Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หัวใจก้นครัว ๔๗-๔๘-๔๙ (แก้ไขใหม่) ติดต่อทีมงาน

บทที่  ๔๗

         “เชฟ ทำใจดีๆไว้นะคะ เราต้องไม่เป็นอะไร ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มีสิตาอยู่ทั้งคน สิตาจะไม่ปล่อย ให้เราเป็นอะไรง่ายๆหรอกค่ะ !”
สิตา พูดโพล่งขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ท่ามกลางความเงียบ เงียบเสียจนหล่อนเองก็อดประหวั่นพรั่นพรึงภายในใจไม่ได้เช่นกัน

         คำบอกเล่าของทับทิม ที่เคยเล่าให้หล่อนฟัง ถึงเรื่องราวของภัทร ในอดีตที่เขาเคยเป็นโรคหวาดผวาไฟไหม้ จากเหตุการณ์ในสมัยวัยเด็ก รวมถึงครั้งที่สูญเสียเคี้ยงไปเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว ลอยเข้ามาในหัวของสิตา

          เสียงระเบิดครั้งที่สอง ดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าคงไม่ห่างจากจุดแรกเท่าใดนัก ไทยทัศน์มีบางส่วนที่ตกแต่งด้วยไม้สัก ทำให้ไฟลุกลามไปไวกว่าที่คาด เสียงระเบิดตัวของไม้ที่ปะทุไฟ ดังเปรี๊ยะขึ้นมาอย่างน่าใจหาย

         เพ้ง สลบไปด้วยความบอบช้ำ จากการถูกรุมซ้อม ตั้งแต่ก่อนที่จะถูกลากตัว มามัดไว้ในห้องทำงานของภัทรแล้ว
ขณะนี้ ภายในห้องที่เงียบสงัด จึงมีแต่เพียงเสียงลมหายใจของภัทร ที่ฟึดฟัด และขาดช่วง ด้วยความหวาดกลัว จนทำให้สิตา เข้าใจถึงห่วงที่ทับทิมกังวลใจ ก่อนที่จะฝากฝังให้หล่อนดูแลภัทรแทนนาง หลังจากสิ้นใจ

         แม้ว่าจะถูกพันธนาการไว้แน่นหนาเพียงไหน แต่กำลังใจของสิตา ก็กลับเข้มแข็งมากขึ้น เป็นเท่าตัวด้วยเช่นกัน หญิงสาวพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะให้อยู่กับตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หล่อนพูดให้กำลังใจทั้งภัทรและตัวเองว่า

           “เราต้องมีความหวังนะคะเชฟ อีกเดี๋ยว นายรักก็จะพาคน มาช่วยพวกเรา ออกไปจากที่นี้แล้วอดทนอีกนิดนะคะ เข้มแข็งไว้นะคะ คนดีของสิตา...”

           ภัทร สะอึกสะอื้น ร่ำไห้โฮออกมาเสียงดังอย่างหมดท่า ราวกับเด็กน้อย ด้วยความหวาดกลัว เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย ทั่วทุกตารางของความคิดในหัวสมองของเขา ขณะนี้ล้วนแล้วแต่ถูกจับจองไปด้วยความหวาดกลัวทั้งหมดทั้งสิ้น

          “สิตา คุณอย่าทิ้งผมไปน้า... ฮือ...ฮือ... อย่าทำให้ผมเสียใจเหมือนกับคนพวกนั้น คนที่ผมรักและไว้ใจ แต่พวกเขากลับทำร้ายผม เหมือนกับว่าผมไม่เคยมีความดี ในสายตาพวกเขาเลย...ฮือ...ฮือ...”

          สิตา ที่พยายามดิ้นรน ให้หลุดพ้นจากมัดเชือกที่รัดตรึงไว้แน่นหนา แต่ก็ทำได้แค่เพียงทำให้มันคลายตัวลงไป เท่านั้นเอง หญิงสาวจึงเลื่อนมือลง ใช้หลังมือของตนแตะมือของภัทรที่ถูกมัดไว้อีกด้านหนึ่งของเสา เพื่อถ่ายทอดกำลังใจของหล่อนไปยังเขา

