Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 15 ติดต่อทีมงาน

ขอบคุณเพื่อนนักอ่านล่องกัลปาลัยทุกท่านครับ รีบนำมาลงเช้าวันจันทร์ก่อนนะครับ แล้วค่อยเข้ามาตอบความเห็นอีกทีครับ

ขอบคุณกิฟต์จากคุณ นุ้ย นารีจำศีล, แก้วกังไส, wor_lek, นวลน้ำผึ้ง, Hermosa, อินทรายุธ, Setakan, กุหลาบมอญ, kdunagin, mimny, รพิชา, เพชรรุ้งพราย, ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, เรียวรุ้ง, เขมปัณณ์ และคุณ สุชาดาวดีด้วยครับ

สำหรับตอนที่ 14 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12069165/W12069165.html


บทที่ 15


             “อาตม์...”


              เสียงเรียกดังขึ้น และชายชราก็เห็นหลวงอนุรักษ์วนาดรกำลังยืนกายเหยียดตรงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ร่างสูงใหญ่ ศีรษะตั้งตรงบนไหล่กว้างผึ่งผาย ใบหน้าคมเข้มอย่างชายไทยแท้ แม้จะเคร่งขรึมจนเสมือนไร้ความรู้สึกอยู่เป็นนิจ หากบัดนี้กลับเรืองประกายคล้ายมีประจุแห่งอัคนีฉายโชนอยู่ภายในนั้น


                 เขารู้ด้วยความคุ้นเคย นายท่านกำลังพยายามข่มกลั้นความโกรธ ในสิ่งสำคัญที่เขาเข้ามาขัดจังหวะโดยไม่เจตนา ชายชราทรุดกายลงกับพื้นร่างสั่นเทา ทั้งจากความหวั่นเกรงต่ออำนาจบารมีของบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า และต่อความจริงที่กำลังจะได้รับฟังจากปากของผู้เป็นนาย


               แววตาแข็งกร้าวร้อนแรงราแสงลงเมื่อเห็นอากัปกิริยาหวั่นเกรงของอีกฝ่าย เศาร์รู้สึกถึงความเจ็บปวดในหัวใจเจียนคลั่ง


                ในโลกอีกฟากฝั่งแห่งจินตภพที่เขาพากเพียรด้นเดินทางไปจนถึง ขณะจรดริมฝีปากลงสัมผัสร่างน้อยเพื่อปลุกอีกฝ่ายให้ตื่นจากนิทรารมณ์ แทบสัมผัสถึงความอุ่นระอุที่ทวีขึ้น เขาก้าวข้ามปราการที่มองไม่เห็น และกระทำสิ่งนั้นได้บรรลุแล้ว!


กับหนึ่งนางในฝันนั้น...


               มิใช่เพียงแค่การหลบซ่อนกายาอยู่ในเงามืดและเฝ้าดูการดำเนินไปของอีกฝ่ายอีกต่อไป ไม่ต่างกับการยืนชมมหรสพโดยไม่มีส่วนร่วม หากสามารถข้ามผ่านพรมแดนในอาณัติที่กำกับเอาไว้แต่แรกได้สำเร็จ เป็นยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ และเหนือยิ่งกว่าความฝัน!


                   พระฉวีเนียนละเอียดจากสัมผัสแทบไม่ต่างจากผิวเนื้อมนุษย์ที่มีชีวิต นี่คือเจ้าหญิงมณีเรขาจริงๆ มิใช่ในจินตนาการอีกต่อไป...


            “ทุกอย่างที่จารจรดลงไปด้วยหัวใจ จักได้รับการตอบรับด้วยหัวใจเดียวกัน จำไว้ว่า ทุกอย่างจะเกิดขึ้นจากการเลือกของเจ้า... เพียงผู้เดียวเท่านั้น!  เจ้าคือผู้เลือกมรรคาของตัวเองด้วยการจรดล...”


               เขาเข้าใจสิ่งที่วิศวามิตรพราหมณ์เอ่ยแล้ว ทุกถ้อยคำ ทุกกระบวนความ... และเลือกแล้ว ในมรรคาของตนเอง โดยไม่หันหลังกลับ ด้วยการจรดล หากทว่า...


