Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กนกนาคราช (บทที่ 2 แรงดึงดูด) ติดต่อทีมงาน

กนกนาคราช (บทที่ 1 ผ้าไหมโบราณ)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12086966/W12086966.html




กนกนาคราช  (บทที่ 2 แรงดึงดูด)

“ตกลงว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นฟ้า ทำไมเธอถึงจะ...” ใบหม่อนลากเสียงค้างเมื่อดวงหน้าเนียนสวยที่กำลังโกรธจัดหันมาจ้องหน้าเธอ

“ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ก็มันเอาน้ำสาดหน้าฉันน่ะสิ”

“จะบ้าเหรอ? อยู่ดีๆ เขาจะเอาน้ำมาสาดหน้าเธอทำไมกันปลายฟ้า” เพื่อนสนิทว่าตามเหตุผล คนที่พูดอะไรไม่ออกจึงได้แต่กัดฟันกรอดๆ อย่างเจ็บใจ
ปลายฟ้าสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ริมฝีปากยังคงเม้มแน่นเข้าหากัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องได้มาเจอกันอีก ถ้าหากได้พบหน้ากันอีกครั้งล่ะก็ คราวนี้เธอจะเอาคืนให้สาสมเชียว

“แล้วตกลงว่าจะไปดูเครื่องสำอางต่อมั้ยหรือว่าจะไปซื้อของถวายสังฆทานพรุ่งนี้” ใบหม่อนเอ่ยถามสีหน้าเป็นการเป็นงานแต่คนตรงหน้าก็ยังคงยืนนิ่งคล้ายไม่ได้ยิน

“ยัยฟ้า...นี่เธอฟังฉันอยู่รึเปล่า” ใบหม่อนเขย่าร่างระหงสองสามทีก่อนที่ปลายฟ้าจะหันขวับมา

“ไปซื้อสังฆทานเลยดีกว่า ฉันกลัวว่าถ้าได้เจอแม่นั่นอีกครั้งตัวเองอาจจะอดไม่ไหว” บอกเสียงกระแทกก่อนก้าวขาฉับๆ เดินนำหน้าไปอย่างไม่รีรอ

ไม่นานนักสองสาวก็มานั่งอยู่บนรถเก๋งสีน้ำเงินเข้มคันงามของฟ้าฉาย จุดมุ่งหมายนั้นคือร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ที่ใบหม่อนรู้จักเป็นอย่างดี แต่พอขับไปได้ไม่นานใบหม่อนก็ร้องขึ้นคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้

“ฟ้า...อย่าบอกนะว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่แกเจอที่ร้านผ้าเมื่อวันก่อน” หญิงสาวคาดเดา ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเดียวกับที่แย่งผ้าไหมกับปลายฟ้า

สารถีสาวเผลอกดปลายเท้าเหยียบคันเร่งอย่างไม่รู้ตัว รถยนต์ทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับอารมณ์ขุ่นแค้นที่พุ่งพรวดขึ้นมา

“ใช่...ทำไมฉันถึงต้องได้เจอนังนั่นอีกก็ไม่รู้”

พอได้ฟังคำตอบจากปากเพื่อนสนิทก็ถึงกับทำให้ใบหม่อนนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง แต่ก็พยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

“เอาน่า...เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว สงบจิตสงบใจไว้ เขาอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำบุญอะไรๆ มันคงดีขึ้น” ใบหม่อนบอกน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีจ้องมองใบหน้าสวยหวานข้างๆ

ปลายฟ้าถอนหายใจน้อยๆ เปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำจิตใจเมื่อครู่ค่อยๆ ดับมอดลงทีละนิด หญิงสาวลดความเร็วรถลง สายตาเหม่อมองไปข้างหน้า จู่ๆ ความรู้สึกทดท้อห่อเหี่ยวก็เข้ามาแทนที่ เธอสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกเสียใจที่ลอยวนไปเวียนมาอยู่รอบกาย จนเมื่อรถติดไฟแดง ดวงตากลมรีจึงได้เอื้อมมองลงมายังผ้าไหมโบราณผืนนั้นที่พับเก็บไว้บนคอนโซลรถ  