          “ไม่จริงหรอกค่ะ เชฟเป็นคนที่ดีที่สุด เท่าที่สิตา เคยพบเจอมา ไม่เคยมีใครคิดทำเพื่อคนอื่นได้มากเท่าเชฟแล้วละค่ะ เชฟเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างมาให้พวกเรามากมาย ยังมีอีกหลายคนที่ซาบซึ้งในความดีของเชฟนะคะ”

          ภัทร ไม่ตอบอะไรออกมา จากเสียงฟึดฟัดที่เงียบไป ทำให้ สิตา เริ่มใจหาย กลุ่มควัน เพิ่มมากขึ้น จนยากที่จะหายใจ หล่อนเริ่มสำลักควันนั้นบ้างแล้ว หล่อนตะโกนร้องออกมาเสียงดัง หวังให้เขาได้สติกลับคืนมา

           “เชฟ ! เชฟ ! ฟังสิตา อยู่รึเปล่า ? ไหนสัญญากับสิตาไว้ว่า จะเข้มแข็ง จะไม่ทำให้สิตาเสียใจอีกแล้วไง ตื่นขึ้นมา อย่าไปยอมแพ้ ไอ้พวกบ้าพวกนั้น พวกนั้นเอาชนะเราไม่ได้หรอก !...”

           ภัทร รับรู้ถึง เสียงตะโกนของสิตา ได้อย่างเลือนลางเต็มที เขารู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน เหนื่อยจนอยากหลับตาพักอย่างนี้ไปจนชั่วนิรันดร์ เขาหวังไว้ในใจว่า อีกไม่นาน เขาคงจะได้พบกับคนที่เขารักและคิดถึง อย่างโกเคี้ยง ทับทิม แม่พลอย หรือพ่อเภา ท่านปู่ ท่านย่า หรือใครก็ได้ที่รักเขา ไม่ทำให้เขาเสียใจอย่างที่เป็นอยู่…

           เสียงโครมครามดังขึ้นที่หน้าห้อง จากนั้น ชายในชุดคลุมสีส้มสะท้อนแสงพร้อมด้วยหมวกหน้ากากนิรภัยครบชุด ก็วิ่งฝ่าเปลวเพลิงและกลุ่มควัน เข้ามาถึงในห้องทำงานของภัทรได้สำเร็จ

           ท่ามกลางความโกลาหล แต่ภัทรก็พยายามรวบรวมสติที่มีเหลือน้อยนิด ร้องบอกให้เจ้าหน้าที่คนแรก พาเพ้งออกไปก่อน ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่กำลังจะเข้ามาช่วยเขาและสิตา สติของภัทรที่รวบรวมไว้เฮือกสุดท้าย ก็ใกล้จะขาดผึงลงไป หูที่อื้ออึงของเขาได้ยินเสียงสิตาที่ตะโกนออกมาอย่างสุด แต่แปลกที่เขากลับรับรู้ได้อย่างแผ่วเบาเหลือเกิน เหมือนเสียงของหล่อนจะไกลจากเขาไปทุกที...ไปทุกที...

           “เชฟ อดทนไว้นะคะ... อีกนิดเดียว... มีคนมาช่วยเราแล้ว...เรารอดแล้ว... เชฟอย่าทิ้งสิตาไปนะคะ.... เราจะต้องออกไปด้วยกัน...สัญญานะคะ ....”

         ภัทร รับรู้ถึงภาพของชายในชุดสีสะท้อนแสงเดินตรงมาที่เขาพร้อมอาวุธ ได้เพียงเท่านั้น ก่อนที่ทุกสรรพสิ่ง จะมืดดับไป จากสายตา อย่างอ่อนแรงเต็มที

         นายแพทย์มาลิพ เดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย พร้อมกับรักษภูมิและดีใจ ทั้งหมดเดินตรงไปยืนที่ข้างเตียงของภัทร

         “เชฟภัทร อาการปลอดภัยแล้วล่ะ แต่คงต้องพักฟื้นอยู่ในห้องไอซียูสักระยะ เพราะร่างกายของเขาบอบช้ำเกินไป อีกทั้งยังไม่ได้สติขึ้นมา อยู่ในห้องนั้น หมอจะได้ดูแลเชฟให้หายเร็วขึ้น” รักษภูมิ รายงานความคืบหน้า

