 |
บทที่ ๔๘
ลอนดอน ประเทศอังกฤษ อากาศภายในห้องพัก อบอุ่นกว่าภายนอกมากมายนัก สิตาถอดเสื้อโค้ตออก คงเหลือไว้แต่สเวตเตอร์คอเต่าสีเขียวมะนาว ที่ขับให้ผิวสีมะปรางของหล่อนผุดผ่อง จนชายชาวเมืองผู้ดีทั้งหลายพากันเหลียวมอง ยามหล่อนเดินกรีดกรายผ่านพวกนั้นไป หล่อนไม่ชอบอากาศในลอนดอนมากนัก ช่วงนี้ประเดี๋ยวก็มีหิมะตกลงมา แต่ไม่นานก็กลับมีฝนตกลงมาเพียงเปาะแปะ ให้หดหู่ใจเล่น ท้องฟ้าเป็นสีเทาทึมทะมึนหัวใจ แต่หากมองเห็นข้อดีของที่นี่ก็คือ อากาศหนาว ทำให้หล่อนได้สนุกกับการแต่งตัวมากกว่าที่เมืองไทย อย่างไรก็ตาม หล่อนก็รักกรุงเทพมากกว่าที่ไหนในโลกอยู่แล้ว สิตา มาใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอน ได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน ตารางการทำงานในแต่วัน รัดตัวจน หล่อนแทบไม่มีเวลากระดิกตัวไปช้อปปิ้ง ตามที่หมายมาดไว้แต่แรกเลย ตารางภายในหนึ่งวัน เริ่มด้วย การเข้าประชุมกับทีมงานที่ผลิตเพลง จากนั้น ใช้เวลาวอร์มเสียงและเรียนเทคนิคการร้องเพลงเพิ่มเติม ต่อมาก็ทดลองอัดเสียง จากเพลงที่หล่อนและทีมงาน ช่วยกันคัดเลือก ซึ่งในอัลบั้มหนึ่ง จะมีแค่ สิบถึง สิบสองเพลงเพียงเท่านั้น แต่หล่อนอาจจะต้องร้องเผื่อ เอาไว้เลือกในที่ประชุม ยี่สิบถึงสามสิบเพลงเลยทีเดียว เมื่ออัดเสียงเสร็จ หล่อนก็ต้องอยู่ช่วยคิดไลน์คอรัส รวมถึงการออกแบบเสียงร้องแบบต่างๆ ให้เข้ากับเพลงนั้นอีก ซึ่งต้องทำงานร่วมกันกับโปรดิวเซอร์หลายคน เพราะโปรดิวเซอร์คนหนึ่งสามารถทำเพลงให้หล่อนได้แค่สองถึงสามเพลง เท่านั้น ภายในเวลาสองเดือนที่กำหนด โปรดิวเซอร์ในอังกฤษ คล้ายกันกับที่เมืองไทย แต่ละคนจะมีสตูดิโอเป็นของตัวเอง ซึ่งแค่จะเวียนไปให้ครบแต่ละที่ ก็เล่นเอาหล่อนมึนกับการเดินทางในลอนดอนนี้ไปเลยทีเดียว วันนี้สิตากลับมาพักที่ห้องได้แต่วัน เพราะว่าหล่อนมีเพียงประชุมที่บริษัท ในครึ่งวันเช้าเท่านั้น เพื่อฟังเพลงที่หล่อนอัดไปแล้ว กว่าเจ็ดเพลง และหนึ่งในนั้น จำเป็นต้องถูกเลือกเพื่อนำไปเรียบเรียง ในขั้นตอนต่อไป เพื่อให้ทันเวลาที่กำหนดไว้ ตามแผนการโปรโมต และหล่อนก็มีนัดกับ ณัฐที่เดินทางมาจากเมืองไทย เพื่อร่วมประชุม ในฐานะตัวแทนของหล่อนและค่ายเพลงในเมืองไทย นัดที่ว่านั่นก็คือ การไปชมละครเพลงที่แถบเวสต์เอนด์ ในตอนค่ำ แก้วกระเบื้องเคลือบ ที่ภายในบรรจุโกโก้ร้อนผสมกับมาชเมลโล่ว์ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น ถูกวางไว้ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องบาง หน้าจอของมันตอนนี้สว่างจ้า แสดงภาพข้อความจากเว็บไซด์ที่หล่อนกำลังเปิดเมลอ่านอยู่
To : Sexy_sita @ hotmail.com
Bcc : Patt _S@ Thaitouch.co.th Subject: เป็นยังไงบ้าง ? สบายดีไหม สิตา อากาศที่ลอนดอน เปลี่ยนแปลงบ่อย ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะ เห็นพี่ณัฐบอกว่า สิตากำลังยุ่งมากเลย มิน่าล่ะ โทรไปไม่ค่อยได้รับสายเราเลย แต่ไม่เป็นไร แค่รู้ว่าสิตาสบายดีเราก็ดีใจแล้ว อย่างที่ได้เล่าไปในเมลฉบับก่อน ว่าตอนนี้ เราได้มาเป็นพ่อครัวที่ร้านอาหารของพี่พงศ์ที่รีสอร์ตของพ่อกับแม่ได้สักระยะแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่ได้ตอบแทนบุญคุณของพี่พงศ์ที่แกได้สั่งสอนถ่ายทอดเคล็ดลับในการทำอาหาร จนทำให้เราสอบเข้าที่ไทยทัศน์ได้ แขนของพี่พงศ์ที่เข้าเฝือกไว้ ใกล้จะหายดีแล้วล่ะ แต่หมอก็ยังไม่ให้ทำงานหนักอยู่ดี ฉะนั้น เราคงจะต้องอยู่ช่วยที่นี่ไปก่อน แต่คิดว่าคงจะเสร็จไล่เลี่ย กับเวลาที่สิตาเดินทางกลับมาบ้านเราล่ะมั้ง อากาศที่รีสอร์ตนี่ สดชื่นดีมากเลย ทำให้เชฟแข็งแรงขึ้นมาก จนเกือบจะเหมือนปกติแล้ว ตั้งแต่เชฟฟื้น ดูเชฟนิ่งไปเยอะเลย แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะคล่องแคล่วขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ บางครั้งเชฟแกก็นึกซน อยากจะเข้ามาช่วยงานในครัวบ้าง ตามประสาคนเคยทำงาน แต่เรากับพี่พงศ์ต้องคอยปรามให้อยู่เฉยๆ พอโดนเอ็ดแกก็หน้าจ๋อยลงไปทันทีเลย นึกไปแล้วก็อดเห็นใจแกไม่ได้ ว่ามั้ย... เชฟอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เหงาเท่าไหร่หรอกนะ เพราะตอนนี้แกมีลูกสมุนคนใหม่ ทายซิว่าใคร ?... ถูกแล้ว ก็เจ้าแพะไง ตอนนี้ติดเชฟแจเลยทีเดียว พอกลับจากโรงเรียน ต้องวิ่งมาเรียกหาอาภัทร ให้อาภัทร พาไปขี่จักรยานเล่นกับแกที่ริมชายหาดทุกวันเลย ตอนนี้ พอปิดร้านแล้ว เรา เชฟ และพี่พงศ์ก็จะไปนั่งดื่มกันที่ริมทะเล นั่งพูดคุยกันเรื่องความหลัง ครั้งก่อน สมัยที่ไทยทัศน์ยังเป็นร้านเล็กๆ เราไม่รู้เรื่องหรอก ก็ได้แต่ฟังพวกเขาเท้าความกันสองคน
แต่ที่แน่ๆ รู้สึกว่ามันชื่นมื่นยังไงไม่รู้ เพราะเราไม่เคยเห็นพี่พงศ์กับเชฟ ร่าเริงแจ่มใสกันแบบนี้มาก่อนเลย พูดถึงแต่สิ่งที่ดีในอดีต เรื่องราวเลวร้ายทุกคนก็อยากจะลืมมันไปให้หมดสิ้นกันเสียที นี่ละน้า...คนเรา ลองได้ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว อะไรๆก็ดูจะลงตัวไปหมด ถ้ามีเรื่องราวอะไรดีๆ เราจะเขียนมาเล่าให้สิตารู้อีกนะ ไม่มีสิตา เราเหงามากเลย รู้มั้ย ^__^ รักเสมอ แดง
ลูกศรจากเม้าส์ในมือของสิตา ถูกเลื่อนไปยังปุ่ม Reply หญิงสาวรีรออยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนไปที่ปุ่มกากบาทที่ริมขวาสุดของจอภาพ เพื่อออกจากหน้าเว็บไซด์แทน
สิตาเดินถือแก้วเครื่องดื่ม มายืนดื่มที่ริมหน้าต่าง ภายนอกมีหิมะตกลงมาประปราย มองเห็นหิมะสีขาวกองอยู่ตามริมถนน มันไม่ได้ขาวสวยเหมือนกับในหนังที่หล่อนเคยดู เพราะเมื่อดูใกล้ๆ มันกลับขาวขุ่นไม่สะอาดตา เหมือนอย่างที่เคยจินตนาการไว้เลย หล่อนใช้อุ้งมือทั้งสอง ประคองแก้วไว้ เพื่อรับความอุ่นของมัน ก่อนจะปล่อยใจ ลอยไปถึงเรื่องราวที่ทำให้หล่อนตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
จากเหตุการณ์ในคืนวันที่แดงร่ำไห้อย่างฟูมฟาย สิตารู้สึกจุกที่ในหัวใจ อย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่ง หล่อนรู้สึกไม่พอใจในท่าทีของแดง อย่างไม่มีสาเหตุ แต่อีกใจหนึ่ง หล่อนก็ตำหนิตัวเองในใจ ว่าหล่อนละเลยหน้าที่ของคนรัก ที่ควรปฏิบัติ ต่อชายที่ตนรัก จนแดงอาสาเข้ามาเติมเต็มส่วนที่บกพร่องนี้ไป
ยิ่งได้เห็นการเสียสละและทุ่มเท กำลังกายและกำลังใจของแดง ในการดูแล ภัทร ที่กำลังหลับเป็นเจ้าชายนิทรา ทำให้สิตา ได้ทบทวนความรู้สึกของตนเองที่มีต่อภัทรเช่นกัน
ความในใจของแดงที่มีต่อภัทร มีหรือที่หล่อนจะดูไม่ออก แม้ว่าแดงจะไม่เคยเอ่ยปากบอกหล่อนโดยตรงถึงเรื่องราวความรักของเขาที่มีต่อภัทร แต่หล่อนก็อ่านชายหนุ่มขาดในทุกความคิด คนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เรื่องแค่นี้จะแกล้งไม่รู้ไปได้นานสักเท่าใด...
