Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 16 : ดอกผักตบรบกวนใจ ติดต่อทีมงาน

บทที่ 15
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12062513/W12062513.html

บทที่  16


“อ้าว แล้วพ่อตั้งล่ะลูก กินข้าวหรือยังทำไมไม่เห็นมา”

อรวรรณเอ่ยถามบุตรสาวคนเล็กเมื่อไม่เห็นชายหนุ่มผู้เป็นแขกซึ่งเธอถูกชะตากับท่าทางนิ่งๆ ไม่พูดมากแถมยังมีน้ำใจแบกกระสอบข้าวช่วยเหลือทั้งที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรแม้แต่น้อย แต่เอ...หรือว่ามีนะ คิดมาถึงจุดนี้แล้วหญิงเก่งก็ชำเลืองมองคนที่ดูแลเรื่องโฮมสเตย์

ฝ่ายบุตรสาวคนเล็กของเธอขมวดคิ้ว นึกอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่เห็นนายตั้งทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะมากินข้าวด้วย เย็นนี้สามสาวซึ่งเป็นแขกชุดใหม่ของเธอมารวมพลกันที่บ้านของเธอแล้วและกำลังส่งเสียงแจ้วๆ เล่นกับปกป้องอย่างสนุกสนาน ในขณะที่พี่สาวของเธอเดินเข้าห้องนอนไปเพื่ออาบน้ำ

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะแม่”

“อ้าว แล้วทำไมไม่ดูแลแขกล่ะลูก”

พิณไพลินทำหน้ายุ่ง นิ่งคิดว่าจะเอายังไงดี เธอไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปในเขตบ้านพักของเขาเลย เหตุการณ์เมื่อเช้าทำเอาเธอไม่กล้าสู้หน้าเขา แถมตอนเย็นเธอกะจะเอาคืนเขาในตอนเช้าบ้างแต่ก็ยังถูกเขาเอาคืนอย่างรวดเร็วจนตกน้ำป๋อมแป๋ม น่าดูแลไหมล่ะแบบนี้? แต่พอเห็นสายตามารดาที่มองมาอย่างยืนยันในคำพูดของท่านเธอก็ถอนใจ แม่ไปหลงประทับใจนายโย่งผมยาวได้ยังไงนะ แล้วเธอจะทำยังไงล่ะเนี่ย คิดไปคิดมาสุดท้ายเลยนึกได้ว่าเขาบันทึกเบอร์มือถือของเขาไว้ในมือถือเธอโดยพละการแล้วนี่นา

“เดี๋ยวพิณลองโทรตามดูค่ะ” บอกมารดาแล้วก็เดินเลี่ยงออกมาที่ระเบียงทางด้านหลังบ้าน เพราะด้านหน้าจัดเป็นที่กินข้าวไว้แล้วอีกทั้งแขกสามสาวมฤตยูก็ไปออกันอยู่ตรงนั้นขืนพูดโทรศัพท์คงไม่รู้เรื่องแน่

“ไม่ยอมรับสาย” เธอพึมพำหลังจากรอจนสัญญาณตัดไปแล้วก็กัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ก็ดี... เธอจะได้มีข้ออ้างกับมารดาว่าดูแลแขกแล้วแต่แขกอยากไม่รับสายเองนี่นา อย่าคิดนะว่าฉันจะโทรตามหลายรอบ

“พิณโทรไปแล้ว เขาไม่รับสายค่ะแม่” เธอเดินกลับมาบอกมารดา

“อ้าว แล้วกัน ไม่สบายหรือเปล่า พิณไม่ลองไปดูหน่อยล่ะลูก”

ท่าทางแข็งแรงปราดเปรียวขนาดนั้นเนี่ยนะจะไม่สบาย “ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเรารบกวนเวลาส่วนตัวของเขา อีกอย่างนี่ก็เลยเวลาอาหารมาแล้ว” เธอให้เหตุผล

“เลยมาสองนาทีเนี่ยเหรอ โอ้โฮ ลูกสาวฉัน อะไรจะเป๊ะขนาดนั้น” อรวรรณแซว ก่อนจะอุทานเสียงหลงเมื่อน้องป้องตีลังกาม้วนหน้าแล้วกระโดดเตะขาของสาวบัญชีร่างอวบอึ๋มจนสาวเจ้าแกล้งร้องวี๊ดว๊าย