           ในห้วงเวลาอันสำคัญนั้นเอง พลังแรงดุจวาตะกระพือโหมดึงดูดมาจากด้านหลัง มันพุ่งผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างกับเงื้อมหัตถ์มหากาฬที่คว้าตัวเขาเอาไว้แล้วกระชากเพื่อดีดตัวตนให้ย้อนกลับคืนเข้าสู่ที่มาแต่แรกเริ่ม


               แรงดึงที่ไม่อาจฝืนรั้งกายเอาไว้ได้อีกสักเพียงเสี้ยววินาที พริบตาชายหนุ่มถูกกระชากเข้าไปในความมืดที่แผ่เข้าปกคลุมอย่างรวดเร็วของช่องอุโมงค์อันเป็นทวารบถแห่งการจรดล และในท้ายที่สุดของความรู้สึกก่อนม่านสีนิลจะเคลื่อนเข้าบดบังภาพทุกภาพในจินตภพ เขามองเห็นดวงเนตรคู่นั้นเบิกกว้างขึ้น แล้วจ้องจับมาที่เขาในเพลาเดียวกันของการคืนกลับสู่ความเป็นจริง


                   สายตาที่จำหลักลงกลางใจของเศาร์อย่างไม่มีวันเลือนลืมไปตลอดชีวิต และทำให้รับรู้ความจริงบางอย่างที่น่าอัศจรรย์ใจ


             มีรอยรำลึก อยู่กึ่งกลางนัยน์เนตรราวมฤคีคู่นั้นเช่นกัน


              เจ้าหญิงมณีเรขา ทรงจดจำเขาได้เช่นกัน!


                เศาร์ไม่อาจตอบตนเองได้ว่า เจ้าหญิงผู้ทรงพระสิริโฉมพระองค์นั้นเคยเห็นเขามาก่อนตั้งแต่คราใด แต่พระเนตรวาบหวานราวบุษปศรแห่งองค์มยุรเกตุ* ก็ฉายชัดเจนยิ่งกว่าการจ้องสะท้อนผ่านบานพระฉายอันสุกใสในห้องบรรทมแห่งนั้น


            แล้วทุกอย่างก็กลับปรากฏขึ้นในมิติแห่งเวลาและสถานที่เดิม ภายในห้องทำงานส่วนตัวในทับสนธยา แห่งบ้านปางงิ้วดำ... โดยมีร่างของเฒ่าอาตม์ยืนตกตะลึงอยู่เบื้องหน้า


              คุณหลวงหนุ่มฝืนข่มความผิดหวังและเสียดาย ที่แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวลงอย่างยากเย็น ถ้า.. ถ้าไม่มีการขัดขวาง เขาและมณีเรขาก็จะได้พานพบกัน นางกำลังตื่นจากห้วงนิทราแล้ว เพียงชั่วเวลานิดเดียวเท่านั้น


               เศาร์ขบฟัน กลืนความร้อนระอุลงไปในทรวงอย่างยากเย็น แล้วจึงหันมามองร่างชราของอีกฝ่ายอีกครั้ง ด้วยความเข้าใจมากขึ้น และท้ายที่สุดคือความเวทนา...


           ถึงเวลาแล้วกระมังที่จะต้องเปิดเผยความจริงให้ชายชราผู้นี้ได้รับรู้เสียที?


        ชายหนุ่มพยักหน้า ให้บ่าวรับใช้คนสนิท ผู้มีที่มาอันลึกลับให้เดินตามกลับลงไปยังห้องด้านล่าง...