บางทีการที่หล่อน ถอยออกมาสักหนึ่งก้าว แล้วเปิดโอกาสให้แดงได้พิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อภัทรบ้าง มันคงจะดีสำหรับทุกฝ่าย แม้ว่าในที่สุดหล่อนจะต้องเป็นผู้พ่ายแพ้ต่อเกมรักครั้งนี้ แต่หล่อนก็ยินดีที่จะได้เห็นคนที่หล่อนรักทั้งสองคนมีความสุข สิตา จึงตอบรับในสิ่งที่ตนควรรับผิดชอบ เมื่อมีแดงดูแลภัทรแทนหล่อน ผู้หญิงที่ต้องทำงานไม่เป็นเวลาแน่นอน ภัทรคงจะรู้สึกดี และตัวหล่อนเองก็อาจรู้สึกผิดน้อยลงไปกว่านี้ด้วย ภัทร ฟื้นขึ้นหลังจาก ที่สิตา มาถึงอังกฤษ ในช่วงเวลาไม่กี่วัน แดงโทรศัพท์มารายงานหล่อนด้วยความตื่นเต้น ไม่มีคำถามจากชายหนุ่มถึงหล่อนเลยแม้สักคำ ความรู้สึกผิดที่เคยคิดว่าจะลดน้อยเบาบางลง กลับทวีคูณขึ้นมากเป็นลำดับ จากนั้นแดงได้รายงานหล่อนทางอีเมลแทน ก็เพราะหล่อนไม่รับโทรศัพท์ของแดง รวมถึงไม่ติดต่อกลับ หากไม่มีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งตั้งแต่มาถึงจนปัจจุบันนี้ หล่อนกับแดงก็ยังไม่ได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์เลยสักครั้ง ภัทร ไปพักฟื้นที่รีสอร์ตของครอบครัวหล่อนที่ระยอง ซึ่งแดงก็ได้ตามไปดูแลอย่างใกล้ชิด หล่อนเองก็ได้แต่หวังว่า ภัทร น่าจะเห็นใจในความห่วงใยของแดงเสียที ทั้งๆที่ในใจของหล่อนกลับปวดร้าวอยู่ลึกๆเช่นกัน ตอนนี้ สิตา จึงทำได้แค่เพียง ทุ่มเท เวลาที่คอยเอาแต่คิดเรื่องฟุ้งซ่านเหล่านี้ไปกับการทำงาน ที่หล่อนอุตส่าห์พากเพียร ฝ่าพัน มาจนถึงจุดที่ใครหลายคนอยากมาถึง ในความคิดของหล่อน งานคงเป็นเพียงเพื่อนที่จริงใจ สำหรับสิตาในเวลานี้เท่านั้น เสียงโทรศัพท์มือถือจากณัฐ ดังขึ้น สิตาจึงถอนความคิด กลับสู่ปัจจุบัน เมื่อรับสายเสร็จ สิตาก็สำรวจความเรียบร้อยของหน้าตาท่าทางของตนเองอีกครั้ง ก่อนจะฉวยเสื้อโค้ตสีม่วงสวมทับแล้วออกไปผจญความหนาวเย็นในกรุงลอนดอนอีกครั้ง ฟิช แอนด์ ชิปส์ ในถาดกระดาษ ที่เพิ่งจะทอดออกมา อย่างสดใหม่ ส่งกลิ่นหอมฉุย จนสิตาน้ำลายสอ มือข้างหนึ่งถือถาด ส่วนอีกข้างหิ้วถุง ใส่รู้ทเบียร์กระป๋องสำหรับหล่อนและณัฐ สิตาเดินมานั่งรอณัฐที่โต๊ะริมถนน ขณะนั้น หิมะหยุดตกแล้ว แต่อากาศข้างนอกก็ยังเย็นราวกับอยู่ในช่องแข็งก็ไม่ปาน ไม่นานนัก ณัฐก็เดินตามมานั่งที่เก้าอี้อีกตัวที่ว่าง พร้อมกับถาดฟิชแอนด์ชิปส์อีกสองถาด แล้วบ่นว่า นี่ เอ็งแน่ใจเหรอวะ ว่าจะกินคนเดียวหมดสองถาด ไหนเขาว่ากันว่า คนอกหัก มักจะกินอะไรไม่ได้ไง ไหง... ล่อซะเพียบขนาดนี้ สิตา หยิบมันฝรั่งทอด ที่ทอดมาร้อนจนควันขึ้น เข้าปากจนเต็มแล้วพูดอู้อี้ พยายามอธิบาย ก้อ... อกหักไง งั้น สิตากินมากกว่านี้แล้วละพี่ณัฐ สมัยมาเรียนซัมเมอร์นะ กินทีละสามสี่ถาด จนนายรักมันค้อนแล้วค้อนอีก... สิตา หยุดพูดไป ณัฐเห็นว่า มันฝรั่งคงจะติดคอ จึงเปิดรู้ทเบียร์กระป๋องส่งให้อย่างรู้ใจ เฮ้ย ! กินอะไร ก็รักษาภาพลักษณ์ศิลปินหน่อยโว้ย เดี๋ยวถูกแอบถ่ายไปลงหนังสือก็อสซิปละ เอาหน้าไปไว้ไหนไม่รู้ด้วยนะ สิตา ยักไหล่ อย่างไม่แยแส แล้วหยิบปลาชุบแป้งทอดแท่งใหญ่ จิ้มซอสมะเขือเทศนิดหน่อย ส่งเข้าปากจนหมดชิ้น หล่อนค่อยๆละเลียดเคี้ยว อย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะจิบรู้ทเบียร์ตามอีกหนึ่งอึก จึงพูดออกมา โอ๊ย ! เป็นข่าวกับพี่ณัฐ สิตาไม่กลัวหรอก ใครเขาก็ดูออก เดินด้วยกันอย่างกะพ่อลูกกัน ที่ไหนได้ห่างกันไม่ถึงสิบปีเท่านั้นเอง ณัฐ แยกเขี้ยวใส่สิตา อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะถามออกมา เพลงที่เอ็งทำไว้นี่ เจ็ดเพลง ก็ใช้ได้หมดเลยนี่นา อย่างนี้ พี่ว่าคงไม่ต้องอยู่ที่นี่ถึงสองเดือน อย่างที่คาดไว้หรอก พอดีล่ะ เอ็งจะได้ไปฉลองปีใหม่ด้วยกันกับพี่ที่กรุงเทพ สิตา นิ่งไปอย่างใช้ความคิด หญิงสาวค่อยๆจัดการ ฟิชแอนด์ชิปส์ในถาดที่สอง อย่างใจเย็น แล้วบอกว่า สิตาคงจะอยู่ต่ออีกสักพัก เอาไว้หลังปีใหม่ค่อยกลับไปดีกว่า เหนื่อยมาทั้งปีแล้ว อยากพักบ้าง อะไรบ้างอ่ะ พี่ณัฐ ณัฐ หลิ่วตาใส่หญิงสาวอย่างรู้ทัน ก่อนจะแซวออกมา ทำไม กลัวจะต้องกลับไปเห็นภาพ ไอ้รักกับเชฟภัทร สวีทกัน ตอนเค้าท์ดาวน์ละซี่... โอ๊ย ! เจ็บนะเว้ย ! สิตา ณัฐ คลำแขนป้อยๆ หลังจากที่โดนหญิงสาวหยิกอย่างแรง เมื่อพูดจบ สิตา แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อน ทั้งๆที่ในใจของหล่อนเจ็บแปลบ ที่ณัฐพูดคือความจริงทุกอย่าง จากส่วนลึกในใจของหล่อน เพราะ วงดนตรีแบมบูบีท จะต้องไปเล่นดนตรีที่ไทยทัศน์ ในคืนที่ ๓๑ ธันวาคม ของทุกปีอยู่แล้ว หากหล่อนกลับไป ก็คงอดไม่ได้ที่จะต้องไปร่วมแจมกับวง แล้วก็คงจะทนไม่ได้เช่นกันที่จะเห็นภาพตามที่ณัฐว่าไว้ จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้สนทนาอะไรกันต่อไปอีก ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตากินอาหารของตน เพื่อให้ทันเวลาดูละคร จนสิตาที่กินฟิชแอนด์ชิปส์ในถาดที่สองของตนเองหมดเกลี้ยง หล่อนก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา ผิดวิสัยคนช่างพูด จนณัฐ เริ่มใจเสีย พยายามหาจังหวะในการง้อหญิงสาวอยู่ แต่แล้วจู่ๆสิตาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้า ที่ดวงตาสองข้างมีน้ำตาคลอ พี่ณัฐ สิตาขออะไรอย่างหนึ่งจะได้ไหม...? ณัฐ เริ่มจะวางสีหน้าไม่ถูก เขารีบรับปากไปอย่างตะกุกตะกัก เพราะรู้ดีว่า สิตานั้นเจ้าอารมณ์ยิ่งนัก ดีไม่ดี หากหล่อนงอนมากเข้า คืนนี้ คงได้อดดูละครเวทีกันเสียเปล่าๆ ดะ...