Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ยมทูต บทที่ 14 มฤตยูใต้สายน้ำ ติดต่อทีมงาน

บทที่ 13 การฝึกของอัคนี
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W11978890/W11978890.html

บทที่14

มฤตยูใต้สายน้ำ

ท่าเรือขนาดย่อมริมทะเลสาบซึ่งปรกติมักจะเงียบเหงาแต่ในวันนี้กลับมีผู้คนยืนพูดคุยกันเป็นกลุ่มเช่นเดียวกับร้านอาหารซึ่งมีลูกค้าเข้ามานั่งรับประทานอย่างคึกคัก เพราะอาหารส่วนใหญ่จะเป็นปลาจากทะเลสาบที่นำมาปรุงกันแบบสดๆ รสชาติจึงเป็นที่ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะพวกที่มาจากในเมืองคุ้นเคยแต่กับการบริโภคอาหารสำเร็จ เมื่อมาเจออาหารอร่อยลิ้นเช่นนี้บางคนถึงกับอดใจไม่ได้ที่จะสั่งเพิ่มอีกจาน

เสียงพูดคุยอย่างสนุกสนานกับการตะโกนสั่งอาหารที่ดังเอะอะสร้างความรำคาญใจให้กับนฤชิต เด็กชายวัย 14 ปีเป็นอย่างยิ่ง หลังจากทนนั่งฟังลุงป้าที่นั่งร่วมโต๊ะพูดคุยถึงลูกหลานในลักษณะโอ้อวดอยู่ราวครึ่งขั่วโมง เขาจึงรวบช้อนส้อมและยกน้ำขึ้นดื่มจากนั้นจึงเดินออกจากร้านตรงไปยังท่าเรือและยืนพิงรั้วกั้นมองผืนน้ำกว้างใหญ่สลับกับขุนเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับเมฆที่เคลื่อนผ่านยอดเขาสลับซับซ้อนอย่างอ้อยอิ่งด้วยอาการเหม่อลอย

ความจริงแล้วนฤชิตเป็นเด็กที่ไม่ชอบการท่องเที่ยวหรือพูดคุยสุงสิงกับคนอื่นเท่าใดนักแต่เพราะความสงสารในตัวปทิตตา พี่สาวเพียงคนเดียว เขาจึงคะยั้นคะยอให้เธอลางานมากับคณะผ้าป่าซึ่งเดินทางไปทำบุญยังวัดที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ขากลับจึงแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆราวสองสามวัน การล่องเรือในทะเลสาบเหนือเขื่อนขนาดใหญ่นี้ก็ถือเป็นหนึ่งในตารางการท่องเที่ยวด้วย ที่เด็กชายทำแบบนี้ก็เพื่อพี่สาว ด้วยวัยเพียง 23 ปีแต่เธอกลับต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยและทนตรากตรำทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อห้าปีก่อนทั้งคู่ต้องสูญเสียบิดามารดาจากอุบัติเหตุรถคว่ำ แม้จะได้รับเงินประกันก้อนโตแต่ก็ไม่พอสำหรับเด็กในวัยเรียนถึงสองคน ปทิตตาจึงยอมสละอนาคตออกจากมหาวิทยาลัยและหางานทำเพื่อน้องชายเพียงคนเดียว  

“เรือเที่ยวต่อไปจะออกในเวลา 13.00 น. ผู้ที่ซื้อตั๋วในเวลานี้กรุณาเตรียมตัวด้วยค่ะ”

เสียงประชาสัมพันธ์ประจำท่าเรือดังมาจากลำโพงที่ติดตั้งไว้เหนือที่ทำการ นฤชิตมองเรือสองชั้นขนาดค่อนข้างใหญ่เคลื่อนเข้ามาจอดเทียบท่า เจ้าหน้าที่ประจำการบนเรือต่างช่วยกันลำเลียงข้าวของซึ่งก็เป็นน้ำดื่มและของขบเคี้ยวลงเรือ นักท่องเที่ยวบางคนรีบเข้าไปจับจองที่นั่งแต่ส่วนใหญ่ยังคงเดินเอ้อระเหยกันอยู่ตามร้านอาหาร รวมถึงพี่สาวของนฤชิตด้วย