“พี่ๆ แล้วผู้ชายตัวสูงๆ ที่เล่นน้ำเมื่อตอนเย็นเขาไม่มากินข้าวด้วยเหรอ” กุ๊กไก่สาวมาดเหมือนนางแบบเดินเข้ามาเอ่ยถามพลางเหลียวมองหาชายหนุ่มผู้เป็นดวงใจของพวกเธอทั้งสาม

พิณไพลินจามออกมาเสียงดังเมื่อกลิ่นน้ำหอมเข้าจมูก เหลือบมองเสื้อสายเดี่ยวสีขาวคอลึกจนเห็นร่องอกของคนถามแล้วก็หายใจติดขัดทั้งที่เธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ นี่ถ้านายตั้งมาเห็นจะเป็นยังไง? คิดแล้วก็นึกอายแทน

“เขาคงจะออกไปทำธุระส่วนตัวตามประสาศิลปินนักเขียนมั้งคะ” หญิงสาวเดาเพราะเขายังไม่คืนกุญแจรถเครื่องให้เธอเลย ช่วงที่เธอทำกับข้าวอยู่เขาอาจจะขับรถออกไปข้างนอกก็ได้

“พี่หล่อเข้มสูงยาวเข่าดีน่ะเหรอ ฉันเห็นตอนใกล้มืดเขาแกกำลังสตาร์ทรถเครื่องว่าจะเดินไปคุยกับเขาอยู่ แต่เฮียดันขับรถเครื่องออกไปก่อน เสียดายเป็นบ้าเลย จะวิ่งตามไปซ้อนท้ายเกาะเอวซบหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว” อี๊ด ซึ่งวิ่งหนีจากการเล่นเตะต่อยกับปกป้องมายืนพูดหอบๆ

“จริงเหรอนังอี๊ด ว้า...เสียดายจังที่เขาไม่ได้มากินข้าวด้วย แต่...ไม่เป็นไร ดีแล้วที่แกวิ่งไม่ทันไม่งั้นเขาอาจเป็นอันตรายเพราะถูกแกลวนลาม” ตอนแรกสาวหมวยทำหน้าเสียดมเสียดายแต่ตอนท้ายทำหน้าเยาะเย้ยเพื่อนจึงถูกด่า

“นังบ้า !”

นายตั้ง ขนาดผิวเข้มยังเร้าใจนักศึกษาสาวได้ขนาดนี้ ไม่รู้เป็นเพราะเสน่ห์ของเขาหรือเปล่าที่ทำให้สามสาวแข่งกันฉีดน้ำหอมจนเธอฉุนแทบทนไม่ไหว ใครก็ได้ช่วยที เธอจะเป็นลมเพราะกลิ่นน้ำหอมสามกลิ่นที่แทงรูจมูกซ้ายพุ่งเข้ารูจมูกขวาเต็มทีแล้ว...

                           *****************

ภายในห้องนอนพู่ชมพูเปิดประตูห้องน้ำออกมาในชุดเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงเลสีเขียวขี้ม้าขาสามส่วน มือสาละวนกับการใช้ผ้าขนหนูสีฟ้าเข้มผืนเล็กเช็ดผมเปียกที่ซอยสั้นประบ่าไปมาแรงๆ พลางเดินตรงไปโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นก็หยิบหวีขึ้นมาหวีผมอย่างรวดเร็วแล้วหยิบกระป๋องแป้งเด็กมาประตามคอและลำตัวจนลายพร้อยเพื่อความสบายตัวก่อนจะลูบใบหน้าจนนวลผ่อง

เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่กลางเตียงนอนห้าฟุตดังขึ้น เธอเดินไปหยิบมันขึ้นมาดู เป็นเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่เคยคุ้นและไม่ได้บันทึกไว้เสียด้วย

“สวัสดีค่ะชาวโลก”

“โห...ชาวโลกเลยเหรอ” เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะดังมาตามสาย

สาวห้าวขมวดคิ้วเมื่อพอจะจำได้ว่าเป็นใครแต่ยังไม่แน่ใจนักเลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ใครน่ะ ไม่อยากเป็นชาวโลก อยากเป็นมนุษย์ต่างดาวรึไง”

“เอาเข้าไป เฮ้อ...จำเสียงกันก็ไม่ได้” เสียงโอดครวญดังมาตามสายทำเอาพู่ชมพูชักหมั่นไส้

“นึกว่าตัวเองเป็นนักร้องดังอย่างเบิร์ดธงไชยหรือไงคนเขาถึงจะจำเสียงได้น่ะ”

“จำเสียงพูดไม่ได้แล้วจำเสียงหัวใจพี่ได้ไหมพู่ !”