ได้... มีอะไร ค่อยๆพูดกันก็ได้ ทำใจดีๆก่อนนะสิตา พี่ไม่ได้ตั้งใจแซวเอ็งนะ... คือ...พี่ช่วยไปซื้อ ฟิชแอนด์ชิป ให้สิตาอีกสักถาดได้ไหมพี่ กำลังอร่อยเลย เร็วๆนะ เดี๋ยวขาดตอน อ้อ ! เอารู้ทเบียร์อีกกระป๋องด้วยก็ดีเหมือนกัน จากนั้นสิตาก็หัวเราะก๊ากออกมาอย่างชอบใจ ที่หล่อนแกล้งให้ณัฐหน้าเสียได้สำเร็จ บ๊ะ ! ... ไอ้นี่ เล่นเยอะนะเนี่ย ทำเอาพี่เซ็งเลย เออๆ รออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ แต่แค่ถาดเดียวนะเว้ย ละครใกล้จะเล่นแล้ว มัวแต่ละเลียดกินอยู่ พอดีอดดู ! พอณัฐเดินกลับเข้าในร้านอีกครั้ง สิตาจึงหยุดหัวเราะแล้ว มองเหม่อออกไปยังริมถนน ที่มีรถราวิ่งกันขวักไขว่ หญิงสาวถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนจะบอกตัวเองให้ร่าเริงเข้มแข็งตามเดิม เพื่อไม่ให้ณัฐจับสังเกตได้อีก เสียงฮัมเพลงเป็นทำนองเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ดังขึ้นขณะที่หญิงสาวกำลังเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก ในหัวใจของสิตาแช่มชื่นนัก เนื่องจากความประทับใจหลังจากที่ได้ดูละครเวทีเรื่อง Mama Mia! เมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา เพลงของ Abba ยังคงก้องอยู่ในหัว อันที่จริงหล่อนก็ร้องเพลงของวงนี้ อยู่เป็นประจำ เวลาออกงานเลี้ยง ทำให้คืนนี้ นึกอยากจะเสิร์ชเพลงของวงนี้ ใน You tube ดูก่อนนอน แต่เมื่อเปิดหน้าจอที่ตั้งเว็บเพจเป็นเว็บเมลของหล่อน หน้าจอแสดงถึงจดหมายใหม่เข้ามา จากบุคคลที่ไม่รู้จัก
To: Patt _S@ thaitouch.co.th, Sexy_sita @ hotmail.com
Subject: Say Hi ! สวัสดีค่ะ พี่ภัทร และพี่สิตา ที่รักและนับถือ เปียโน เองค่ะ ไม่ต้องทำหน้าตาท่าทางแปลกใจอย่างนั้นหรอกค่ะ ที่เขียนอีเมลมาหา ก็เพราะคิดถึงเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องอะไรมาทำให้ปวดหัวอีกแล้วล่ะค่ะ ไม่ได้อยากจะรื้อฟื้นให้ลำบากใจกันอีก แต่ถ้าไม่บอกกัน ต่างคนก็คงจะคาใจกันต่อไป เหมือนเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา จึงแค่อยากจะเล่าเรื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันให้ทราบกัน ช่วยเสียเวลาอ่านมันหน่อยนะคะ
จากช่วงเวลาที่ได้มาคลุกคลีที่ไทยทัศน์ตั้งแต่ฝึกงาน จนเรียนจบ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เปียโนมีความสุขมากช่วงหนึ่งของชีวิตเลยล่ะค่ะ เรียนที่ไหนก็ไม่สนุกเท่ากับที่เรียนที่บ้านเรา ทั้งภาษา เพื่อนร่วมชั้นเรียน สถานที่สวยงาม รวมถึงอาหารไทยที่อร่อยมากที่สุดในโลก จริงไหมคะ ?