หญิงสาวจ้องมองมันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทำไมมันถึงได้มีอิทธิพลกับเธอนัก ทำไมมันถึงทำให้เธอกระวนกระวายอยู่ไม่เป็นสุขอย่างนี้ เธอร้อนรนเหมือนปลาที่ขาดน้ำ คล้ายคนกำลังตามหา ไขว่คว้าอะไรบางอย่าง หรือว่าผ้าผืนนี้จะนำพาให้เธอได้ไปพบกับสิ่งๆ นั้น สิ่งที่เธอเฝ้ารอมานานแสนนาน



พิมพ์วารีวางผ้าไหมสีน้ำเงินลายกนกผืนนั้นไว้ข้างหมอนก่อนล้มตัวลงนอน หญิงสาวในชุดนอนผ้าฝ้ายเบาสบาย ตะเคียงร่างนอนเอามือสัมผัสเนื้อผ้าเบาๆ จนกระทั่งผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

ดวงจิตดิ่งฮวบลงสู่ห้วงเวลาที่เคยผ่านมานานแสนนาน เป็นภวังค์ที่พิมพ์วารีรู้สึกเคว้งคว้าง ร่างกายไร้ซึ่งน้ำหนัก ไม่สามารถบังคับตัวเองให้เคลื่อนไหวตามที่ใจต้องการได้ แม้จะเบิกตากว้างสักเพียงใด แต่ก็กลับหาแสงสว่างไม่เจอ จนกระทั่งสองหูได้ยินเสียงสายน้ำที่กระเซ็นไหลลงมาจากที่สูง เหมือนเสียงของธารน้ำตก สายน้ำที่ตกลงมาจากที่สูงมากๆ กระทบกับแผ่นหินด้านล่าง

และเพียงชั่ววินาทีนั้นเอง ทั้งร่างก็ถูกบางอย่างฉุดดึงไปสู่แสงสว่าง แรงบีบอัดรอบกายค่อยๆ ผ่อนคลายลง กระทั่งพิมพ์วารีสัมผัสได้ถึงความเย็นจากสายน้ำที่ไหลมากระทบปลายเท้าและท่อนขา

แสงสีขาวสว่างจ้าค่อยๆ เลือนหายลงทีละนิด ดวงตาสีดำกลมใสหรี่มองภาพตรงหน้าช้าๆ ท้องน้ำกว้างใหญ่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แสงอาทิตย์ทาบทอลงกระทบผิวน้ำสีฟ้าใสเป็นประกายระยิบระยับ และเสียงอื้ออึงที่ดังอยู่เบื้องหลังก็ฉุดให้หญิงสาวต้องรีบหันขวับมา

น้ำตกขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พิมพ์วารีเงยหน้าขึ้นจ้องมองสายน้ำที่กระเซ็นไหลลงมาตามโขดหินน้อยใหญ่ หลั่งไหลลงสู่แม่น้ำใหญ่เบื้องหน้าก่อนจะเห็นเงาตัวเองจากผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวเบื้องล่าง

ใบหน้าคมคายสีน้ำผึ้งงดงามกว่าที่เคยเป็น แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือเสื้อผ้าที่เธอใส่เป็นเพียงแพรแถบสีเขียวเข้ม ด้านล่างคือผ้าไหมเนื้อดีสีเขียวแก่และรัดด้วยเข็มขัดทอง ข้อมือซ้ายสวมกำไลรูปหัวพญานาคฝังมรกต “มาอยู่นี่เองเหรอ...เธอหนีมาอยู่ที่นี่เองเหรอ” เสียงของใครบางคนดังก้องมาจากด้านซ้ายของน้ำตก พิมพ์วารีสะบัดหน้าหันไปมองทันที ร่างระหงในชุดไม่ต่างกันสืบเท้าออกมาจากดงไม้ด้วยท่วงท่ามุ่งมั่น ผ้าซิ่นสีฟ้าสดกระทบกับแสงแดดเป็น
ประกายระยิบระยับ ดวงตาสีฟ้าเข้มที่เป็นประกายวิบวับเต็มไปด้วยขุ่นแค้น และใบหน้าเนียนหวานที่คล้ายคลึงกับผู้หญิงที่พิมพ์วารีพบที่ร้านผ้าไหมวันนั้นก็ทำให้หญิงสาวยืนนิ่งด้วยความตกใจ