ใบหน้าพู่ชมพูร้อนซู่ขณะเดียวกันก็เกือบหลุดเสียงหัวเราะออกมา สำนวนน้ำเน่าสตึจริงๆ แต่เรื่องอะไรเธอจะให้เขาได้ใจ “จำเสียงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น รู้แต่ว่าได้กลิ่นเน่าโชยมา”

“ถ้าพู่ได้กลิ่นเน่าแสดงว่าได้กลิ่นหัวใจของพี่”

หญิงสาวดึงมือถือออกห่างจนสุดแขนแล้วหันหน้าไปหัวเราะแบบสะกดกลั้นคนละทิศทาง ก่อนจะดึงเข้ามาแล้วทำแกล้งทำเสียงดุ “นี่ ! มีอะไรก็ว่ามา”

“คิดถึง”

“อย่ามาน้ำเน่า” เธอย้อนเสียงแข็งอย่างรวดเร็วทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ฮื้อ...คนอะไร พี่คิดถึงก็ว่าน้ำเน่า”

“จะสรุปได้หรือยังว่ามีอะไร”

“ใจร้าย พี่ขับรถเกี่ยวข้าวทั้งวัน เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย ว่าจะโทรมาขอฟังเสียงให้ชื่นใจก็ทำเสียงดุ”

ดู๊ ดู ทำเป็นงอนก็ได้ด้วย “อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย”

“แก่พอที่จะขอพู่แต่งงานได้แล้วแหละ”

“จะ-สรุป-ได้-หรือยัง” พู่ชมพูเอ่ยเสียงเน้นย้ำช้าชัด ทั้งที่ความจริงแล้วเธอกำลังดีใจจนพูดไม่ค่อยออกต่างหาก

มีเสียงถอนหายใจดังๆ “พี่ขอโทษที่ปล่อยให้น้องป้องไปอยู่ในความดูแลของพู่ แต่พี่ฝากน้องป้องไว้ก่อนได้ไหมประมาณทุ่มหนึ่งพี่จะเข้าไปรับ”

น้ำเสียงเกรงอกเกรงใจปนด้วยความรู้สึกผิดนั่นกระมังที่ทำให้พู่ชมพูเริ่มจะคิดว่าเธอดุพันดุลเกินไปหรือเปล่า ถึงเขาจะหายไปจากชีวิตแบบไม่บอกกล่าวเล่าสิบแต่เขาก็กลับมาแล้วนี่นา กลับมาและบอกถึงความตั้งใจของเขาทั้งเรื่องครอบครัวและ...ความรู้สึกที่ยังมีต่อเธอ ที่สำคัญปัญหาที่ดินซึ่งถูกนายไตรภพคดโกงก็แย่เกินพอแล้ว นึกถึงตอนนี้น้ำเสียงจึงอ่อนลงแต่ยังไม่ถึงขั้นหวานจ๋อย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่วยๆ กันไปไม่ต้องห่วงน้องป้องนะคะแม่ชอบน้องป้องเลยดูแลอย่างดีทั้งจับอาบน้ำและหาข้าวหาปลาให้กินตอนนี้ก็กำลังเล่นกับแม่อยู่ แล้วนี่พี่เดี่ยวกินข้าวหรือยังล่ะ”

“ยังเลยจ้ะ หิวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว ถ้าไม่มีใครเอาข้าวมาส่งพี่ก็คงจะดึงต้นหญ้ากับตอซังข้าวแถวนี้กินแล้วตักน้ำในสระกลางทุ่งนาเลี้ยงพยาธิไปก่อน” น้ำเสียงของพันดุลสดใสทีเดียว

ยังไม่ทันที่พู่ชมพูจะโต้กลับด้วยความหมั่นไส้กับความช่างออดอ้อน เสียงของเก่งก็ดังแทรกขึ้นมาในมือถือ พู่ชมพูเงี่ยหูฟัง