“ยืนเหม่ออะไรอยู่น่ะชี้ แล้วทำไมถึงหนีพี่ออกมาก่อน”

เสียงหญิงสาวเอ่ยถามมาจากทางด้านหลัง ไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองเด็กหนุ่มก็รู้ว่าใครเป็นคนเรียกเพราะในเวลานี้มีพี่สาวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เรียกชื่อเล่นของเขาว่า ชี้

หลายคนที่ได้ยินมักจะอมยิ้มเพราะชื่อเล่นของเขาดูแปลกประหลาดในความคิดของคนอื่น แต่สำหรับนฤชิตแล้วมันเป็นชื่อที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารำลึกถึงพ่อผู้จากไป

เด็กหนุ่มเคยถามบิดาว่าทำไมถึงเรียกเขาแบบนั้น ท่านให้เหตุผลว่าเมื่อตอนที่นฤชิตยังเป็นทารกมักจะชอบชี้นิ้วไปทางนั้นทางนี้แทนที่จะกำมือเหมือนเด็กทั่วไป พ่อของเขาเลยเรียกว่าเจ้าชี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพราะคิดว่านั่นเป็นลางบอกว่าลูกชายจะได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่พอโตขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อนฝูงหรือคนรู้จักมักจะฟังผิดเป็นลูกชิ้น ซึ่งนฤชิตเองก็ไม่ใส่ใจที่จะแก้ไขเพราะเขาคิดว่าชื่อเล่นเดิมเป็นสัญลักษณ์สำคัญสำหรับคนในครอบครัว

“เอ้าว่าไง พี่ถามทำไมไม่ตอบ”

เสียงพี่สาวถามย้ำพลางเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะขยี้ผมน้องชาย นฤชิตยักไหล่พร้อมกับตอบ

“ผมขี้เกียจฟังเรื่องคุยโวของคนอื่น” เขามองพี่สาว “นึกว่าพี่กำลังสนุก”

“เบื่อแทบตายละไม่ว่า แต่คนมาด้วยกันไม่ชอบยังไงก็ต้องฟัง คิดเสียว่าเป็นเสียงนกเสียงกาก็สิ้นเรื่อง”

ปทิตตาตอบอย่างอารมณ์ดี นฤชิตเบ้หน้า

“ผมทำไม่ได้อย่างพี่นี่นา”

“ชี้ยังเด็ก ไม่จำเป็นต้องมาทนกับสังคมผู้ใหญ่อย่างพี่หรอก” ปทิตตาพูดพลางโยกศีรษะน้องชาย “ไงจะขึ้นเรือกันหรือยัง”

“แล้วแต่พี่ ผมยังไงก็ได้” นฤชิตตอบพลางดึงหูฟังออกจากหูและม้วนเก็บลงกระเป๋าพร้อมเครื่องเล่นเพลงขนาดเล็กส่วนพี่สาวของเขาหยิบตั๋วเรือออกมาจากกระเป๋าและเดินนำไปยังเรือท่องเที่ยว ขณะที่กำลังส่งตั๋วให้นายท่านก็มีเสียงดังต๋อมดังมาจากช่องว่างระหว่างตัวเรือกับท่า
นฤชิตก้มหน้าลงไปมองแล้วขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นอะไรบางอย่างคล้ายดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องพวกเขาอยู่ใต้น้ำ แม้จะเห็นไม่ชัดแต่เด็กหนุ่มก็แน่ใจว่ามันจะต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่าง เขาหันไปดึงแขนพี่สาวทันที

“เดี๋ยวพี่ นั่นมันตัวอะไรน่ะ”

ปทิตตาหยุดและมองตามมือของน้องชายแต่สิ่งที่เธอเห็นมีเพียงขยะสองสามชิ้นที่กำลังลอยกระเพื่อมอยู่บนผิวน้ำ

“ไหน ไม่เห็นมีอะไรเลย”