พิมพ์วารีได้แต่ยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูกขณะที่หญิงสาวตรงหน้าเดินตรงปรี่เข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว เมื่อถึงตัวแล้วจึงยกมือขึ้นฟาดใส่แก้มซ้ายเธออย่างแรง

“เธอทำให้ท่านพี่ต้องตาย เธอต้องชดใช้...” ในน้ำเสียงที่แข็งกระด้างเจือปนไปด้วยความเจ็บช้ำใจ เมื่อพิมพ์วารีหันมาจ้องมองก็เห็นหยดน้ำตาร่วงพรูลงมาจากคนตรงหน้า วินาทีนั้นเองเธอก็รู้สึกราวกับว่าควบคุมร่างกายไม่ได้ คล้ายว่าดวงจิตหลุดออกมาจากร่างนั้น เธอเห็นตัวเองยืนประจันหน้าอยู่กับผู้หญิงคนนั้น

“เธอก็รู้ว่าฉันเสียใจไม่น้อยไปกว่าเธอเลย ท่านพี่ไม่ได้ตายเพราะฉัน เธออย่ามากล่าวหาฉันแบบนี้นะ” หญิงสาวชุดเขียวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนพิมพ์วารีเอ่ยตอบเสียงเครือ หญิงตรงหน้าเงื้ออีกมือหมายจะตบหน้าอีกครั้งหากแต่พิมพ์วารีก็เอามือต้านไว้เสียก่อน

“ที่ท่านพี่ต้องตายก็เพราะว่าเธอต่างหาก เดิมทีท่านพี่จะขึ้นไปมอบรัตนมณีแก่ท้าววิรูปักษ์ในวันพรุ่งนี้ แต่เพราะเธอเร่งรัด ออดอ้อนอยากขึ้นไปหาพี่น้องเธอที่หิมพานต์เร็วๆ หากว่าท่านพี่เดินทางพรุ่งนี้ก็คงไม่ได้พบครุฑตนนั้น และก็คงต้องไม่...” ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดสั่นระริก มือที่ต้านแรงอีกฝ่ายไว้ดันออกไปสุดแรงจนร่างตรงหน้ากระเด็นล้มลงสู่สายน้ำเย็นใสที่สูงเพียงเข่าเบื้องล่าง

ร่างอรชรในชุดสีฟ้าหยัดกายขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายสีรุ้งเลื่อมพรายระยิบระยับ กระแสพิษรุนแรงพุ่งเข้าใส่คนตรงหน้าหากแต่ว่าอีกฝ่ายก็ยกมือซ้ายที่สวมกำไลพญานาคฝังมรกตมาบังไว้

เมื่อใช้พิษทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ นางฉัพยาปุตตะจึงกระโจนเข้าใส่เอราปถสาวเต็มแรง ร่างอรชรของทั้งสองค่อยๆ กลายเป็นนางนาคสีเขียวและสีรุ้ง กอดรัด ฉกกัดกันอย่างไม่มีใครยอมใครง่ายๆ

พิมพ์วารีได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจสุดขีด ทั้งร่างสั่นเทาราวกับว่ากำลังจับไข้ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ที่เธอยืนอยู่ตรงนั้น แต่ที่รู้คือนาคาสองตนนี้ต่างต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะเจ็บปวดจากบาดแผลแต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนยอมแพ้ สายน้ำเย็นใสเบื้องหน้าธารน้ำตกใหญ่เจือด้วยเลือดสีแดงฉานของนางนาคาที่เพิ่งสูญเสียสามีอันเป็นที่รัก จนกระทั่งมีผ้าสีน้ำเงินเข้มผืนหนึ่งร่วงลอยลงมาจากท้องฟ้า ตกลงสู่ผืนน้ำนางพญางูทั้งสองที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่จึงคืนร่างเป็นมนุษย์ รีบวิ่งตรงดิ่งมาคว้าเอาผ้าผืนนั้นไว้