“อ้าว น้องเฟิน เอาข้าวมาให้พวกพี่กินเหรอจ๊ะ”

“อาเดี่ยว อาเดี่ยวจ๋า แม่ให้เฟินเอาข้าวมาให้จ้ะ”

“เอามาให้พี่เดี่ยวกินคนเดียวเหรอ พี่เก่ง กับอาบูลย์ก็หิวเหมือนกันนะ”

“ให้กินหมดทุกคนนั่นแหละ แต่ต้องดูแลอาเดี่ยวมากกว่าคนอื่นเพราะอาเดี่ยวเหนื่อยกว่าใคร”

“ไม่ใช่อาเดี่ยวหล่อกว่าใครเร้อ?”

“บ้า รู้ทันจริงเลยพี่เก่งนี่”

“พู่ พู่ ทำไมเงียบไปล่ะ”

เสียงเรียกของพันดุลทำให้เธอได้สติ เพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอเงี่ยหูฟังจนคอเอียงเข้าหามือถือ ความหงุดหงิดเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนเมื่อรู้ว่าเขาทำเป็นออดอ้อนเธอในขณะที่มีคนคอยส่งข้าวส่งน้ำอยู่แล้ว

“เปล่าหรอก มีคนเอาข้าวมาส่งแล้วนี่ งั้นก็รีบไปกินซะ พ่อคนหล่อ” ประชดแล้วพู่ชมพูก็ปิดมือถือ แยกเขี้ยวใส่มือถือราวกับว่า ‘คนหล่อ’ เป็นมือถือ

ฮึ ขนาดอยู่บ้านนอกบ้านนายังเสน่ห์แรงอย่างนี้ แล้วตอนที่ไปอยู่เมืองกรุงจะเสน่ห์แรงขนาดไหน ผิวพรรณยิ่งงามเกินชายอยู่ด้วย โอ๊ย เบื่อคนหล่อโว้ย !

                               ****************

ใกล้หนึ่งทุ่ม พู่ชมพูนั่งเหยียดขายาวบนพื้นบ้านเอาหลังพิงกับโซฟาอย่างสบายอกสบายใจมองปกป้องที่นอนหลับอยู่บนผ้าห่มที่ปูอยู่หน้าทีวีอย่างเอ็นดู พัดลมตัวใหญ่ส่ายไปมาปัดผมนุ่มสลวยจนแห้งสนิท ห้องนั่งเล่นมีเพียงเสียงทีวีเพราะสามสาวกลับไปบ้านพักในขณะที่มารดาเธอเข้าไปสวดมนต์อยู่ในห้องพระแล้ว วิถีชีวิตของคนบ้านนอนจะนอนเร็วเพราะตรากตรำจากงานหนัก แต่ปกติแล้วเธอจะนอนไม่ต่ำกว่าสี่ทุ่มเพราะทำอะไรเรื่อยเปื่อยตั้งแต่ดูทีวี อ่านหนังสือที่สั่งซื้อตามอินเตอร์เน็ตและซื้อมาจากในเมือง ทั้งหนังสือการเกษตรและหนังสือนิยาย

เสียงดังกุกกักดังมาจากห้องครัว พิณไพลินยังคงขลุกอยู่ในครัวเพื่อเตรียมของในการทำอาหารในวันรุ่งขึ้น

อากาศไม่ค่อยร้อนมากนักเธอจึงไม่ห่มผ้าให้เจ้าหนูอีกอย่างเจ้าตัวก็คงไม่ชอบใจเท่าไหร่กับผ้าห่ม เพราะแค่นี้ก็เหงื่อก็ผุดขึ้นตามหน้าผากตามประสาเด็กขี้ร้อนแม้พัดลมจะเป่าไล่ความร้อนตลอดเวลา นึกถึงพันดุลป่านนี้จะเหนื่อยขนาดไหน  ตัวคงเหม็นเหงื่อเหนียวเหนอะหนะไปหมด พักจากงานก็ต้องมารับหลานกลับไปดูแลต่อคนเดียวโดยไม่มีใครรออยู่ที่บ้าน เออแน่ะ... เธอห่วงเขามากเกินไปแล้ว เสียงรถเครื่องแล่นมาจอดหน้าบ้าน พู่ชมพูจึงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แหม...ขานะขา ทำไมถึงได้ทำงานก่อนความคิดอีกนะ หญิงสาวต่อว่าตัวเอง