       เมื่อได้รับทราบข่าวดีแล้ว สิตา จึงยิ้มออกมาได้อย่างโล่งใจ เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ไทยทัศน์เมื่อคืนแล้ว  หล่อนก็ถูกกันตัวออกมาพักรักษาตัวในห้องผู้ป่วยพิเศษทันที เคราะห์ดีที่หล่อนไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอะไร นอกจากมีรอยถลอกฟกช้ำเพียงเล็กน้อย จากการฉุดกระชากลากถู ในช่วงชุลมุน และอาการอ่อนเพลีย จากการถูกขังอยู่ในห้องที่มีแต่เปลวเพลิงและควันไฟ เพียงเท่านั้น

       “แล้วไปไหนกันมาล่ะ ?” สิตา ถามด้วยความสงสัย เมื่อมีโอกาสอยู่กันเพียงลำพัง กับรักษภูมิและดีใจ

        รักษภูมิ มองหน้าดีใจ ก่อนที่จะตอบออกมาด้วยเสียงนิ่งเรียบ ราวกับเรื่องที่กำลังจะเอ่ยไม่ได้มีความสลักสำคัญเท่าใดนัก ต่างจากเนื้อความที่ได้ถ่ายทอดอย่างสิ้นเชิง

          “ไปโรงพักมาน่ะ พอดีผู้การสามีเจ๊ต้อย ท่านโทรตามให้ไปดูการสอบสวน พวกที่ตำรวจรวบตัวไว้ได้ตั้งแต่เมื่อคืน จริงๆแล้ว คนที่เป็นหนอนบ่อนไส้ในไทยทัศน์ เราก็รวบตัวไว้ได้หมด จะขาดก็เพียงแต่สองแม่ลูกและพวกบอดี้การ์ด ที่ติดตามกันมากลุ่มหนึ่งเท่านั้น”

          สิตา นิ่งฟังอย่างเงียบๆ ไม่แสดงอาการอะไรออกมา ทำให้ ดีใจ อดรู้สึกโมโหแทนไม่ได้ จึงโพล่งออกมาตามนิสัย

        “นึกดูแล้วก็ยั๊วะ ไอ้พายุ  พี่ภัทรดีกับมันมากแค่ไหน ขนาดตั้งใจจะฝากให้มันไปทำงานที่เมืองนอก หลังจากที่เรียนจบแล้ว มันยังทำกันได้ลง !”

        สิตา ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ถือสา ก่อนจะบอกดีใจว่า “สิตาว่า พายุเขาคงไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นหรอก อย่าไปโกรธเขาเลยดีใจ”

        “ก็จริงของเธอนะ แต่มันไม่น่าจะมาถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างยัยเปียโน หลอกใช้เอาได้ง่ายๆ ไอ้เราก็เห็นมันแอบชอบอยู่ ยังแอบเชียร์ให้จีบอยู่หลายหน ไม่นึกเลยว่า มันจะโดนยัยนั่นปั่นหัวไปซะแล้ว ตัวโตซะเปล่า สมองไม่ยักโตไปด้วย” ดีใจ ยังพูดด้วยอารมณ์แค้นอยู่ แต่น้ำเสียงอ่อนลงไปมาก

        รักษภูมิ ถือโอกาส แทรกเรื่องราว เมื่อไม่มีใครว่าอะไรออกมาอีก

        “แต่เปียโนเอง ก็คงถูกแม่บังคับให้ทำแบบนี้เหมือนกัน นึกดูแล้วก็น่าเห็นใจนะ ต้องอยู่กับแม่ที่เอาแต่คิดจะแก้แค้น จากเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิด คงจะลำบากใจน่าดู มิน่าล่ะ ถึงทำท่าทำทางแปลกๆออกมาหลายครั้ง”

          “แล้วตอนนี้ พายุเป็นยังไงบ้างล่ะ ?” สิตา ถามถึงด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง

         “ก็นอนอยู่ในซังเตน่ะซี่ หมดอนาคตไปเรียบร้อย มันยังจะมีหน้ามาออกรับแทน ยัยเปียโนอีกนะ กะว่าจะทำแมนงั้นเถอะ บอกว่า ผมทำเองคนเดียวทั้งหมด ! ฮีโธ่ ! อยากให้เห็นตอนพ่อกับแม่ของมันมายืนเกาะลูกกรงร้องไห้ ขนาดเรายังอดสงสารไม่ได้เลย นี่ละน้า...ความรักมันทำให้คนตาบอดแบบนี้นี่เอง เฮ้อ !”