นฤชิตก้มหน้าลงไปมองอีกครั้งและขมวดคิ้ว

“อ้าวหายไปไหนแล้ว” เขาชะโงกหน้าลงไปและพยายามสอดสายตามองหาดวงตาประหลาดที่พบเมื่อครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและหันไปทางพี่สาว “เมื่อกี้ผมเห็นตัวอะไรไม่รู้จริงๆ หน้ามันเล็กนิดเดียวแต่ตาน่ะใหญ่เบ้อเริ่มแถมจ้องพวกเราเขม็ง”

 นฤชิตพยายามอธิบาย ปทิตตายิ้มพลางดึงน้องชายให้ก้าวเข้าไปในเรือและรุนหลังเขาให้เดินขึ้นไปยังชั้นบน

“คงเป็นเศษขยะที่ลอยมาตามน้ำน่ะอย่าไปสนใจเลย” เธอพูดขณะกวาดตามองหาที่นั่งซึ่งดูเหมือนจะมีที่ว่างเหลือเฟือ

“ข้างบนแดดร้อน คนเลยไม่ค่อยขึ้นมา แต่ไม่ต้องห่วงเพราะพอเรือแล่นเข้าไปข้างในภูเขาจะบังแสงให้เอง”

ปทิตตาให้เหตุผลพลางเดินไปยังบริเวณหัวเรือและนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านริมส่วนนฤชิตเมื่อเห็นว่าพี่สาวไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดจึงเลือกที่นั่งแถวถัดมา หลังจากวางกระเป๋าเรียบร้อยแล้วเขาจึงหยิบเครื่องเล่นเพลงขึ้นมาและเอนตัวพิงเก้าอี้นั่งฟังเพลงโปรดอย่างสบายอกสบายใจ ราวสิบนาทีเรือท่องเที่ยวสองชั้นจึงเคลื่อนออกจากท่าและวิ่งเข้าไปในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างขุนเขา ผู้คนที่นั่งอยู่ด้านล่างเริ่มทะยอยขึ้นมาชมทิวทัศน์ด้านบน บางคนบันทึกภาพธรรมชาติอันแสนสวยงามไม่หยุดมือ นฤชิตซึ่งยืนอยู่บริเวณหัวเรือมองพื้นน้ำที่มีระลอกคลื่นขนาดเล็กอย่างสบายใจ ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศอันสวยงามอยู่นั้นเด็กหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นระลอกคลื่นอีกกลุ่มวิ่งตรงมาที่เรือ ที่น่าแปลกก็คือมีปลาหลายตัวกำลังกระโดดอยู่บนยอดคลื่นและเมื่อเพ่งมองจนเห็นเด่นชัดเขาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเจ้าตัวที่กำลังเผ่นโผนอยู่เหนือผิวน้ำนั้นไม่ใช่ปลาแต่เป็นตัวประหลาดที่เจอตอนอยู่บนท่าเรือนั่นเอง

“นั่นไงล่ะพี่ตา สัตว์ประหลาดตาโตที่ผมบอกพี่อยู่ตรงนั้นไง”

ปทิตตามองตามมือน้องชายและพยายามมองหาสิ่งที่เขาบอกแต่หลังจากกวาดตาจนทั่วแล้วเธอพบเพียงคลื่นลูกเล็กกับกิ่งไม้แห้งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเท่านั้น

“ไม่เห็นมีอะไรเลย ตาฝาดหรือเปล่าชี้”

“ผมเห็นจริงๆ” เด็กชายยืนยันเสียงหนักแน่น ปทิตตายิ้มและทำท่าจะพูดโต้ตอบแต่ต้องเปลี่ยนเป็นร้องอุทานเมื่อจู่ๆเรือทั้งลำเกิดอาการสั่นโคลงไปมาเหมือนโดนอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชน หลายคนร้องตะโกนเอะอะด้วยความตกใจ นายท้ายเรือรีบยื่นหน้าออกไปมองลำเรือแล้วขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อไม่พบอะไร