“พู่”

พันดุลมองใบหน้านวลเนียนที่ดูผุดผ่องน่าหลงใหล ผมสั้นของคนที่เปิดประตูออกมาถูกเจ้าตัวใช้กิ๊บหนีบรวบด้านหน้าไว้เป็นจุกเล็กๆ เปิดหน้าผากได้รูป เขาไม่เคยเห็นภาพก่อนนอนของพู่ชมพูมาก่อนเลย พอเห็นแล้วใจก็คิดนำหน้าไปว่าหากเขาได้เห็นเธอตั้งแต่ตื่นนอนแล้วอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานจนกระทั่งเข้านอน... เพียงแค่คิดอาการเหนื่อยก็มลายเป็นปลิดทิ้ง ตาเป็นประกายพราวระยับ

“ยิ้มอะไร”

พันดุลเลิกคิ้ว ยิ่งยิ้มกว้างแม้คนถามจะตีหน้าขึงขัง “หือ... อ๋อ...ก็ยิ้มที่ได้เห็นหน้าพู่ก่อนนอนน่ะสิ”

“ซักบ้างนะผ้าขาวม้าน่ะ” หญิงสาวรีบหลุบตาแล้วเฉพูดไปอีกเรื่อง

ชายหนุ่มก้มลงมองผ้าขาวม้าแสนรักแสนหวงก่อนจะยกมันขึ้นเช็ดใบหน้าโชว์เจ้าของมันเสียเลย “ซักบ่อยก็ไม่ดีเดี๋ยวมันจะขาดเร็ว”

“ขี้เกียจล่ะไม่ว่า”

“พี่ไม่มีแม่บ้านนี่นา ขอเวลาเก็บเงินเก็บทองเอาไว้ให้ได้เยอะๆ ก่อนนะ” พูดแล้วยังก้าวเดินมาใกล้คนที่ยืนกอดอกอยู่อีก พู่ชมพูยกมือผลักอกเขาออกแล้วบอกเสียงดุ

“เหม็น ไม่ต้องมาใกล้ รีบพาน้องป้องกลับไปเลย”

“จ้ะๆๆ” พันดุลตอบแล้วเดินไปทรุดตัวนั่งข้างปกป้อง แต่ปากก็ยังไม่วายจะบ่นพึมพำ “คนตัวเหม็นใครก็ไม่อยากให้เข้าใกล้เนอะน้องป้องเนอะ นี่แหละน้าเกิดมาเป็นคนจน ที่ดินก็ถูกเขาโกงไปหมด คนจนต่อให้อาบน้ำประแป้งเขาก็คงจะว่าเหม็น ไม่เหมือนคนรวยต่อให้ตดยังว่าหอม เฮ้อ”

พู่ชมพูเปลี่ยนท่ามาเป็นท้าวสะเอวเธอกลั้นหัวเราะไม่ให้หลุดเสียงขำออกมา มองตามเรือนร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายตารางสีเขียวสลับสีฟ้ากับกางเกงยีนที่เดินตรงเข้าไปหาหลานชาย กลิ่นเหงื่อโชยมาแต่เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอคุ้นเคยมันมาตั้งแต่เด็กทั้งพ่อทั้งแม่และตัวเธอเอง แต่เธอรู้ดีว่าต่อให้เป็นกลิ่นที่คุ้นเคยหากเป็นคนที่เธอไม่ชอบหรือคิดจะใส่ใจก็คงรังเกียจอยู่ดี...

