสิบสอง พ่อพาฉันออกมาจากป่า เราย้ายออกมาที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง ฉันตื่นเต้นมาก เรามีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรก เรามีรถยนต์ใช้เป็นครั้งแรก และในที่สุดเราก็มีทีวี ร้านหนังสือและอินเทอร์เนตคาเฟ่อยู่ใกล้จิ๊ดเดียว พ่อบอกฉันว่าคราวนี้เราจะไม่ล่าสัตว์แล้ว เราจะล่าคนกัน ฟังน่ากลัวจนฉันต้องถามว่าต้องยิงเลยมั้ย พ่อหัวเราะแล้วบอกว่า

“ไม่ต้องยิงหรอก ทวีทตี้ เราจะจับเขาไปส่งตำรวจน่ะ”

นั่นแหละสิ่งที่ฉันทำมาตลอด ล่า..กิน ล่า..ขาย ล่า..ส่งตำรวจ ฉันทำมาหากินแบบนี้แหละ จนถึงทุกวันนี้ที่พ่อของฉันจากไปแล้ว ฉันก็ยังทำเหมือนเดิมเหมือนเป็นประเพณี จริงๆก็ไม่เหมือนไปซะทุกอย่างหรอกนะ คือตอนที่พ่ออยู่เรามีบ้านใช่ไหม ถึงแม้เราจะไม่ค่อยอยู่แต่เราก็มี ตอนนี้ฉันมีแต่รถยนต์เก่าๆคันเดียว เสื้อผ้าหนึ่งกระเป๋า ปืนสั้นหนึ่งกระบอก ปืนพกสองกระบอก และ 6 มม. ที่เป็นของที่ระลึกเก็บไว้ในกล่องพร้อมกระสุน หนังสืออีกเจ็ดแปดเล่มกองเบาะข้างๆไว้อ่านแก้กลุ้ม โทรศัพท์มือถือ และแลปทอป

สามปีที่ฉันทำงานคนเดียว บางครั้งฉันก็ขับรถไปที่โรงเรียนมัธยม จอดดูเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันขึ้นรถโรงเรียนกลับบ้าน บางครั้งฉันก็ขับไปจอดที่ลับตาคนนอนมองดาวดื่มเหล้าที่พ่อเคยดื่ม บางครั้งเบื่อๆฉันก็ใช้เงินทีหาได้เช่าโฮเต็ลนอนอ่านหนังสือหลายๆวัน

จากคุณ : รถขนมปังกรอบ
เขียนเมื่อ : 6 พ.ค. 55 16:58:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com