        ดีใจ เล่าถึงคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรัก อย่างออกรส

        “แล้ว สองคนแม่ลูก หนีรอดไปได้ยังไงกัน พอจะรู้เรื่องบ้างไหม ?” สิตาถามถึง ไดอาน่าและเปียโน อย่างเป็นห่วงด้วยเช่นกัน

         รักษภูมิ มองดีใจอย่างเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะบอกออกมาว่า

         “สิตา อย่าไปฟังดีใจ มันเยอะนัก พายุ มันไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก มันก็แอบบอกเราว่า หลังจากที่จับเชฟ สิตา และพี่พงศ์ ไปไว้ในห้องทำงานแล้ว ก็เกิดมีการชิงตัวสองแม่ลูกนั่น โดยกลุ่มคนจากไหนไม่รู้ แต่เปียโนแอบกระซิบบอกมันว่า เป็นคนของคุณตา อะไรเนี่ยล่ะ มาชิงตัวขึ้นเรือไป คาดว่าคงจะหนีออกไปทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา ประมาณนี้ละมั้ง ส่วนพวกที่เหลือก็ขึ้นรถตู้ที่เตรียมไว้แต่แรก แต่ว่าไปไม่รอดซะก่อน ก็พวกเราเล่นดักทางออกไว้หมดแล้ว”

           เมื่อถูกเบรกจนหัวคะมำแล้ว ดีใจ จึงกลับลำ ขอเล่าเรื่องต่อเอง อย่างเอาหน้ากับสิตาบ้าง

          “สิตา รู้มั้ย พายุ มันไม่ได้ขึ้นรถตู้หนีไปกับ พวกพี่สุรักษ์หรอกนะ มันรอดูว่า พวกเธอปลอดภัยไหม ตอนที่ตำรวจเข้าไปรวบตัว มันก็ยอมแต่โดยดีนะ ไม่คิดจะขัดขืนอะไรเลย เห็นมันบอกไว้ว่า เปียโน ขอร้องให้มันช่วยดูแล ก่อนจะถูกลากตัวไปขึ้นเรือ และตัวมันเองก็รู้สึกผิดด้วยเหมือนกัน”

           “แล้ว พายุ จะต้องติดคุกไหม ?” สิตา ซักต่อ

           รักษภูมิ ระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักใจ ก่อนจะบอกออกไปว่า

            “คงจะต้องรับโทษน่ะแหละ แต่จะหนักจะเบา ก็คงต้องดูรูปคดี และที่สำคัญคือ ต้องรอให้เชฟฟื้นขึ้นมาเสียก่อน จากนั้น คงจะได้รู้กันว่าพวกนั้น จะได้รับโทษมากน้อยเพียงไหน”

            เสียงเคาะประตูเบาๆ ทำให้ทั้งหมดยุติบทสนทนาไว้เพียงเท่านั้น เมื่อนายแพทย์มาลิพ เดินเข้ามาอีกครั้ง เพื่อแจ้งข่าวดีกับสิตาว่า

            “สิตา ผลตรวจเช็คร่างกายอย่างละเอียดออกมาแล้วนะครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เราคิดว่า พรุ่งนี้ สิตาก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้วล่ะครับ”

         “แล้ว พี่พงศ์อาการเป็นยังไงบ้างคะ หมอลิพ ?” สิตา ถามขึ้นมา เมื่อนึกถึงเพ้งขึ้นมาได้

           “คุณพงศ์ แขนหัก ตอนนี้เข้าเฝือกเรียบร้อยแล้ว ส่วนอื่นก็มีเพียงอาการบอบช้ำ จากการได้การกระแทกเท่านั้น ส่วนด้านสมองไม่มีอะไรกระทบกระเทือน ตอนนี้ยังคงต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลสักระยะ แล้วก็คงกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้”

         สิตา ยิ้มให้รักษภูมิ ด้วยความโล่งใจ เพราะถ้าหากเพ้งเป็นอะไรมาก หล่อนคงรู้สึกผิด แทนภัทร ที่กำลังหมดสติอยุ่ในห้องไอซียูอยู่นั่นเอง