“เรือโดนอะไรเหรอ” เจ้าหน้าที่ประจำเรือเดินมาถาม อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“ไม่เห็นมีอะไร”

“ไม่มีอะไรแล้วทำไมเรือถึงโคลงขนาดนั้น ขับไปชนอะไรหรือเปล่า”

เจ้าหน้าที่คนเดิมถามย้ำ แม้จะเป็นการถามเพราะความอยากรู้แต่สำหรับนายท้ายเรือแล้วมันเหมือนเป็นการดูถูกซึ่งหน้า เขามองอีกฝ่ายพร้อมกับตอบเสียงห้วน

“ผมขับเรือมาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แล้วไอ้ทางที่ใช้นี่ก็วิ่งเป็นประจำทุกวัน ใต้น้ำแถวนี้ไม่มีตอไม้หรืออะไรหรอก”

พูดได้แค่นั้นก็ต้องหยุดเพราะมีนักท่องเที่ยวคนหนึ่งร้องตะโกนด้วยความตกใจ

“นั่นอะไรน่ะ”

ทุกคนหันไปมองและต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นคลื่นลูกใหญ่วิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่พวกเขาจะทันได้ขยับตัวเรือทั้งลำก็เอียงวูบเมื่อคลื่นลูกนั้นพุ่งชน น้ำจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในตัวเรืออย่างรวดเร็ว นักท่องเที่ยงต่างพากันวิ่งหนีอย่างลนลานและพยายามแย่งกันขึ้นไปยังชั้นสอง บางคนก้าวพลาดร่วงลงไปในน้ำ เขาทะลึ่งพรวดขึ้นมาร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็จมหายลงไปอย่างรวดเร็วเหมือนโดนอะไรบางอย่างลากลงไป นฤชิตมองเหตการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาตระหนก ขณะที่กำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้นเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อโดนอะไรบางอย่างมาโดนหน้า

“ใส่เสื้อชูชีพนี่เร็ว”

ปทิตตาสั่งขณะมองเรือที่จมลงทีละน้อย เด็กชายมองเสื้อสีสดในมือก่อนจะมองพี่สาว

“แล้วพี่ล่ะ”

“พี่ว่ายน้ำเป็น” ปทิตตาตอบ นฤชิตมองเธอเขม็งก่อนจะยื่นเสื้อชูชีพส่งให้

“แต่ผมเป็นผู้ชาย พี่เอาไปใส่ดีกว่าครับ”

“อย่าเถียงได้ไหม” พี่สาวของเขาพูดเสียงเข้มและร้องอุทานเมื่อเรือสั่นโคลงอย่างรุนแรงเหมือนถูกอะไรบางอย่างพุ่งชน หลายคนเสียหลักหล่นลงน้ำทันที พวกเขาพยายามไขว่คว้าหาสิ่งของที่พอจะช่วยพยุงร่างไม่ให้จมแต่บางส่วนกลับผลุบหายลงไปในน้ำคล้ายถูกมือขนาดใหญ่ลากให้จมลงไป คนที่ยังคงยืนอยู่บนเรือส่งเสียงร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวในขณะที่นายท้ายเรือซึ่งอยู่ในกลุ่มตะโกนเตือน

“พยายามเกาะกลุ่มกันเอาไว้ ผมติดต่อขอความช่วยเหลือไปที่ท่าเรือแล้วเดี๋ยวเขาจะส่งคนมาช่วย”

เขาโยนห่วงชูชีพสองสามอันลงไปในน้ำพรอมกับร้องบอกคนที่ลอยคออยู่

“เกาะนี่เอาไว้ พยายามขยับตัวอย่าอยู่นิ่งเพราะน้ำมันเย็น จะได้ไม่จม”

พวกที่จมน่ะไม่ใช่เพราะน้ำเย็นหรือเป็นตะคริวหรอก แต่เพราะถูกตัวประหลาดพวกนั้นลากลงไปในน้ำต่างหาก นฤชิตเถียงในใจพลางเกาะแขนปทิตตาแน่น มืออีกข้างควานหาสิ่งของที่พอจะใช้เป็นอาวุธ