“ผ้าไหมที่ใช้ห่อรัตนมณีของท่านพี่” หญิงในชุดสีฟ้าอุทานทั้งน้ำตา มือเรียวสวยนั้นกำผ้าไหมไว้แน่น

“ท่านพี่... ผ้าของท่านพี่” นางนาคาสีเขียวตรงปรี่เข้ามาดึงผ้าไหมไป หากแต่ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ ผ้าไหมผืนยาวกางออกโดยมีสตรีสองนางดึงชายไว้คนละข้าง ต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันด้วยความอาฆาต ไม่มีฝ่ายไหนยอมปล่อยมือ เพราะนี่คือสิ่งแทนตัวของกนกนาคราชก่อนจะสิ้นใจ

พิมพ์วารีเอาสองมือขึ้นปิดริมฝีปากที่สั่นระริกไว้ด้วยความตกใจ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ขณะที่เธอกำลังยื้อแย่งผ้าไหมกับผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นเลย ประหนึ่งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะเป็นกระจกเงาสะท้อนถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วและย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง

จนกระทั่งพญาปักษาผู้กระพือปีกโผบินอยู่บนท้องฟ้า ส่งเสียงกรีดร้องเมื่อแลเห็นเหยื่อเบื้องล่าง นางนาคาทั้งสองจึงรีบดันกายลงสู่ผืนน้ำ ดำดิ่งหนีหายไปคนละทิศละทาง



ปลายฟ้าสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกในสภาพเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว ชุดนอนสีขาวสะอาดผืนบางเปียกชุ่มราวกับว่ามีใครเอาน้ำมาสาดยังไงยังงั้น หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนหันไปมองผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มลายกนกที่วางพาดบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

ดวงตากลมรีจ้องมองมันคล้ายต้องมนตร์สะกด ภาพในฝันเมื่อครู่นี้เธอยังจำได้ติดตา ประหนึ่งว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ ยิ่งเมื่อคิดไปถึงเรื่องราวในฝัน ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ และยิ่งไปกว่านั้น หญิงสาวที่ยื้อแย่งผ้าไหมในฝันก็เป็นคนเดียวกับที่มีเรื่องเหมือนในฝันกับเธอเมื่อหลายวันก่อน ยิ่งคิดถึงหน้าของหล่อนทีไร จิตใจของปลายฟ้ามันก็ยิ่งร้อนเป็นไฟขึ้นมาทุกที

ผ่านไปเกือบชั่วโมงกว่าที่หญิงสาวจะข่มตาหลับได้ ระหว่างที่ยังไม่ง่วงนั้นก็เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเลือกชุดที่จะใส่ไปวัดในพรุ่งนี้ จนกระทั่งมาคว้าได้เสื้อลายลูกไม้แขนกุดสีขาวและผ้าซิ่นสีฟ้าที่ตัดไว้เมื่อปลายปีก่อนเพื่อใช้ใส่ไปงานขึ้นบ้านใหม่ของใบหม่อน มือเรียวสวยลูบไล้เนื้อผ้าคล้ายกำลังตกอยู่ในภวังค์ของบางอย่าง ลายผ้าทออย่างประณีตบรรจง งดงามเหมือนผ้าที่เธอใส่ในฝันไม่มีผิดเพี้ยน....


พงศกรต้องเดินงัวเงียจากเตียงไปรับโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานหลังจากที่มันดังไม่ยอมหยุด

“มีอะไรยัยพิม โทร.มาปลุกฉันแต่เช้าเลยนะ วันหยุดแบบนี้จะให้นอนตื่นสายหน่อยก็ไม่ได้” พูดพร้อมยกอีกมือขึ้นมาขยี้ตาไปมาก่อนป้องปากหาวหวอดๆ

“กร วันนี้แกไปวัดเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความกังวลของหญิงสาวทำให้คนฟังต้องย่นคิ้วก่อนจะแหงนหน้ามองนาฬิกาที่แขวนติดผนังห้องไว้