                 ก่อนความจริงและที่มาทุกอย่าง จะถูกเล่าออกมาให้อาตม์รับฟัง


            **********************


                   พลังแห่งมนตราที่วิศวามิตรพราหมณ์จำหลักลงในทวารแห่งจิต ถูกเปิดผนึกออกอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้า เมื่อกัลปาลัยหน้าแรกปรากฏลงเบื้องหน้า มือข้างหนึ่งเผลอกำด้ามแห่งอักษรชนนี หรือปลายปากกาแล้วจรดลงไปบนแผ่นกระดาษอันว่างเปล่าราวต้องมนตร์ พร้อมกันนั้นก็บังเกิดเสียงสังวัธยายดังก้องกังวานไปทั้งโพรงศีรษะ แต่แรกก็เพียงแผ่วเบาไม่ต่างกับสายลมกระซิบ และเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆทุกขณะ


            เสียงที่กระซิบผ่านจากริมฝีปากของตัวเอง


               คล้ายแผ่นกระดาษในกัลปาลัยจะกลายเป็นผืนผ้าแห่งจินตนาการที่ถูกปลุกให้มีชีวิต ทุกการจรดหมึกลงไป ยิ่งดึงรั้งตัวตนของเขาให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆโดยมิอาจควบคุม จ่อมจมลงไปสู่สถานะบางอย่างที่มิอาจคาดเดา หากเศาร์ก็ตัดสินใจแล้วอย่างแน่แน่วที่จะไปให้ถึงจุดนั้น เขาไม่เคยมีความประหวั่นพรั่นพรึงใดๆทั้งสิ้นอันเป็นธรรมชาติวิสัยตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายตัวน้อย ที่หาญกล้าบ้าบิ่นเกินเด็กทั่วไป จนถูกเรียกขานว่า “ใจแข็งเป็นเพชร”


             ไม่พรั่นพรึง แม้ว่าเบื้องหน้าที่จะต้องไปถึง จะเป็นแดนสรวงสวรรค์หรือฝั่งนรก!!


               เมื่อนั้นเองจินตนาการของชายหนุ่มก็ไหลบ่าท่วมท้นโดยมิรู้ตัว เศาร์พบว่าในบทบาทของข้าราชการป่าไม้หนุ่มน้อยแห่งแดนสยาม เปี่ยมท้นไปด้วยพลังและความใฝ่ฝันมากมายเพียงใด หากแต่มิเคยถ่ายทอดมันออกมาในรูปตัวอักษรใดๆ ทว่าในบัดนี้ เมื่อแรงมหามนตราได้เริ่มต้นขึ้น มันได้ชักนำให้ได้ย้อนกลับเข้าไปในห้วงเวลาแห่งอดีต จากเด็กชายผู้กำพร้าทั้งบิดาและมารดา ที่ต้องต่อสู้ปากกัดตีนถีบด้วยความยากแค้นแสนเข็ญเพียงลำพัง


          แต่ก็มิเคยทำให้เกิดความย่อท้อ หรือน้อยใจในโชคชะตาอันอัปภาคย์ของตน หัวใจของเขาแข็งแกร่งต่อการเผชิญอุปสรรคทั้งมวลที่ถาโถมประดังเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า โดยไม่เคยปริปากคร่ำครวญ หรือเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว


              ไอ้คนใจเพชร!


              หลายคนเรียกเด็กชายเช่นนั้น ด้วยอุปนิสัยมิยอมคน และจะสู้จนยิบตาเมื่อยามถูกคนอื่นเอาเปรียบหรือรังแก ทั้งที่ในลักษณะนิสัยแท้จริง เด็กชายจะมักจะชอบเก็บตัวอยู่เงียบๆอย่างสมถะ โดยไม่เคยไประรานต่อสู้กับใครก่อน


               ความสุขในชีวิตที่หาได้ง่ายที่สุด ก็คือการได้อยู่ในท่ามกลางกองหนังสือ และอ่านเรื่องราวสนุกสนานต่างๆที่สร้างจินตนาการให้โลดลิ่วเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน หนังสือที่หลวงตาทิม สมณะเฒ่าผู้ที่อุปการะ ส่งเสียเขาให้อยู่กิน พักอาศัย รวมถึงการเล่าเรียนในโรงเรียนวัดชนบทแห่งนั้น ภายในกุฏิไม้ขนาดเล็กๆของท่าน นอกจากตู้หนังสือพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีหนังสือตำรับตำราที่ลูกศิษย์วัดรุ่นก่อนหน้านี้ใช้เรียนและกองทิ้งเอาไว้