       หลังจากออกจากโรงพยาบาลได้เพียงหนึ่งวัน สิตาก็ต้องกลับมาทำงาน ตามตารางที่ได้วางไว้ก่อนหน้านี้ โชคดีที่หล่อนไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้เหมือนเดิม เพราะหากหล่อนยกเลิกการทำงาน หมายถึงทุกฝ่ายจะเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล

        งานในแต่ละวันก็แสนจะยุ่งวุ่นวาย สิตา ต้องเดินทางไปในหลายๆสถานที่ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งงานร้องเพลง ออกรายการโทรทัศน์ ถ่ายแบบ และสัมภาษณ์ตามหนังสือฉบับต่างๆ ซึ่งเป็นวิสัยของศิลปินในช่วงของการโปรโมต กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเข้าไปค่อนคืนหรือใกล้สว่าง จึงทำให้หล่อนไม่ได้มีโอกาสไปพบภัทรได้ตามที่ใจต้องการนัก

         แม้ว่าจะล่วงเข้าไป เป็นเวลาหนึ่งนาฬิกาของวันใหม่แล้ว แต่สิตาก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นภารกิจสำหรับวันนี้ ที่เต็มไปด้วยตารางนัดหมาย จะว่าไปหล่อนก็พร้อมที่จะรับมือกับงานที่แสนจะหนักหนาและวุ่นวายนี้ได้สบายอยู่แล้ว แต่พอมีเรื่องของภัทร ที่คอยแวบเข้ามาทำลายสมาธิ ในการทำงานของหล่อนอยู่เสมอ ทำให้ความตั้งใจในการทำงาน ลดหายไปมาก

         สิตา เคาะประตูห้องพักผู้ป่วยเดี่ยวพิเศษอย่างเบามือ ก่อนที่จะเปิดเข้าไปอย่างเงียบเสียงที่สุด รักษภูมิ ที่อาสามานอนเฝ้าภัทรอยู่นั้น ลุกขึ้นมากอดต้อนรับหล่อนด้วยความห่วงใย จากนั้นสิตาก็เดินมาหยุดที่ข้างเตียงของภัทร แล้วถามรักษภูมิ อย่างเบาเสียง ด้วยความเกรงใจว่า

         “เชฟ ยังไม่ฟื้นเลยหรือ แดง ?”

        “ฮื่อ... ก็อย่างที่เห็นล่ะ มีบางครั้งที่เหมือนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองนะ แต่จู่ๆก็เงียบกลับไปเหมือนเดิม เราเองก็จนปัญญา คงต้องรอ อย่างเดียวเท่านั้นละมั้ง สิตา” รักษภูมิ ตอบคำถาม พลางส่งสายกังวลใจระคนห่วงใยมายังภัทร ที่นอนหลับสนิทอยู่ที่เตียง

          “นี่มันสิบวันแล้วนะ หมอว่ายังไงบ้างไหม ?” สิตา ถามต่อ ทั้งๆที่สายตาของหล่อนยังคงจับจ้องอยู่ที่ภัทร นอนนิ่งอย่างไม่วางสายตาเช่นกัน

          “ผลการตรวจเช็คอาการทั้งทางร่างกายและทางสมองโดยละเอียด ก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่พี่หญิงรัดเกล้า เธอบอกว่า เมื่อตอนที่เกิดเหตุของพ่อเปียโน ที่เชฟติดอยู่ในกองเพลิงแบบนี้ เชฟคงจะช็อค เพราะตอนนั้น เชฟก็นอนหลับไปแบบนี้ เป็นเดือนเลยนะกว่าจะฟื้น พอฟื้นก็ต้องมาเริ่มฟื้นความจำกันใหม่เลยทีเดียว หนนี้ไม่รู้ว่าจะนานแบบนั้นหรือเปล่า แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรมันจะแย่ไปกว่าเดิมอีกมั้ย เราก็ได้แต่ภาวนา ขออย่าให้อะไรมันเลวร้ายไปกว่านี้เลย สงสารเชฟ”

          รักษภูมิ พูดจบ น้ำตาของเขาก็ไหลหยดลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความสงสารในโชคร้ายของภัทร