“ไปวัดเหรอ? วันนี้ไม่ใช่วันพระนี่ อีกอย่างนี่ก็จะเก้าโมงแล้วไม่ใช่เหรอพิม”

“กร...” พิมพ์วารีลากเสียงค้างคล้ายตัดพ้อ พงศกรถอนหายใจยาวก่อนจะจำใจตอบตกลงอีกฝ่ายไป

“เดี๋ยวเก้าโมงครึ่งฉันจะไปรับเธอที่บ้านแล้วกันนะ เดี๋ยวขอโทร.หายัยเจ๊ก่อน” พอกดวางสายไปได้ก็รีบโทร.หานงเยาว์ทันที อีกฝ่ายนั้นกำลังง่วนกับงานบ้าน ทั้งเสื้อผ้ากองโตและจานชามจากปาร์ตี้ของลูกๆ เมื่อคืนที่ยังไม่ได้ล้าง

“เอาน่าพี่...ไอ้พิมมันคงไม่สบายใจจริงๆ น่ะแหละ เดี๋ยวกลับมาพี่ค่อยมาซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน ดูแลลูก ดูแลสามีพี่ก็ได้นี่”

“นี่ไอ้กร แกไม่มีครอบครัวแกไม่รู้หรอกว่ามันเหนื่อยแค่ไหน เดี๋ยวตอนบ่ายฉันกับพี่นุต้องพาลูกๆ ไปดูหนัง วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ใครๆ ก็อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวกันทั้งนั้น” อีกฝ่ายยกเหตุผลมาอ้าง

“นี่พี่เยาว์ ไปแปปเดียว ไม่ได้ไปทั้งวันหรือพี่จะให้กรไปกับไอ้พิมมันสองคน เดี๋ยวถ้ามันเกิดเคืองพี่ขึ้นมาล่ะ”

“ไอ้พิมน่ะมันไม่เคืองพี่หรอก แกอย่ามาทำเป็นขู่หน่อยเลย ไปกันสองคนน่ะแหละ แค่นี้นะ” เมื่อพูดจบก็กดวางสายไปทันที ฝ่ายพงศกรก็ได้แต่ยืนอ้าปากค้าง ก่อนทำจมูกฟุดฟิดและวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะพร้อมกับถอนหายใจ

ร่างเพรียวลมคว้าเอาผ้าขนหนู เดินละลิ่วเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ก่อนแต่งกายด้วยเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีเดียวกัน

เมื่อรถยนต์ของเพื่อนสนิทใกล้มาถึง พิมพ์วารีก็รีบผลักประตูห้องออกมาคล้ายรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ ร่างสมส่วนในชุดผ้าไหมสีเขียวทั้งตัวเสื้อและผ้าซิ่นรีบตรงดิ่งไปยังลิฟต์หน้าห้อง พอพงศกรจอดรถได้ไม่ถึงสามนาทีผู้เป็นเพื่อนก็เดินมาถึงพาหนะเขาในที่สุด

ชายหนุ่มเปิดประตูรถลงมาด้วยอาการตะลึงงันครู่หนึ่งเมื่อเห็นชุดที่ผู้เป็นเพื่อนใส่ เวลาไปทำบุญหรือออกงานใหญ่ๆ พิมพ์วารีมักไม่พิถีพิถันในเรื่องการแต่งตัวสักเท่าไหร่นัก แต่ชุดผ้าไหมสีเขียวแก่ที่หญิงสาวใส่ มันทำให้เธอดูสวยแปลกตา เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ใบหน้าสีน้ำผึ้งนวลเนียนแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาดูงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ ผมสีดำยาวสลวยเกล้าขึ้นเป็นมวยไว้ด้านหลัง ที่มือซ้ายถือถุงกระดาษใบหนึ่งไว้

“ไปกันเลยกร...” อีกฝ่ายบอกด้วยอาการร้อนรน

“ฉันว่าเราแวะซื้ออาหารไปถวายเพลด้วยดีมั้ยพิม หรือไม่ก็ซื้อของไปถวายสังฆทาน ว่าแต่...ที่เธอชวนฉันไปวัดเนี่ย จะไปทำอะไรเหรอ?” พงศกรเอ่ยถามด้วยความสงสัย คนตรงหน้าถอนหายใจน้อยๆ ก่อนชำเลืองมองลงมายังถุงผ้าที่ถืออยู่ข้างกาย

“ฉันอยากเอาผ้าไหมผืนนี้ไปถวายพระ ไม่อยากจะเก็บมันไว้อีกแล้ว...”

“เอาไปถวายพระ ไหนแกบอกว่าตัวเองไปยื้อแย่งผ้าผืนนี้กับลูกค้าอีกคนที่ร้านผ้าจนมันขาด ตัวเองอยากได้จะเป็นจะตายแต่ตอนนี่กลับบอกว่าจะเอาไปถวายพระ” พงศกรร่ายยืดยาวอย่างอดไม่ได้แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมพูดจา

“พิม...แกเป็นอะไรรึเปล่า มีเรื่องอะไรก็แกยังไม่ได้บอกฉันรึเปล่า” พงศกรเอ่ยถามอย่างหวังดี ดวงตาสีดำกลมโตกระพริบถี่ก่อนบอกเสียงค่อย

“ฉันแค่... แค่ฝันเกี่ยวกับผ้าผืนนี้ แล้วก็รู้สึกว่ายิ่งเก็บมันไว้ ตัวเองก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยดี”

“แล้วทำไมตอนนั้นแกถึงอยากได้มันมากนักล่ะ”

“กร ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นถึงอยากได้มันนัก ฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากเก็บมันเอาไว้แล้ว” หญิงสาวก้มหน้านิ่ง เม้มปากแน่นด้วยความสับสนที่เกาะกุมจิตใจ พงศกรเห็นท่าทีอันแสนอึดอัดใจของอีกฝ่ายแล้วจึงไม่ซักไซ้อะไรอีก รีบเดินนำหน้าสู่พาหนะและพาพิมพ์วารีเดินทางไปวัดในที่สุด


ใบหม่อนยังชื่นชมความงดงามของปลายฟ้าอยู่ในใจเสมอ แม้จะเป็นสาวสังคมและแต่งตัวเข้ากับยุคสมัย แต่เมื่อเธอสวมใส่ซิ่นไหมและแต่งกายแบบไทยๆ ก็ดูสวยสง่าและงดงามไม่แพ้กัน

ทั้งสองเดินทางมาที่วัดในตัวเมืองอยุธยาตั้งแต่เช้าและตั้งใจจะอยู่ถวายเพลพระ พอจัดสำรับช่วยหญิงชาวบ้านเสร็จเรียบร้อยจึงยกมาให้พระสงฆ์ฉันเพล ในขณะที่พิมพ์วารีและพงศกรกำลังเดินขึ้นบันไดมาบนศาลาการเปรียญ ปลายฟ้ากับใบหม่อนนำเครื่องสังฆทานเตรียมถวาย เมื่อเสร็จแล้วจึงกลับมานั่งพนมมือเตรียมรับพร ก่อนที่ชายหนุ่มคนหนึ่งจะเดินเข่ามาบอกมัคนายก จากนั้นพิมพ์วารีจึงนำเครื่องสังฆทานเตรียมขึ้นถวาย

จิตใจอันสงบนิ่งและอิ่มเอมประหนึ่งลูกแก้วใสอันบริสุทธิ์ของปลายฟ้าคล้ายถูกฆ้อนอันหนักอึ้งทุบจนแหลกละเอียด ร่างอรชรสมส่วนในชุดผ้าไหมสีเขียวแก่เดินเข่าอย่างนวยนาดผ่านหน้าไปหาเพื่อนหนุ่ม ก่อนที่ทั้งคู่จะถวายสังฆทานแก่ภิกษุพร้อมกัน กระทั่งมือเรียวสวยหยิบเอาผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มออกมาจากถุงกระดาษ หญิงสาวที่เฝ้ามองดูอย่างไม่กระพริบตาจึงรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทั่วร่าง พิมพ์วารีมองผืนผ้าด้วยแววตาอาวรณ์ ก่อนวางมันลงบนผืนผ้าสีส้มที่พระสงฆ์นำมารองรับไว้