              หลวงตาผู้อารี มักจะให้เขาช่วยเก็บเข้าตู้ของท่านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือตำราการเกษตร หนังสือแบบเรียนนิทานอีสป** ของกระทรวงธรรมการ ซึ่งหลวงตาทิมยังได้เมตตาให้เด็กชายได้มีโอกาสอ่านให้ฟังด้วย


              “เฮ้ยไอ้เศาร์ ว่างๆเอ็งมาอ่านหนังสือให้หลวงตาฟังหน่อยซิหวา หลวงตาแก่แล้ว สายตาไม่ค่อยจะดีนัก”


                  เป็นหลวงตานั่นเอง ที่ท่านเมตตาตั้งชื่อให้กับเขาว่า เศาร์


             “เอ็งมันอาภัพนัก แต่หัวใจเด็ดเดี่ยว กล้าแข็งเกินกว่าเด็กอื่นทั่วไป ก็สมแล้วล่ะ ที่เขาเรียกว่าไอ้คนใจเพชร”


               ท่านเคยมองหน้าเด็กชายที่เนื้อตัวมอมแมม สวมเสื้อผ้าปะชุนเก่าคร่ำ หากมีเพียงนัยน์ตากลมโตเท่านั้นที่เปล่งประกายทรหดเด็ดเดี่ยว มันมิเคยโอดครวญบ่นพร่ำต่อความยากลำบากใดๆที่ต้องเผชิญหน้าทุกค่ำเช้า


             “ข้าจะตั้งชื่อให้กับเอ็งเอง ชื่อเศาร์ สั้นๆนี่แหละ ความหมายดีแล้ว โตขึ้นต่อไปเอ็งจะได้ใช้ความกล้าหาญอันเป็นคุณสมบัติติดตัวของเอ็ง นำพาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต”


             หลวงตาทิมท่านเมตตาให้เด็กชายเศาร์ได้ฝึกฝนการอ่าน จนแตกฉานในอักขระ ทั้งจากกลอนนิทานพระอภัยมณีที่มีจังหวะกลอนตลาด และบ้างก็ทบทวนตำราเรียน ปฐมก กา ก่อนที่เศาร์เองจะเริ่มเรียนแบบเรียนเร็วในโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ ไม่นานเลยเมื่อเด็กชายเศาร์เกิดความสนใจ จนกระทั่ง สามารถอ่านหนังสือมูลบทบรรพกิจ จนไปถึงพิศาลการันต์***


              หากสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของเด็กน้อยในตอนนั้นมากที่สุด ก็คือหนังสือสมุดไท กลอนนิทานวัดเกาะ****นั้นต่างหาก

  เล่มสลึงพึงรู้ท่านผู้ซื้อ
ร้านหนังสือน่าวัดเกาะเพราะนักหนา
ราษเจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา
เชิญท่านมาซื้อดูคงรู้ดี

  ได้ลงพิมพ์คราวแรกแปลกแปลกเรื่อง
อ่านแล้วเปลื้องความทุกข์เป็นศุกขี
ท่านซื้อไปอ่านฟังให้มั่งมี
เจริญศรีศิริสวัสดิ์พิพัฒน์เอย...


             ทั้งเรื่องพงศาวดารที่เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไทย จีน อย่างซวยงัก ซ้องกั๋ง หรือหนังสือนิทานจักรๆวงศ์ๆทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแก้วหน้าม้า ธนูขรรค์งูเขียว สุวรรณหงส์ฯลฯ เศาร์สามารถอ่านรายละเอียดและจังหวะของกลอนเหล่านั้นได้อย่างสนุกสนาน มันทำให้เด็กชายมีความแตกฉานในการอ่านหนังสือเหนือกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด


            กลอนหลายบทเขาจดจำและท่องมันไว้ได้เป็นอย่างดี และสามารถท่องได้อย่างคล่องแคล่วโดยแทบไม่ต้องพยายามจดจำ หากเมื่อเจริญวัยเติบโตขึ้น สิ่งเหล่านั้นกลับเลือนไปจากความทรงจำเมื่อมีภารกิจการงานอื่นเข้ามาแทรก และเขาก็คิดว่ามันคงจะสูญสลายไปจากสมองของตัวเองจนหมดสิ้นแล้ว