           แต่พอเห็นสิตา มองมา ชายหนุ่มก็รู้สึกตัวขึ้นมาได้ เขาจึงเส ออกตัวไปว่า

          “ไม่มีอะไรหรอก เราก็แค่สงสารเชฟเท่านั้นล่ะ อย่าไปใส่ใจเราเลยสิตา ช่วงนี้มันหดหู่ยังไงไม่รู้สินะ สงสัยจะเครียดที่ต้องอยู่ในห้องแบบนี้ทั้งวันละมั้ง”

         สิตา ได้แต่ยิ้มให้กำลังใจรักษภูมิ ก่อนจะพูดออกมาใจจริงว่า

         “สิตา ต้องขอบใจแดงมากเลยนะ ที่เสียสละเวลา มาเฝ้ามาดูแลเชฟที่โรงพยาบาล ถึงพี่หญิงจะหาพยาบาลพิเศษ แต่ก็คงจะดูแลเชฟไม่ได้ดี เท่ากับแดงทำหรอกนะ จริงๆแล้ว หน้าที่นี้ สิตา เสียอีกที่ต้องเป็นคนทำ แต่สิตากลับยุ่ง... ยุ่งอะไรก็ไม่รู้ จนไม่มีแม้กระทั่งเวลามาเยี่ยมเชฟได้เลย....” สิตา พูดได้แค่นั้น หล่อนก็ต้องหยุด ร่ำไห้สะอื้นออกมา ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากงานที่แสนยุ่ง และความเป็นห่วงในอาการของภัทร

          รักษภูมิ ร้องไห้อีกครั้ง ด้วยความเห็นใจในตัวเพื่อนรัก เขาเข้ามาโอบกอดหญิงสาวไว้อย่างเป็นกำลังใจ ก่อนจะพูดอออกมาว่า

           “จริงๆแล้วเราต่างหากที่ต้อง ขอโทษสิตา เราปล่อยให้สิตาทำงานคนเดียว ทั้งๆที่ตอนแรกเราให้สัญญากับพ่อ กับแม่ไว้แล้วว่า ถ้าเรียนจบ จะไปดูแลสิตา แต่เราก็ทำไม่ได้...”

          เมื่อได้ระบายความในใจของกันและกัน จนโล่งใจแล้ว รักษภูมิ ก่อนเอ่ยขึ้นมาเมื่อนึกอะไรได้

         “สิตา ทานอะไรมาหรือยัง สิตาดูผอมไปมากเลยนะ อ้อ ! วันนี้ ดีใจ เขาหัดทำซุปครีมเห็ดตามสูตรของหนูนา รสชาติดีทีเดียว กินซะหน่อยแล้วกันนะ เดี๋ยวเราไปอุ่นมาให้ ทานอะไรบ้างเถอะ ทำงานยุ่งมาทั้งวัน” เมื่อพูดจบ รักษภูมิก็เดินหายเข้าไป ในห้องเล็กด้านหน้า อย่างคล่องแคล่ว

          ในความเป็นจริงสิตา ไม่มีความปรารถนาที่จะรับประทานอาหาร ในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย แต่ที่หญิงสาวไม่เอ่ยปฏิเสธรักษภูมิ ก็เพียงเพราะว่า หล่อนอยากจะมีความเป็นส่วนตัว ขอให้หล่อนได้อยู่ตามลำพังกับภัทรบ้าง สักชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี แม้ว่าภัทรจะไม่รับรู้อะไรได้ในตอนนี้เลยก็ตาม

          สิตา เดินเข้าไปยืนที่ข้างเตียงของภัทรอีกครั้ง หล่อนค่อยๆสำรวจชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ อย่างละเอียด หลังจากที่ไม่ได้พบกันมาเป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้ว

        ผมสีดำเข้มที่เคยตัดสั้นและจัดทรงได้รูปเสมอ เริ่มยาวปรกใบหน้าคมคายของภัทร จนดูไม่เข้าทรง ใบหน้าที่เคยสดใสด้วยเลือดฝาดจากการออกกำลังสม่ำเสมอ กลับดูซีดเซียวและซูบตอบไปจนน่าตกใจ หนวดเคราขึ้นเขียวครึ้มจนดูรกตา ลมหายที่ระบายออกมาอย่างนิ่งและแผ่วเบา ทำเอาหล่อนรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