หญิงสาวพนมมือไหว้ก่อนเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับสงฆ์สูงวัยที่รับผ้าตรงหน้า พระคุณเจ้าท่านไม่ยอมรับผ้าผืนนั้นมา เพียงแต่จ้องมองดวงหน้านวลเนียนด้วยสายแต่แน่วนิ่ง

“เก็บไว้เถิดโยม อีกไม่นานโยมคงได้พบกับเจ้าของผ้าไหมผืนนี้ มันจะนำโยมไปพบเขา” เสียงแหบพร่าของพระสงฆ์สูงวัยเอ่ยบอก พงศกรหันมามองหน้าพิมพ์วารีด้วยความตกใจขณะที่ปลายฟ้าเริ่มร้อนรนอยากจะกระโจนเข้ามาหาและรู้ว่าพระสงฆ์สนทนาอะไรกับหญิงที่เธออาฆาตแค้น

พิมพ์วารีสบสายตาพระคุณเจ้าท่าน สายตาแน่วแน่นั้นยืนยันว่ามิอาจรับผ้าไหมของเธอได้ มือน้อยๆ จึงจำใจต้องยื่นออกไปรับมันกลับคืนมา แต่เมื่อได้สัมผัสมันอีกครั้งใจหนึ่งนั้นก็กลับดีใจที่ไม่สูญเสียมันไป

“ผ้าผืนนั้น..มันจะเอาผ้าผืนนั้นมาถวายพระไม่ได้” ปลายฟ้ากระชากเสียงอย่างไม่พอใจจนใบหม่อนที่นั่งพับเพียบอยู่ข้างกันต้องหันมามองด้วยความประหลาดใจ มือเรียวสวยกำแน่นอย่างใกล้หมดความอดทน เธอได้แต่เฝ้ารอเวลาให้อีกฝ่ายถอยห่างออกมาจากพระสงฆ์เสียก่อน

พงศกรเอ่ยถามพิมพ์วารีว่าจะทำอย่างไรต่อ เมื่อผู้เป็นเพื่อนยืนยันตามคำแนะนำของพระสงฆ์แล้ว ทั้งคู่จึงได้ถอยออกมาและนั่งพนมมือรับพรพระ แต่ไม่นานนัก จู่ๆ ก็มีลมแรงพัดโหมกระหน่ำไปทั่วบริเวณ สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างไปจนเย็นวูบไปทั้งกาย หญิงสาวหันซ้ายขวา รู้สึกเหมือนว่ามีใครบางคนจ้องมองเธออยู่ กระทั่งพระให้พรเสร็จแล้วจึงคลานเข่าและเดินลงจากศาลา เมื่อก้าวขาลงเหยียบแผ่นดินได้เท่านั้นหละมือเรียวสวยของปลายฟ้าจึงคว้าเอาผ้าไหมในมือของพิมพ์วารีไปสุดแรง

คนที่ถูกแย่งของรักไปอย่างไม่รู้ตัวถึงกับผงะด้วยความตกใจ พงศกรอ้าปากค้างกับกิริยาของหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีตรงหน้า ก่อนตรงปรี่เข้าไปดึงผ้าไหมผืนนั้นจากมือปลายฟ้า

“นี่...คุณ อยู่ดีๆ มาแย่งเอาผ้าเพื่อนผมไปทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” แม้จะตะคอกใส่แต่อีกฝ่ายกลับยังกำไว้แน่น ดวงตากลมรีขุ่นมัวเหมือนหมู่เมฆที่กำลังก่อตัวเป็นพายุอยู่เบื้องบน ใบหม่อนตรงเข้ามาห้ามเพื่อนสาวแต่ก็ถูกอีกฝ่ายเอาอีกมือผลักออกห่าง