ก่อนมาที่นี่ เปียโน มีความคิดที่เลวร้ายมาก คิดแม้กระทั่งอยากจะปลิดชีวิตของพี่ภัทรด้วยมือของหนูเอง เมื่อนึกถึงตอนนั้นแล้ว ก็ยังสงสัยว่า ทำไมหนูจึงเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายแบบนั้นไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ แผนการที่เคยคิดว่ารอบคอบและร้ายกาจ กลับใช้ไม่ได้ผล เมื่อมาพบกับความจริงอีกด้านที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริง
ในความสุขที่พบเจอ ก็ยังมีความทุกข์ที่ต้องกดดันตัวเอง เพราะความคาดหวังที่หนูถูกปลูกฝังมานาน แต่หนูไม่อยากจะไปโทษใครหรอกนะคะ ที่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้นมา คงเป็นเวรเป็นกรรมที่เราทำมาแต่ชาติปางก่อน อย่างที่พี่รัก ชอบเอ่ยสอนหนู เวลาคิดแค้นในใจเสมอ
เราย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตไม่ได้ แต่ถ้าเราคิดดี อย่างน้อยอะไรๆที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดไว้ใช่ไหมคะ มีหลายครั้งที่หนูต้องทำไปตามที่ควรทำ แต่เมื่อทำแล้วกลับปวดร้าวภายในมาก ราวกับตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำแทนเสียเอง
อย่างน้อย เวลานี้ก็คงยังไม่สายเกินไปที่จะชี้แจงบางสิ่งบางอย่าง...
พี่สิตา พี่เป็นพี่สาวที่ใจดีและน่ารัก หนูเคยคิดอยากมีพี่สาว และแล้วสวรรค์ก็ส่งพี่ให้หนูได้พบ หนูยังจำคืนแรกที่ได้พบกับพี่ที่งานเลี้ยง พี่ร้องเพลงเพราะมาก สวยที่สุด เป็นกันเอง ไม่ถือเนื้อถือตัว แม้ว่าหนูจะเป็นเพียงพนักงานตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่คอยเสิร์ฟอาหารให้เท่านั้น
และที่ไม่คาดฝันก็คือ หนูได้มาพบกับพี่อีกที่ไทยทัศน์ รู้ไหมคะ...พี่ทำให้การเรียนทำอาหารที่แสนจะน่าเบื่อ มีสีสัน สนุกสนาน ออกรสชาติ เหมือนกับฝีมือในการปรุงอาหารของพี่เลย
แต่หนูก็ต้องทำร้ายพี่ให้เจ็บตัว และเสียใจจนได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้พี่เข้าใจ พี่ภัทรและพี่รักผิดไป เรื่องทั้งหมดล้วนแต่เป็นฝีมือของหนูเพียงผู้เดียว
พี่ภัทร เชื่อไหมคะ ?...ว่าครั้งแรกที่เราพบกัน รอยยิ้มที่พี่มีให้หนู มันคือรอยยิ้มเดียวกันกับที่พี่มีให้หนูในสมัยเด็ก และหนูก็ฝันถึงมันมาโดยตลอดนับตั้งแต่ที่เราห่างกัน
ข้อมูลที่หนูได้รับ ทั้งนิสัยใจคอ รวมถึงพฤติกรรมของพี่ มันช่างแตกต่างจากตัวจริงที่หนูได้สัมผัส แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาไม่นานนักก็ตามที
ทุกครั้งที่หนูแอบสังเกตพี่ทำงานที่ในครัว มันทำให้หนูอดคิดถึงพ่อไม่ได้เลย หนูจำได้ลางๆว่าตอนสมัยเด็ก พี่ภัทรชอบอุ้มหนูไปยืนแอบดูพ่อ เวลาทำงานที่หน้าเตาอยู่บ่อยครั้ง พอโดนเอ็ดพี่ก็จะรีบวิ่งแจ้นพาหนูไปคืนคุณแม่
มีหลายครั้ง ที่หนูแอบไปร้องไห้ที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะคิดว่า พ่อคงภูมิใจในตัวพี่ ที่ฝากชีวิตและจิตวิญญาณในการทำอาหารไว้ในตัวพี่ แต่ตัวหนูเองกลับใช้พรสวรรค์ที่พ่อให้มา นำมันมาใช้ในทางที่ผิด คิดจ้องแต่จะทำร้ายพี่ ใส่ความ ทำลายทรัพย์สินและจิตใจของพี่ชายที่แสนดีของหนู
หากว่าบาปกรรมมีจริง ตอนนี้มันคงตามมาลงโทษหนูเข้าแล้ว ความรู้สึกตอนนี้มันช่างโหดร้ายทารุณอย่างบอกไม่ถูกเลย