         ‘เชฟคะ... เชฟได้ยินเสียงภายในใจของสิตามั้ยคะ ? ...ถ้าได้ยิน ตื่นเสียทีสิคะ อย่าแกล้งนอนหลับอยู่อย่างนี้ ให้สิตาใจหาย ถ้าเชฟตื่นขึ้นมา จะว่า จะบ่น สิตา ยังไง สิตาก็ยอม ขอเพียงแต่เชฟกลับมาเป็นเหมือนเดิม ได้โปรดเห็นแก่ความรักของเราด้วยเถิดนะคะ…’  

         สิตา ใช้ปลายนิ้ว ลูบไล้ไปตามใบหน้าของภัทรที่กำลังหลับสนิท อย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา ด้วยความทุกข์จากภายในใจของหญิงสาว ที่กังวลว่า หล่อนอาจจะไม่ได้มีโอกาสได้พบกับภัทรคนเดิมเสียแล้วก็เป็นได้

         เสียงช้อนกระทบกับชามกระเบื้อง ดังกรุ๋งกริ๋งอยู่ภายในครัว พร้อมกับกลิ่นหอมของซุปครีมเห็ด ลอยมา ทำให้สิตากลับมาจากภวังค์แห่งความห่วงใย หล่อนดึงผ้าห่มมาคลุมที่อกของภัทรให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินมานั่งที่โซฟา โดยมีรักษภูมิเดินมาสมทบจากในครัว

          ณัฐ หัวหน้าวงแบมบูบีท ที่มีอีกตำแหน่งก็คือ ผู้จัดการและตัวแทนฝ่ายต่างประเทศของสิตา ได้เข้ามาถามย้ำกับสิตา อย่างจริงจังอีกครั้ง ถึงเรื่องกำหนดการบินไปบันทึกเสียงที่ประเทศอังกฤษ ในงานเพลงสากลของหญิงสาว ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือน

           “ตกลง สิตา จะยืนยันตามกำหนดการเดิมที่จะบินไปอัดเสียงที่อังกฤษ ในสัปดาห์หน้านี้หรือเปล่า ?”

          “พี่ณัฐ ถามสิตา อย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ ?” สิตา ที่กำลังแต่งหน้าอยู่เพื่อที่จะขึ้นแสดงบนเวที ถึงกับหยุดมือ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัยในท่าทีของชายตรงหน้า

          “ที่พี่ ถามก็เพราะรู้น่ะสิ ว่าใจเราก็ยังเป็นห่วงทางนี้อยู่ไม่ใช่เหรอ นี่ก็ สองสัปดาห์แล้วนะ ที่เชฟภัทร ยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย” ณัฐพูดแทงใจหญิงสาว อย่างไม่อ้อมค้อม เพราะเขาก็รู้เรื่องทั้งสองดีไปไม่น้อยกว่าใครเช่นกัน

           “พี่เองก็เห็นใจเอ็งนะ สิตา แต่ถ้าเลื่อน ทุกอย่างก็จะเลื่อนไปกันหมด เอ็งก็รู้ กว่าเราจะเข้าไปถึงตรงนั้นได้ ก็เลือดตาแทบกระเด็นกันเลยทีเดียว ทั้งโดนด่า โดนนินทา หมั่นไส้สารพัด ในบริษัท มันก็มีหลายคนจ้องจะเหยียบเอ็งอยู่ ถ้าเอ็งขืนพลาดท่าเสียทีไป เอ็งก็คงจะพอดูออกนี่” ณัฐชี้แจงอย่างเคร่งเครียด

          แต่เมื่อเห็นสิตา ดูเศร้าซึมลงไป เขาก็อดที่เห็นใจในตัวของหญิงสาวที่เขารัก ราวกับน้องในไส้ไม่ได้เช่นกัน จึงบอกออกไปว่า

           “แต่ช่างมันเถอะวะ ชีวิตคนสำคัญกว่า เชฟจะฟื้นหรือเปล่า เอ็งจะไปอยู่ทางโน้นก็คงจะเป็นกังวลซะเปล่า  สุดท้ายก็ตามใจเอ็งแล้วกัน จะเอายังไงก็บอกพี่มาแล้วกัน ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง จะช่วยเคลียร์ให้”

            สิตา ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ หล่อนรู้สึกขอบคุณในน้ำใจของณัฐ ที่คอยเป็นห่วงความรู้สึกของหล่อนเสมอมา รอยยิ้มจากปากอิ่มสวยที่เคลือบไปด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน แสดงออกมาก่อนที่หล่อนจะตอบออกไป