                บัดนี้เมื่ออยู่ต่อหน้ากัลปาลัยของวิศวามิตรพราหมณ์ ความทรงจำเหล่านั้นก็หวนคืนกลับมาอีกและต่อยอดกับประสบการณ์ชีวิตที่เผชิญสิ่งต่างๆมามากมาย จนเกิดเป็นเนื้อเรื่องใหม่ที่เหนือไปกว่าในจินตนิยายเหล่านั้น...


             เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาห้ามตัวเองไว้ไม่ทัน

  แต่ปางหลัง ครั้งสิ้น พระศาสนา
ในโลกแห่ง อนาคต เกินรจนา
นครา หนึ่งกระจ่าง กลางโพยม

   มีแก้วผลึก ประจำเมือง เรืองแสงส่อง
สว่างพร้อง พร่างแรง ดังแสงโสม
ชาวประชา อาศัย ต่างไฟโคม
นามเมืองโรม-พิสัย ใหญ่ยิ่งยง

ผ่านเวลา เนิ่นนาน กาลฉนำ
ยิ่งก้าวล้ำ เกรียงไกร ได้ประสงค์
หากเจ้าครอง นครา ผู้อ่าองค์
กลับลุ่มหลง อำนาจ ปราศในธรรม์



           วูบแห่งจินตนาการที่ก้าวทะลุออกไปสู่โลกเหนือขอบเขตของความเป็นจริง เขาเคลื่อนผ่านอุโมงค์แห่งกัลปาลัยแล้วปรากฏกายขึ้น ณ นครนามโรมพิสัยนครแห่งนั้น ขณะที่ด้านหลัง ภาพของเรือนพักยังปรากฏเลือนรางอยู่อีกฟากอุโมงค์อันครึ้มสลัวเหมือนอยู่ท่ามกลางม่านหมอกแห่งสนธยา


              ณ บัดนี้ เขาเริ่มต้นการจรดลอยู่ท่ามกลางธรณีประตูระหว่างสองฟากภพ โดยยังมิอาจก้าวข้ามโดยสมบูรณ์


            คุณหลวงหนุ่มยืนตะลึงกับภาพเบื้องหน้า รับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าว่ามิใช่ภาพลวงตา แม้แต่สมุดมหัศจรรย์เล่มนั้นก็ยังอยู่ในอุ้งมือ ชายหนุ่มหยิบมันพลิกขึ้นมอง ตัวอักขระต่างทยอยผุดขึ้นมาจากหน้ากระดาษ ตามเนื้อเรื่องที่เขากำลังจินตนาการขึ้น เมื่อหยุดชะงักงัน ตัวอักษราสีทองเหล่านั้นก็หยุดนิ่งค้าง และรอคอยราวกับมีชีวิตเป็นของตนเอง...


             เศาร์รับรู้ในทันทีว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มันเกิดขึ้นจากจินตนาการในกลอนนิทานวัยเยาว์ ผสมผสานเข้ากับนิยายวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตก ที่มีโอกาสได้อ่านในช่วงเดินทางมาเรียนยังนครบอมเบย์นั่นเอง


               แท้จริงมันคือนิทานแห่งโลกอนาคต...

   ใช้ความรู้ วิทยา คณานับ
สร้างกองทัพ “มนุษย์ยนตร์” ดังดลฝัน
หลอมโลหะ พลังไฟ  ใส่รวมกัน
บังเกิดพลัน อมรรตัย อสุรกาย

  ออกเข่นฆ่า สังหาร ผลาญชีวิต
เสกลิขิต สั่งได้ ดังใจหมาย
ไร้ชีวิต ไร้วิญญาณ การละอาย
แม้ความตาย ก็มิพรั่น หวั่นใดใด



            ภาพกองทัพหุ่นพยนต์ในความทรงจำถูกดึงเข้ามาร่วมกับเนื้อเรื่องที่เขาผสานจินตนาการขึ้น หากเป็นกองทัพที่ก้าวล้ำเกินกว่าในนิทานกลอนที่เคยอ่านมา


           เพราะมันเป็นหุ่นพยนต์ที่เกิดขึ้นจากโลหะที่ป้อนคำสั่งผ่านระบบกระแสไฟฟ้า!