ทุกวันนี้ หนูไม่อยากเข้าครัวเลยค่ะ เข้าไปทีไรก็พานแต่จะนึกถึงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นมา ภาพและเสียงยังคงดังก้องอยู่ในหัว ราวกับหนังที่ฉายวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักจบจักสิ้น
สิ่งที่หนูเคยเกลียด และปฏิเสธมาโดยตลอด นั่นคือการทำอาหาร ทั้งที่ในใจก็รู้ดีว่า เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ พี่ภัทร พี่สิตาและทุกคนที่ไทยทัศน์ ทำให้หนูได้เรียนรู้ว่า หนูรักมันมากสักเพียงไหน มันไม่ใช่แค่หน้าที่ หน้าที่ที่แม่ขอร้องให้ทำ เพื่อหาหนทางไปสู่การแก้แค้น อย่างที่เคยคิดไว้เลย เพิ่งจะรู้ว่ารักมันหมดหัวใจ แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะหน้าที่ของหนูตอนนี้ก็คือการเรียนรู้กิจการ เดวิด เอ็นเตอร์ไพรซ์ จากคุณตา เพื่อสืบทอดกิจการนี้ให้คงอยู่สืบต่อไป
เวลาอันแสนสุขสำหรับการทำอาหารที่รักคงจบลงเพียงเท่านี้แล้ว ! อีกทั้งต้องดูแล คุณแม่ ที่รักษาตัวและจิตใจ อย่างใกล้ชิด ไม่ต้องห่วงนะคะ แม่คงไปไหนหรือทำอะไรให้ใครเสียใจอีกไม่ได้แล้วล่ะคะ แต่ไม่ว่าจะยังไง เปียโนก็คงทอดทิ้งแม่ไม่ได้ ซึ่งเปียโน จะพยายามทำให้ทุกอย่างมันจบอย่างดีที่สุด เท่าที่ความคิดและกำลังกายของผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จะทำได้ ช่วยเป็นกำลังใจให้น้องสาวคนนี้ด้วยนะคะ ที่เขียนอีเมลมาหา พี่สิตาและพี่ภัทร ก็เพียงแค่อยากจะขอร้องให้ ระลึกถึงน้องสาวคนนี้บ้าง และอย่าถือโทษโกรธเคืองกัน... ได้โปรดอโหสิกรรม ให้หนูด้วยนะคะ... ถึงจะไม่ใช่ในเร็ววันนี้ แต่หากว่าวันนั้นมาถึง คงจะทำให้บาปที่ได้ก่อไว้ลดลดน้อยลงไปได้บ้าง และคงจะมีกำลังใจในการอยู่เพื่อเผชิญโลกที่โหดร้ายนี้ได้ต่อไปอย่างเข้มแข็ง เมื่อรู้ว่าตัวเองยังมีพี่ทั้งสองที่รัก คอยเป็นกำลังใจให้ ถ้าว่างจะเขียนมาเล่าเรื่องอีกนะคะ รักและเคารพเสมอ เปียโน
เสียงจ้อกแจ้ก จอแจ ของนักโทษชายคนอื่นๆ ที่เล่นกีฬาอยู่ที่สนามกีฬากลางแจ้ง ในช่วงเย็น ไม่ได้หลุดเล็ดลอด เข้ามาในภวังค์ของชายหนุ่มร่างยักษ์ ที่เหม่อมองท้องฟ้า พลางใช้ความคิดทบทวน ถึงสิ่งที่เขาได้ก่อไว้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้เอง
วันนี้ มีแขกผู้มาเยี่ยม ไม่ใช่ พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง หรือ เพื่อนสนิท เช่น ดีใจ รักษภูมิ แต่กลับกลาย เป็นคนที่เขาเองไม่คาดคิดว่า จะได้พบในเร็ววันนี้มาก่อน เมื่อเขาเข้ามานั่งในห้องพบญาติของเรือนจำ ชายหนุ่มคนที่นั่งรอพบเขาอยู่ ยิ้มให้เขาอย่างเป็นกันเองเหมือนเคย
เป็นยังไงบ้าง พายุ ดูซูบไปนะครับ ภัทรทักทาย อย่างเป็นกันเอง พายุไม่ตอบอะไรออกมา ที่เขาดูซูบตอบไป คงเป็นเพราะ ยังไม่สามารถปรับตัว เข้ากับชีวิตความเป็นอยู่ของการเป็นนักโทษในเรือนจำได้
อดทนไว้นะครับ อีกไม่นานก็คงจะปรับตัวได้ ผมจะเอาใจช่วย ภัทร พูดขึ้นมา หลังจากที่ต่างฝ่าย ต่างเงียบกันมาอยู่ครู่ใหญ่ จนเวลาเวลาเยี่ยมใกล้จะหมด
ภัทร เห็นว่าเวลาเหลืออีกไม่มาก แต่พายุก็ยังไม่ยอมเปิดปากพูดจากับเขาเลย ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นั่ง แล้วพูดให้กำลังใจทิ้งท้าย ก่อนที่จะไม่ได้พบกันอีกนาน