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะช้อนตัวเจ้าหนูขึ้นมานั้น ประตูห้องนอนของอรวรรณก็เปิดออก

“อ้าว ตาเดี่ยว มารับน้องป้องแล้วเหรอ”

ชายหนุ่มชะงักมือเงยหน้าขึ้นมอง “ครับ น้าอร”

“แล้วกินข้าวกินปลาหรือยังล่ะ ถ้ายังก็กินที่นี่ก็ได้ กับข้าวเยอะแยะ”

“โฮ้ย จะเรียกกินทำไมแม่ เปลือง ! เจ้าของนาเขาให้ลูกสาวเอาข้าวไปส่งแล้วล่ะค่ะแม่ ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก”

อรวรรณชำเลืองมองบุตรสาวพลางพลางทำหน้าดุ “ดูพูดเข้า แล้วนี่เอาน้ำมาให้พี่เขาหรือยัง แขกไปไทยมาอย่าลืมน้ำท่านะลูก”

“มาแป๊บเดียวเอง” บุตรสาวแกล้งต่อปาก

“พู่”

“ค่าคุณแม่อรขา” บุตรสาวทำเสียงหวานประชดก่อนจะเดินไปด้านหลังเข้าครัว มีเสียงพูดกันเบาๆ ก่อนที่สาวห้าวจะเดินออกมาพร้อมแก้วน้ำใบใหญ่มากๆ พันดุลตาโตแล้วหันไปยิ้มกับหญิงสูงวัยที่สุด

“สงสัยน้องพู่จะคิดว่าผมเป็นอูฐนะครับน้าอร”

อรวรรณหัวเราะอย่างเอ็นดูพันดุล “เห็นจะจริง”

“ก็เห็นเหงื่อไหลไคลย้อยเลยคิดว่าจะหิวมากน่ะสิ ตอนแรกว่าจะใส่เหยือกมาให้แล้ว” คนถือแก้วน้ำประชดต่ออีก

“เอามาให้พี่กินหรือว่าให้พี่อาบกันล่ะนี่น้องพู่”

“จะอาบไหมล่ะ” ว่าแล้วก็ทำท่ายกแก้วน้ำขึ้นจะเทใส่คนช่างแหย่

อรวรรณกระแอมขัดพู่ชมพูจึงลดมือลงแล้วยื่นแก้วให้ ผู้ชมเพียงคนเดียวในห้องนั่งเล่นนึกขันกับท่าทางของคนทั้งสอง หญิงเก่งแห่งบ้านนาดีมองดูใบหน้ามันเยิ้มผมเผ้าค่อนข้างยุ่งแต่ก็ไม่ทำให้ความคมสันของพันดุลจางหาย เห็นชายหนุ่มแล้วก็เชื่อว่าพันดุลเป็นคนที่ขยันอดทนไม่น้อย หากเป็นคนอื่นถ้ามีเงินก้อนคงไม่เอามาลงทุนในการทำงานที่ตากแดดตากลมแบบนี้

“แล้วนี่ใครเฝ้ารถเกี่ยวข้าวเราล่ะตาเดี่ยว”

“ผมจะเอากลับไปจอดที่บ้านครับจะได้ไม่ต้องพาน้องป้องไปนอนตากน้ำค้างเฝ้ารถด้วยกัน ยิ่งกำลังไม่สบายอยู่ด้วย”

หญิงสูงวัยพยักหน้า “เฮ้อ คงเหนื่อยแย่ พรุ่งนี้เอาน้องป้องมาฝากน้าไว้ก็ได้น้าจะช่วยดูแลให้จนกว่างานเกี่ยวข้าวของตาเดี่ยวจะหมด บ้านน้าขนข้าวเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ พู่เขาก็ทำงานไร่งานสวนไป ส่วนตอนเย็นถ้าเจ้าของนาไม่ได้หาข้าวให้กินก็มากินที่บ้านน้าก็ได้”

คนถูกเชิญยิ้มกว้างอย่างยินดีแต่ประโยคที่เอ่ยดูนอบน้อมเกรงอกเกรงใจเหลือเกิน “ผมเกรงใจครับน้าอร แค่นี้คนบางคนก็ทำตาเขียวตาเหลืองใส่ผมจะแย่แล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางปรายตามองพู่ชมพูจึงได้รับฟังเสียงกระแอมที่ฟังดูยังไงก็เหมือนเสียงคำรามขู่มากกว่า

“แม่ชวนหลานชายเขามากินข้าวที่บ้านเราไม่กลัวป้าแพงจะเอาไปโพนทะนาเหรอ ปากคนยิ่งกว่าปากกาอีกนะ”