          “ขอสิตา ตัดสินใจสักสองสามวันได้ไหมคะ แล้วจะบอกพี่ณัฐอย่างจริงจัง นะคะ”

          กว่าจะลงจากเวที ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว สิตาเก็บข้าวของส่วนตัว พร้อมกับอำลา พี่ๆนักร้อง นักดนตรี คนอื่น เพื่อมาขึ้นรถตู้ของบริษัทกลับบ้าน แต่เมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าขึ้นดูก็ต้องตกใจ ที่เห็นว่ามีสายที่พลาดไปเกือบสิบสาย เบอร์โทรมาจากดีใจและรักษภูมิ หล่อนจึงติดต่อกลับไปในทันที

         “ฮัลโหล สิตา เหรอ มาที่โรงพยาบาลด่วนเลยนะ เชฟแย่แล้ว ชีพจรเชฟต่ำมาก อาการน่าเป็นห่วง...” รักษภูมิ รายงานหล่อน ได้เพียงเท่านี้ แต่เสียงของชายหนุ่มดูสั่นเครือจนน่าตกใจ

          ระหว่างที่หล่อน เดินทางมาที่โรงพยาบาลนั้น หญิงสาวได้แต่สวดมนต์ภาวนา ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ช่วยคุ้มครองภัทรให้ปลอดภัย น้ำตาแห่งความกังวลใจไหลออกมา อย่างควบคุมไม่ได้

        เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ทันทีที่รักษภูมิเห็นหล่อนปรากฏกายนั้น ชายหนุ่มก็โผเข้ามากอดและร่ำไห้กับหล่อน จนสิตาอดตกใจไปกับท่าทีของรักษภูมิไม่ได้ ทำให้หล่อนต้องฝืนความทุกข์ภายในใจของหล่อนเก็บไว้ แล้วแสดงความเข้มแข็งโดยการเป็นฝ่ายปลอบโยนชายหนุ่มแทน

       “แดง ทำใจดีๆไว้นะ เชฟต้องไม่เป็นอะไรมากหรอก สิ่งศักดิ์ต้องคุ้มครอง คนดีอย่างเชฟแน่นอน เชื่อสิตานะ ไม่เอาสิ อย่างร้องไห้อย่างนี้สิ หน้าตาไม่สวยเลย เช็ดน้ำตาซะนะ เผื่อเชฟตื่นมาเห็นแดงทำหน้าตาเหยเกแบบนี้ ได้พานสลบไปอีกรอบหรอก...” หากว่าสารพันคำปลอบของสิตา  จะทำให้รักษภูมิ คลายความโศกเศร้าไปได้ หญิงสาวเต็มใจที่จะทำ

        จนเมื่อนายแพทย์มาลิพ เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน ทุกคนจึงกรูเข้าไป หาเขาในทันที

           “ตอนนี้ เชฟภัทร ไม่เป็นอะไรมากแล้วนะครับ ทุกคนสบายใจได้ เมื่อครู่ อาจจะมีอุบัติเหตุนิดหน่อยกับสายของเครื่องวัดชีพจร ประจวบกับเชฟมีอาการอ่อนเพลีย จากการหมดสติไปนาน เลยดูรุนแรง แต่ผมเช็คอาการโดยละเอียดแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ”

          สิ้นคำของหมอหนุ่ม รักษภูมิก็ยิ้มกว้างออกมาในทันที ชายหนุ่มหันไปเขย่ามือของดีใจ ที่ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ จนสิตาที่ลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างหมดกังวลเช่นกัน อดที่จะสังเกตเห็นไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรในใจ แต่ความรู้สึกอย่างหนึ่ง ก็ผุดขึ้นมาในความห้วงอารมณ์ของหญิงสาว ซึ่งหล่อนก็บอกไม่ได้แน่ชัดในตอนนี้ ว่ามันคือความรู้สึกใดกันแน่...

          แต่ที่แน่ๆ คำถามของณัฐ เกี่ยวกับการไปทำงานที่เมืองนอก ที่ยังคงรอคอยคำตอบจากหล่อนอยู่  ตอนนี้ สิตาได้มีคำตอบนั้นอยู่ภายในใจของหล่อนแล้ว !

จากคุณ : Awork
เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 55 01:25:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com