เขาไม่มีวันยอมให้พวกมันมาทำร้ายพี่สาวเป็นอันขาด

เด็กชายคิดพลางคว้าไม้ท่อนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นชิ้นส่วนของเก้าอี้มากำแน่น แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่นักแต่มันเป็นเพียงอาวุธชิ้นเดียวที่หาได้ในเวลานี้ เสียงซ่าของพรายฟองจำนวนมากที่ผุดขึ้นมาจากด้านข้างของเรือ มันเอียงวูบและจมลงอย่างรวดเร็ว คนที่ยืนอยู่บนนั้นทั้งหมดร่วงพรูลงไปในน้ำรวมทั้งนฤชิตและปทิตตา

“ชี้”

หญิงสาวซึ่งทะลึ่งขึ้นจากน้ำตะโกนเรียกน้องชายด้วยความเป็นห่วง นฤชิตสำลักไอออกมาสองสามครั้งก่อนจะขานรับ

“ผมอยู่นี่”

ปทิตตายิ้มด้วยความดีใจและรีบว่ายน้ำไปหาน้องแต่ยังไม่ทันไปถึงร่างของเธอก็จมหายลงไปใต้น้ำท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตระหนกของนฤชิต

“พี่ตา!”

เขาดำน้ำตามลงไปทันที แม้ภาพรอบตัวจะเลือนลางแต่สิ่งที่เห็นสร้างความหวาดกลัวต่อเด็กชายอย่างที่สุดเพราะภายใต้ท้องน้ำที่เยือกเย็นและเงียบสงบนั้นเต็มไปด้วยฝูงตัวประหลาดที่ดูคล้ายปลากำลังแหวกว่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง แต่สิ่งที่ทำให้นฤชิตตกใจมากที่สุดก็คือพวกมันกำลังรุมฉีกทึ้งร่างผู้เคราะห์ร้ายอย่างหิวกระหาย เด็กชายรีบตั้งสติและมองพี่สาวซึ่งก็พบว่าเธอถูกปลาผีอีกกลุ่มช่วยกันลากให้จมลึกลงไปใต้ท้องน้ำ บางตัวหันมาแยกเขี้ยวขู่และทำท่าจะเข้ามาทำร้ายเขาแต่เด็กชายทั้งเตะทั้งถีบพวกมันเป็นพัลวัน เขาพยายามว่ายน้ำตามฝูงตัวประหลาดแต่ลมหายใจที่กำลังสุดกลั้นทำให้เด็กชายอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว นฤชิตแทบคลั่งเมื่อเห็นพี่สาวถูกฝูงปลามรณะลากห่างออกไปทุกที เขาปัดปลาผีตัวหนึ่งไปให้พ้นทางก่อนจะยื่นมือไปข้างหน้าและขยับปากเรียกปทิตตาไม่หยุด ความเป็นห่วงกับแรงโทสะที่วิ่งพล่านไปทั่วร่างแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังงานบางอย่าง มันกระแทกมวลน้ำรอบตัวเด็กชายกลายเป็นคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงซัดปลาปิศาจที่อยู่รอบตัวพี่ของเขาจนกระเด็นหายไปจากสายตา

แม้จะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่นฤชิตก็รีบเข้าไปหาปทิตตาและพยุงตัวของเธอให้ลอยขึ้นเหนือน้ำ ทันทีที่สัมผัสกับอากาศทั้งเขาและพี่สาวต่างสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ทั้งคู่ยังคงตกอยู่ในความตระหนกและกลัวว่าจะโดนปลาผีลากลงไปในน้ำอีกครั้งแต่เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกที่ดังมาจากกลุ่มคนทำให้เด็กชายรีบหันไปมองและยิ้มด้วยความดีใจเมื่อเห็นเรือยนต์หลายลำกำลังวิ่งตรงเข้ามา

“มีคนมาช่วยเราแล้วพี่ตา”