“กลัวทำไม คนบ้านเรามีน้ำใจต่อกัน บ้านเราไปบ้านไหนก็เรียกกินข้าวเรื่องกินข้าวบ้านคนโน้นคนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก พี่แพงน่ะไม่ดูแลลูกหลานเองถ้าแกจะว่าก็ปล่อยแกไปเถอะสนใจทำไมปากคน เราเป็นคนบ้านเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือกันไป ขนาดไอ้ปุ้ยที่พ่อแม่มันตายหมดลุงเจิมยังรับเลี้ยงไว้เลยทั้งที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันซักนิด แล้วนี่แค่แม่ชวนตาเดี่ยวกินข้าวมื้อสองมื้อแค่นี้จะเปลืองเท่าไหร่กัน ในเมื่อบ้านเราทำนาได้ข้าวเต็มยุ้งเต็มฉาง” อรวรรณว่า

พู่ชมพูย่นจมูก กลัวไม่ใช่เรื่องเปลืองน่ะสิ กลัวว่าจะเป็นเรื่องชู้สาวต่างหากที่ป้าแพงจะเอาไปพูด หญิงสาวถอนใจพอดีกับที่พิณไพลินเดินจากห้องครัวมาสมทบ

“พี่เดี่ยวมารับน้องป้องแล้วเหรอคะ”

“จ้ะพิณ”

“ดูท่าจะเหนื่อยแย่เลยนะคะ แล้วกินข้าวหรือยังเนี่ย กับข้าวยังมีนะคะจะกินไหม”

“กินแล้วจ้ะพิณ ขอบใจนะที่เป็นห่วง ทำงานมาเหนื่อยๆ ได้ยินคำถามว่ากินข้าวหรือยัง? เหนื่อยไหม? ฟังแล้วหายเหนื่อยเลย ไม่เหมือนคนบางคนพอเรามาถึงก็บอกว่าเหม็น” ปากว่ากับน้องหากตาชำเลืองมองสาวคนพี่ในชุดกางเกงเลสีเขียวซึ่งยกมือขึ้นกอดอก

“ดึกแล้ว พาน้องป้องกลับได้แล้ว” พู่ชมพูทำเสียงเข้ม

“จ้ะๆ กลัวแล้วจ้ะ”

“พู่ช่วยเปิดมุ้งลวดให้พี่เขาหน่อยสิ” มารดาบอกเมื่อเห็นบุตรสาวยืนนิ่ง พู่ชมพูเดินไปยืนเอามือเปิดมุ้งลวดไว้รอ

ก่อนเดินผ่านมุ้งลวดออกไปคนที่อุ้มปกป้องไว้ในอ้อมแขนบอกเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน “นอนหลับฝันดีนะพู่ อย่าลืมฝันถึงพี่บ้าง”

น้ำเน่าจริงๆ “ที่หัวนอนมียันต์ รับรองว่าไม่ฝันเห็นพี่เดี่ยวแน่”

พันดุลหัวเราะเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายยกให้เขาเป็นผีร้ายไปเสียแล้ว “พรุ่งนี้เย็นอย่าลืมเหลือกับข้าวไว้ให้ด้วยนะ เดี๋ยวพี่กลับมากิน”

“ปลาร้าเต็มไหเลย รับรองไม่อด”

“โถ...พี่ไม่ใช่หนอนเสียหน่อย แต่เอาเหอะ ถ้าพู่เป็นคนตักพี่จะกินให้หมดไหเลย”

“บ้า ! ใครจะให้กินหมดไห เปลือง”

                        ***************

พิณไพลินแยกตัวเข้าห้องนอนเป็นคนสุดท้าย เธอรอให้พี่สาวปิดประตูห้องนอนแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในครัวหยิบเอาดอกผักตบชวาสีม่วงอ่อนที่แช่น้ำในกาละมังใบเล็กพร้อมกับแก้วน้ำสีขาวทรงสูงติดมือเข้าห้องนอน เดินเลยเข้าห้องน้ำจัดการเอาน้ำใส่แก้วก่อนจะหย่อนดอกผักตบชวาลงไปแล้วเอาไปวางบนโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกเอียงคอมอง

‘เห็นออกดอกสีม่วงอยู่เต็มแม่น้ำพอเก็บมาเดี่ยวๆ อย่างนี้ก็เพิ่งรู้ว่ามันสวยดีเหมือนกันนะ’