       ถูกกำหนด ด้วยแรง แห่งไฟฟ้า
เหมือนมนตรา บังคับ เกิด-ดับได้
เสกและสร้าง ด้วยปัญญา ประดิษฐ์ไป
อิงอาศัย ภูมิรู้ ผู้สร้างมัน

      กองทัพแห่ง โรมพิสัย ไล่ขยี้
ทุกธานี ถูกบีฑา ต้องอาสัญ
อนิจจา ชีวิตคน ถูกฆ่าฟัน
สนองตัณ-หาที่ มิเพียงพอ!

            แต่แรกภาพในจินตนาการถูกสร้างอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน และโลดแล่นไปตามความคิดฝัน กองทัพของนครโรมพิสัยที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคนิคของหุ่นยนตร์ในโลกอนาคต หนังสือนิยายวิทยาศาสตร์จากที่เขาเคยอ่านมาก่อน ถูกนำมาสร้างจนปรากฏเป็นภาพเสมือนจริง เสกสร้างนคราเนรมิตที่อาศัยแสงสว่างจากหลอดไฟแทนแสงสว่างจากดวงตะวัน


                คงไม่ต่างกับที่ท่านเอกอาลักษณ์ภู่ หรือสุนทรภู่ ซึ่งสร้างจินตนิยายล้ำยุค “พระอภัยมณี”ขึ้นมานั่นเอง


               ทุกอย่างเป็นภาพเหลือเชื่อ เมื่อเขาได้มองเห็นมันชัดเจนทุกขั้นตอน ไม่ต่างกับการยืนชมภาพนั้นจนแทบจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสได้ แต่ในครั้งแรกนั้น เศาร์พบว่ามันยังมีปราการที่มองไม่เห็นกีดกั้นระหว่างตัวตนของเขา กับภาพนิมิตนั้น จนไม่อาจก้าวข้ามเข้าไปได้โดยสมบูรณ์


            เขายังดำรงสถานภาพเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์


                    แต่ก็มิได้พรั่นพรึง บางสิ่งบางอย่าง บอกกับตัวเองว่านี่เป็นเพียงการทดสอบแรก เขา “เชื่อ”ว่ากัลปาลัยนี้ จะนำพาเขาไปสู่ปลายทางที่พึงประสงค์ นั่นก็คือการทะลุผ่านเข้าไปสู่ในจินตนาการ โลกของนครที่เขาจำแลงมันขึ้นมาด้วยมันสมองและหัวใจของตัวเอง


                นครโรมพิสัย!!


              และกองทัพหุ่นพยนต์ที่ไม่ต่างกับหุ่นพยนต์ในวรรณคดีบางเรื่อง อันหมายถึงมนุษย์จำแลงที่ถูกเสกสร้างขึ้นด้วยมนตรา หากนี่คือมนตราแห่งวิทยาการก้าวหน้าในอนาคต!


              หลายครั้งหลายหนที่เขาพยายาม... และเกือบประสบความสำเร็จในการผ่านเข้าสู่ “โลก” ด้านในอันเรียกขานว่า จินตภพ แต่เหตุการณ์บางอย่างก็เกิดขึ้นเสียก่อน


                       นั่นก็คือครั้งแรกที่เขาพบกับอาตม์...