อย่าคิดมากนะครับ เรื่องที่มันผ่านไปแล้ว ก็ขอให้ลืมมันไป ในอนาคตยังมีสิ่งดีๆรอคุณอยู่ สำหรับ พายุ ไม่ว่าจะอย่างไร คุณก็ยังเป็นน้อง และเป็นลูกศิษย์ ที่ผมรักคนหนึ่ง ไม่มีวันเปลี่ยน... ภัทร พูดได้เพียงแค่นั้น ประตูห้องเยี่ยมก็เปิดออก เนื่องจากหมดเวลาพอดี เขาเดินออกไปอย่างเงียบๆ แต่ยังไม่ทันจะออกไปพ้นประตู ก็มีเสียงเรียกจาก ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่นิ่งเงียบมานาน
เชฟครับ... ผมขอโทษ ! พายุ พูดออกมาได้แค่นั้น ก่อนที่เขาจะปล่อยโฮออกมาเสียงดัง
ภัทร หันไปยิ้มให้ พายุ อย่างเป็นมิตร และให้อภัยจากใจจริงอีกครั้ง ก่อนที่ชายหนุ่มร่างยักษ์ จะถูกผู้คุม พาเดินกลับเข้าไปข้างในเรือนจำ พร้อมทั้งน้ำตา
จดหมายในมือของพายุ ถูกเปิดอ่าน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยหัวใจที่พองโต จากความแช่มชื่นในหัวใจ เพราะมันเป็นจดหมายของเปียโน ที่ภัทรฝากไว้ให้เขา ก่อนที่จะลาจาก เนื้อความในนั้น แสดงถึงความห่วงใย และให้กำลังใจ ซึ่งมันก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนด้อยค่าอย่างเขา แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น จากการกระทำของเขา มันก็ล้วนแล้วแต่ มาจากความเต็มใจของเขาเอง
เขาได้มีโอกาส เข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในขบวนการแก้แค้นภัทร อย่างตกกระไดพลอยโจน เมื่อครั้งที่เปิดเรียนที่ไทยทัศน์ได้ไม่นาน วันนั้น เป็นวันที่เขาได้มีบังเอิญ ไปพบเห็นการกระทำของเปียโน ที่ลานจอดรถของไทยทัศน์พอดี
ครั้งนั้น สิตา เกือบจับพิรุธได้ ว่าเปียโนแอบเข้าไปวางระเบิดที่ล้อรถของภัทร หากว่าเขาไม่ช่วยรับสมอ้าง ให้สิตา ตายใจเสียก่อน แผนการนั้นคงจะไม่สำเร็จไปได้ จากนั้น เปียโนก็มักจะมาปรึกษา หรือขอความช่วยเหลือ ซึ่งเขาเองก็เต็มใจช่วย อย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน รวมถึงในคืนวันเกิดเหตุ ที่เขาต้องแอบปลีกตัวหนี ออกมาจากงานเลี้ยงฉลอง โดยที่ไม่ทำให้ดีใจและรักษภูมิ จับได้ ว่าเขาหายไปช่วยเปียโนกับแม่ของหล่อนที่ไทยทัศน์ เพื่อจัดการแก้แค้นภัทร เนื่องจากมีการเปลี่ยนแผนการให้เร็วขึ้น มาเสียก่อนนั่นเอง
ทั้งหมดเป็นเพราะความสงสาร ที่กลับกลายมาเป็นความเห็นใจ จนสุดท้าย ความรักก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่สามารถบอกได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงความรักของเขาเพียงฝ่ายเดียวก็ตาม
ในตอนแรก จากสายตาคนนอกอย่างเขา แผนการแก้แค้นของขบวนการนี้ ดูช่างไร้สาระ และไม่มีทางจะเป็นไปได้ สักเท่าไหร่ แต่จนเมื่อมาถึงในคืนวันเกิดเหตุ กลับทวีความรุนแรง จนเขาเองอดหวาดเกรงแทนภัทรไปด้วยไม่ได้ ยิ่งเมื่อมีสิตา เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ทุกอย่างยิ่งดูเลวร้ายลงมากไปกว่าเดิม
แต่สุดท้าย ภัทรและสิตาก็ปลอดภัย ส่วนเปียโนกับแม่ของหล่อน ก็ลอบหนีกลับยังมาเก๊าไปได้อย่างเฉียดฉิว เหลือเพียงเขากับพรรคพวก ที่ยินดีรับกรรมที่ก่อไว้ กับภัทร หลังจากได้รู้ความจริง จากปากของภัทร ซึ่งมันก็เกือบจะสายไป
การที่เขาได้พบกับ ภัทรในวันนี้ ทำให้ความรู้สึกผิดที่ฝังตัวอยู่ ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีหม่น ในตอนนี้กลับกลายมาเป็นสีฟ้าคราม ทุกอย่างรอบตัวดูสว่างสดใส เหลือเพียงแต่รอเวลาที่จะได้ออกไปเผชิญกับโลกแห่งอิสรภาพอีกครั้ง
พายุ ยิ้มให้กับตัวเอง ทั้งน้ำตาแห่งความหวัง !
จากคุณ |
:
Awork
|
เขียนเมื่อ |
:
11 พ.ค. 55 01:27:08
|
|
|
|
 |