ยังจำได้ถึงคนบ้าคนหนึ่งในหาดใหญ่ ความสูงประมาณไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบเซ็นติเมตร หน้าตาค่อนข้างกลม ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนหัวหยิกหยอย มักจะโชว์ฟันที่เรียบขาว เหมือนลิงเวลายิ้มหยอกเย้า ชอบนุ่งกางแกงขาสั้นบ้าง หรือบางครั้งนุ่งเตี่ยวบ้าง ปรกติมักจะไม่ใส่เสื้อ แต่ชอบเดินโชว์กล้ามเนื้อสีน้ำตาลคล้ำ มักเดินว่อนไปว่อนมาในแถวละแวกบ้านสายหนึ่งสองสาม ถ้าวันไหนใส่เสื้อมักจะเป็นเสื้อสีขาวสกปรกแทบไม่ได้ซัก
การเดินการวิ่งของคนบ้าคนนี้จัดว่าเร็วมาก เด็ก ๆ ที่เกเร มักจะล้อเลียนแกให้แกวิ่งไล่จับ ถ้าแกจับทัน แกมักจะพูดเตือนว่า ทีหลังอย่าทำ ไม่ดี แต่แสดงอาการว่าจะแขกหัวเด็กเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้ลงมือทำร้ายเด็กที่แกจับได้แต่อย่างใด แล้วส่วนมากเด็กที่เคยแกถูกจับตัวได้ มักจะเลิกราหรือเลิกตอแยกับแกไปเลย
จริง ๆ แล้วเรื่องการไปตอแยกับคนบ้า แม้ว่าจะมีพ่อแม่ผู้ใหญ่เตือนหรือห้ามบรรดาเด็ก ๆ ว่าไม่ควรทำหรือไม่พึงทำแต่อย่างใด แต่นิสัยเด็กที่อยากรู้อยากเห็น หรือพวกมากลากไปมักจะสร้างปัญหาดังกล่าวขึ้นมา
เห็นแกเดินไปเดินมาในหาดใหญ่ประมาณสามถึงสี่ปี มีช่วงหนึ่งเห็นแกพาผู้หญิงหน้าตาดีมีเชื้อจีน แต่มีอาการทางประสาทหรือสติไม่ดี เดินไปเดินมาและควงคู่เหมือนสามีภริยาข้าวใหม่ปลามัน เดินไปมาตามท้องถนนในหาดใหญ่ มักจะมีคนให้ทานเป็นเงินทองหรือข้าวปลาอาหารบ้าง ซึ่งบ้างครั้งแกจะรวบรวมแล้วนำไปหุงต้มอุ่นทำกิน ที่ซอยผ่ากลางเชื่อมถนนสายสองกับถนนสายสาม ถนนนิัพัทธ์อุทิศสองกับถนนนิพัทธ์อุทิศสาม แต่ตอนนี้ซอยดังกล่าวมีการแปลงสภาพเป็นอาคารพาณิชย์ หรือที่เรียกกันว่า ตลาดสันติสุข
ที่รู้ว่าแกอยุ่ตรงนั้น เพราะใกล้กับร้านค้าของพ่อ ที่ผมมักจะชอบไปนั่งเล่นหรือเวลาไม่อยากอยู่ที่บ้าน เพราะได้สั่งอาหาร/เครื่องดื่มเป็นกรณีพิเศษ จากข้างบ้านที่เป็นร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม หรือบางครั้งแม่บอกว่าให้ไปช่วยเฝ้าร้านพ่อในบางวัน เพราะผมเคยเห็นแกเดินออกมากับภริยาของแก ขณะที่แกห่มผ้าห่มเก่า ๆ เดินออกมา ในสภาพผมเผ้ารกรุงรัง หรือเดินกลับเข้าไปในซอยนั้นช่วงบ่าย ๆ
หมายเหตุ ซอยดังกล่าวไม่ผมไม่กล้าเดินเข้าไปเลย เพราะดูค่อนข้างเงียบและเปลี่ยวมาก ตามประสาวัยเด็ก
แต่อาหารโปรดที่แกชอบมากที่สุดคือ แมวพเนจรที่หลงเดินผ่านไปมาแถวนั้น จะถูกแกจับได้แล้ว มักจะถูกแกทุบให้ตาย แล้วลอกหนังนำไปต้มกินเป็นอาหาร (ไม่เคยได้ไปดูการปรุงอาหารของแก) แต่เคยเห็นแกหิ้วซากแมวเดินแกว่งไปมา หรือบางครั้งเห็นแฟนแกอุ้มซากแมวด้วย
แต่เพื่อนร่วมงานของพ่อและคนแถวนั้น มักจะเล่าให้ฟังและบอกว่าเห็นแกชำแหละแมว แล้วต้มในหม้อต้มเอนกประสงค์ของแก ที่จุดไฟกับเตาถ่านอั้งโล่ว (เตาถ่านหุงข้าว) แต่คนแถวนั้นไม่มีใครกล้ายุ่งกับแกหรือตักเตือนแก นัยว่า อย่ายุ่งกับคนบ้า อย่าไปบ้ากับคนเมา อะไรทำนองนั้น เพราะมีแต่เสียไม่มีได้ เผลอ ๆ ชาวบ้านจะด่าเอาว่า ไปบ้าอะไรกับคนประเภทนั้นละ เสียผู้เสียคนไปเลย
การอยู่กินฉันท์สามีภริยาของคนคู่นี้ ไม่ช้านานกลายเป็นตำนานเล่าสู่กันฟังอีกเรื่องหนึ่ง คือ แกถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ได้เงินรางวัลสมัยนั้นสี่แสนบาท แล้วแกพาภริยาไปส่งที่โรงพยาบาลประสาทสงขลา (ชื่อเรียกของชาวบ้านในสมัยนั้น) พร้อมกับมอบเงินรักษาพยาบาลไว้ให้บางส่วน
ส่วนตัวแกได้ข่าวว่าเดินทางกลับบ้านเกิดที่อินเดียไป หายหน้าหายตาไปจากหาดใหญ่ตลอดกาล เพราะร่ำรวยจากเงินรางวัลดังกล่าวแล้ว ส่วนการที่แกต้องทำตัวเป็นคนบ้า เพราะตำรวจและชาวบ้านจะได้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับแก ทำให้แกสามารถอยู่แบบผิดกฎหมายได้
เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนคนไร้ชื่อไร้นามในสังคมเมืองใหญ่ นาน ๆ ไปก็ลืมเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน
แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 55 16:26:48
จากคุณ |
:
ravio
|
เขียนเมื่อ |
:
12 พ.ค. 55 15:16:00
|
|
|
|