เขาพูดพร้อมกับยกมือขึ้นโบกไปมา เรือลำหนึ่งจึงวิ่งมารับ ชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยรีบดึงร่างของปทิตตาขึ้นไปบนเรือแต่ยังไม่ทันที่จะพ้นจากน้ำทั้งผู้ที่เข้ามาช่วยกับหญิงสาวก็ถูกเจ้าปลาผีคว้าเอาไว้และลากทั้งคู่กลับลงไปในน้ำ นฤชิตร้องเรียกพี่สาวด้วยความตระหนก มือทั้งสองข้างจับตัวประหลาดและเหวี่ยงทิ้งไปจนไกล ขณะที่กำลังประคองร่างปทิตตาและพาว่ายกลับไปที่เรือเด็กชายก็รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นมาจากใต้น้ำ เสียงแหลมเล็กของปลาปิศาจดังระงม ร่างของเจ้าหน้าที่ที่จมหายไปเมื่อครู่ทะลึ่งพรวดขึ้นมา เขาสำลักไอออกมาสองสามครั้งก่อนจะรีบเข้ามาช่วยเหลือปทิตตา เมื่อพี่สาวถูกดึงขึ้นไปบนเรือเรียบร้อยแล้วนฤชิตจึงเตรียมตัวจะปีนตามแต่แล้วจู่ๆก็มีฟองอากาศจำนวนมากผุดขึ้นรอบตัว เสียงร้องด้วยความโกรธดังสะท้อนไปจนทั่วคุ้งน้ำ ฝูงปลาผีว่ายเข้ามารุมล้อมร่างของเด็กชายและช่วยกันฉุดกระชากลากเขาอย่างชุลมุนจนน้ำแตกกระจาย ในสายตาของคนที่อยู่บนเรือกลับมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่พรายฟองที่ผุดขึ้นมาจากใต้น้ำเป็นจำนวนมาก พวกเขาพยายามยื่นมือออกไปหมายจะช่วยแต่นฤชิตกลับจมหายไปต่อหน้าต่อตา ปทิตตามองด้วยความตระหนก เธอโผตัวเพื่อจะกระโดดลงไปในน้ำแต่เจ้าหน้าที่บนเรือรีบร้องห้ามพร้อมกับคว้าร่างของเธอเอาไว้ หญิงสาวจึงได้แต่กรีดเสียงร่ำไห้และร้องตะโกน

“ชี้!”

*/*/*/*/*/*

เริ่มเข้าสู่ความเป็นแฟนตาซีแล้วนะคะสำหรับเรื่องนี้ ฉากใต้น้ำเป็นอะไรที่เขียนยาก(สำหรับมูนนี่) อาศัยว่าเคยจมน้ำมาก่อนเลยพอจะรู้สึกว่ามันเป็นยังไง ตอนบรรยายก็รู้สึกอึดอัดเหมือนตอนนั้นขึ้นมาเลย = =

บทหน้าก็จะตามต้นแบบทันแล้วค่ะ

มาคุย คุ้ย คุย

มาให้กำลังใจเหมือนเดิมจ้า สู้ๆ
จากคุณ : Setakan  
- ขอบคุณค่า ^^

เรื่องออกไปในแนวแฟนตาซีมากขึ้นกว่าแรกๆ
เริ่มดุเดือดมากขึ้น
ตัวละครมีเลเวลและประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น
จากคุณ : GTW  
- ความจริงเรื่องนี้เป็นนิยายแฟนตาซี แต่เปิดเรื่องออกแนวฮาเลยทำให้คนอ่านคิดว่าเป็นนิยายตลก เนื้อหาต่อไปจะหนักขึ้นแล้วล่ะค่ะ(แต่เจ้าโป้งคงจะรั่วเหมือนเดิม)

โป้งสู้ๆๆ จะทำได่ป่าวเนี่ย
จากคุณ : Tyra  
- ตามสกิลพระเอก ทำได้ แต่ไม่ค่อยทำ = ="

ขอบคณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายของมูนนี่นะคะ วันนี้ปิดท้ายกันด้วยเงือก  แต่เป็นเงือกในจิตนาการของมูนนี่นะคะ

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 55 10:21:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com