ภาพที่ถูกแกล้งจนตกน้ำไปด้วยกันกับเขาผุดขึ้น ใบหน้านวลเนียนร้อนขึ้นมาอีกด้วยความขัดเขินระคนปั่นป่วนในหัวใจแปลกๆ เธอย่นจมูก

‘ที่ฉันเอาเจ้าดอกนี่มาใส่แจกันไม่ใช่เพราะพิศวาสคนให้หรอกนะ แต่อยากลองเอามาแช่น้ำดูว่าจะได้นานแค่ไหนเผื่อจะได้เอาไปปักแจกันในโฮมสเตย์บ้างก็เท่านั้นเอง’

นึกดูแล้วเขาตอนที่อยู่ในน้ำเขาก็ไม่ได้มีท่าทีหยาบคายหรือฉวยโอกาสอะไรกับเธอ ยกเว้นสายตาคมปลาบที่มองมานั่นต่างหากที่สร้างกระแสร้อนรุมทั้งที่เรือนกายแช่อยู่ในลำน้ำเย็นฉ่ำ

สี่ทุ่มแล้ว ภายในบ้านเงียบกริบ พิณไพลินมองไปยังบ้านพักของเจ้าของดอกผักตบชวาบ้านนั้นยังปิดไฟมืด เสียงสามสาวหัวเราะมาเป็นระยะ บางทีก็หวีดร้องเหมือนกับชอบใจอะไรบางอย่าง เธอกดสวิตซ์ไฟข้างผนังแต่ยังไม่เดินไปล้มตัวลงนอนที่เตียง หากอาศัยแสงสว่างจากดวงไฟหน้าบ้านกับความเคยชินเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่างแล้วเพ่งสายตาออกไปยังบ้านพักของนายตั้งอีกครั้ง

เอารถเครื่องเธอไปข้างนอกกลางค่ำกลางคืนโดยไม่บอกกล่าว แย่จริง !

หลังจากขมวดคิ้วเดินวนไปวนมาภายในห้องเกือบสิบนาทีจึงได้กลับมาล้มตัวลงนอนบนที่นอนหนานุ่มกรุ่นกลิ่นไอแดด พลิกตัวไปมาจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว สะดุ้งตื่นมาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงรถเครื่อง หญิงสาวรีบผุดลุกขึ้นโดยไม่มีความงัวเงียเลยแม้แต่น้อยก่อนจะก้าวลงจากเตียงไปเปิดม่านเขม้นมองไปยังต้นเสียง จากไฟที่สนามทำให้เห็นเงาดำสูงๆ เคลื่อนจากรถขึ้นบ้านและเปิดประตูหายเข้าไปในห้องโดยไม่เปิดไฟหน้าบ้าน พิณไพลินรอว่าเมื่อไหร่เขาจะเปิดไฟในห้องแต่จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็ยังอยู่ในความมืดเช่นเดิม

หายไปไหนมานะนายนี่? คำตอบที่เธอตอบเอง ไปทำอะไรไม่ดีไม่งามมาแน่เลยถึงทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้

ทำไมถึงไม่บอกกล่าวเธอก่อนไป ก็ไหนพูดว่าจะมากินข้าวด้วย? คำตอบที่แล่นตามมาทันควัน เขาจะไปไหนมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ ในเมื่อเขาเป็นแขกไม่ใช่คนในครอบครัวของเธอ

แต่เอ...แสดงว่ามาถึงก็นอนเลย ก่อนออกไปอาบน้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้

โอ๊ย ! บ้าไปแล้วพิณไพลิน เธอจะหมกมุ่นกับเรื่องของเขาทำไมกันนะ

พอได้แล้วพิณไพลิน เธอจะไปสนใจเขาทำไมเล่า นายคนนี้มาพร้อมกับข่าวลือเรื่องคนร้ายหนีตำรวจมาและตามด้วยเรื่องรถยนต์ของคนในหมู่บ้านหายไปนะ

พิณไพลินหมุนตัวก้าวเดินฉับๆ ขึ้นเตียงแล้วดึงเอาผ้าห่มคลุมศีรษะเว้นใบหน้าไว้หายใจ แต่หูเจ้ากรรมก็ยังเงี่ยฟังเสียงจากบ้านหลังนั้นอยู่นานกว่าจะหลับไป

                        *******************

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 07:09:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com