เมื่อพิมพ์วารีได้สติจึงตรงดิ่งเข้ามาหาปลายฟ้า ความโกรธที่อัดแน่นอยู่ทั่วร่างทำให้มิอาจควบคุมสติได้ หญิงสาวจับแขนอีกฝ่ายไว้ กำแน่นจนปลายฟ้าต้องครางเพราะเจ็บปวดก่อนกระชากร่างให้ล้มคว่ำลงไปกับเนินหญ้าหน้าศาลาวัด

พิมพ์วารีวิ่งไปเก็บเอาผ้าไหมผืนนั้นก่อนที่สายลมจะพัดหอบมันขึ้นสู่ท้องฟ้า ปลายฟ้าหยัดกายลุกขึ้นยืนและรีบวิ่งตรงปรี่เข้าไปกระชากปอยผมที่หลุดลุ่ยของอีกฝ่ายไว้เต็มกำมือ

พิมพ์วารีร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด พยายามดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้ สองร่างล้มฟุบลงบนพื้นหญ้า กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างไม่อายชาวบ้านที่วิ่งกรูกันลงมาจากศาลาเพื่อดูเหตุการณ์ สายลมพัดกระหน่ำรุนแรงขึ้น เสียงฟ้าร้องดังก้องไปทั่วท้องฟ้าอันดำมืด ขณะที่เพื่อนสนิทของทั้งสองพยายามแยกร่างของทั้งคู่ให้ออกจากกันอย่างทุลักทุเล

ดวงตาทั้งสองคู่ยังคงจ้องหน้ากันแน่นิ่ง พงศกรจับร่างพิมพ์วารีไว้สุดแรง รู้สึกตกใจอย่างถึงที่สุดกับสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่ ไม่ต่างอะไรกับใบหม่อนที่ยึดตัวปลายฟ้าไว้สุดชีวิต อะไรกันนะที่ทำให้เพื่อนรักของเธอกล้าทำร้ายคนอื่นได้ถึงขนาดนี้

สายฝนเทสาดลงมาจากพายุที่เกรี้ยวกราด แต่หญิงสาวทั้งสองก็ยังคงยืนประจันหน้ากันอย่างไม่มีฝ่ายไหนจะยอมถอยก่อน เสียงชาวบ้านหลายคนร้องบอกให้หลบมาเข้าร่ม เมื่อฟ้าร้องครวญครางที่ไรพงศกรกับใบหม่อนเป็นต้องได้สะดุ้งด้วยความตกใจทุกครั้ง จนกระทั่งทั้งคู่หวนนึกถึงของสำคัญขึ้นมาได้ สายตาของปลายฟ้าและพิมพ์วารีจึงกวาดมองหาผ้าไหมสีน้ำเงินลายกนกผืนนั้นด้วยความร้อนรน


ธันย์ รัตนเวคินทร์ ก้มลงเก็บผ้าไหมสีคล้ำที่หล่นอยู่บนพื้นจนเปียกฝน ร่างสูงสง่าที่อยู่ใต้ร่มคันใหญ่จ้องมองผืนผ้าในมือซ้ายด้วยความประหลาดใจ คล้ายกับว่าเคยเห็นมันมาก่อน รู้สึกผูกผันเหมือนกับว่ามันเคยเป็นของเขายังไงยังงั้น...

สายลมแรงที่โหมพัดผ่านร่างทำให้ชายหนุ่มกำผ้าไหมในมือไว้แน่นด้วยกลัวว่ามันจะปลิวไปตามลม สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า ก่อนจะได้พบกับกลุ่มคนตรงหน้าที่ยืนตากฝนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่

ทันทีที่ได้สบสายตา ก็เหมือนว่ามีแรงบางอย่างดึงดูดให้ปลายฟ้ามิอาจละสายตาไปจากเขาได้ รูปหน้าคมคายสีแทน จมูกโด่งสวยเป็นสันงาม คิ้วสีดำหนาดก ดวงตาทอประกายและริมฝีปากหยักสวยรูปกระจับ เขาคือคนที่เธอเฝ้ารอว่าสักวันคงจะได้พบ ธันย์ รัตนเวคินทร์คนนั้นนั่นเอง...

แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 55 09:15:39

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 19:14:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com