            *************************


             แล้วบุคลิกของตัวละครตัวหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นจากจิตใต้สำนึกในเวลานั้น เขามองเห็นภาพกองทัพมหาศาลของหุ่นพยนต์ ถูกสร้างขึ้นด้วยวิทยาการก้าวหน้าล้ำยุค มนุษย์สังเคราะห์ที่ปราศจากหัวใจและความนึกคิดใดๆ นอกจากการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำแห่งโรมพิสัย ในพลังแห่งจินตนาการถะถั่งท้น เศาร์คิดว่าฉากต่อไปภายหลังจากนั้น ก็คือการเสนอภาพการบุกโจมตีของกองทัพแห่งโรมพิสัย ต่อราชธานีอื่น เพื่อแสวงหาอาณานิคม ขยายขอบขัณฑสีมาให้กว้างไกลออกไปมากที่สุด


             จนกระทั่งดำเนินไปสู่ ขอบเขตของนครอีกแห่งหนึ่ง ที่มีความเจริญรุดหน้าทัดเทียมกันทางทิศเบื้องหรดี


             มหาอาณาจักรหนึ่งซึ่งปกครองโดยองค์ท้าวพรหมทัต ในจินตนิยายแห่งภารตประเทศถูกจุดประกายตั้งต้นขึ้นก่อนเป็นลำดับแรก เพียงแต่เปลี่ยนนามนคราจากพาราณสี เป็น วิเทหนคร เท่านั้น

อตีเต พาราณสิยัง พรัหมทัตเต รัชชัง กาเรนเต โพธิสัตโต...
กาลครั้งหนึ่ง ในกรุงพาราณสี ยังมีพระราชาองค์หนึ่ง พระนามว่า พรหมทัต...

    ณ เบื้องทิศ หรดี ธานีใหญ่
อาณาจักร กว้างไกล สุดไพศาล
พรหมทัต ครองเมือง เรืองโอฬาร
นามตระการ วิเทหะ นครา




               นครวิเทหะตัวแทนแห่งคุณธรรมที่จะเข้าร่วมยุทธนากับตัวแทนฝ่ายด้านมืดของโรมพิสัย นั่นคือฉากในจินตนาการอันเพริศแพร้วของหลวงอนุรักษ์วนาดร แต่ในขณะเดียวกัน ในด้านมืดย่อมมีด้านดี และในด้านดีก็ย่อมมีด้านมืด


               อะไรบางอย่างจุดประกายในความคิดประหนึ่งสายฟ้า


              เขาต้องการเสกสร้างให้มี วีรบุรุษขุนพล ผู้เป็นหนึ่งในกองทัพอีกผู้หนึ่งของโรมพิสัย มนุษย์โลหะหุ่นพยนต์ ที่เกิดความผันแปรของระบบการเสกสร้างเกิดขึ้น


             เป็นหุ่นพยนต์ตัวที่เกิดมีชีวิตจิตวิญญาณและการครุ่นคิดในระบบคุณธรรมที่ไม่แตกต่างกับมนุษย์ ในแผนโครงของเรื่อง เขาวางต้องการที่จะให้หุ่นตัวนี้ เป็นเสมือนตัวแปรของกองทัพอำมหิตแห่งโรมพิสัย ในระหว่างการยาตราทัพเข้าบดขยี้วิเทหะแห่งท้าวพรหมทัต และเพื่อเป็นพระเอกของกลอนนิทานเรื่องนี้ คู่เคียงกับเจ้าหญิงมณีเรขาแห่งวิเทหนคร


                 หุ่นพยนต์อันมีนามว่า ศลภะมาณพ...

               *********************
*มยุรเกตุ ผู้ถือธงแห่งนกยูง ก็คือ องค์พระกามเทพ ทรงธนูบุษปศร ที่ทำขึ้นจากต้นอ้อย อันหมายถึงความหวานแห่งรัก

** แบบเรียนภาษาไทย นิทานอีสป ของมหาอำมาตย์โท พระยาเมธาธิบดี เรียบเรียงขึ้นสำหรับนักเรียน ตั้งแต่สมัย รศ. 130 (พ.ศ. 2454)

***หนังสือตำราภาษาไทยในยุคนั้น ของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) โดยเรียน 6 เล่ม ตั้งแต่มูลบทบรรพกิจ ถึง พิศาลการันต์

****สันนิษฐานกันว่าโรงพิมพ์วัดเกาะ (วัดสัมพันธวงศ์ ในปัจจุบัน) ย่านสำเพ็ง  น่าจะก่อตั้งในปี พ.ศ. 2432 ในสมัยรัชกาลที่ห้า

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 55 08:20:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com