บทที่ 13 ถูกโจมตี
ด้านนอกชุลมุนวุ่นวาย เหล่าทหารองครักษ์วิ่งกรูไปทางหัวขบวนรถ เห็นเงาคนขวักไขว่ไปมาวูบวาบ
เกิดอะไรขึ้น นั่นรถใครเหรอ ฉันชะเง้อเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น
เหมือนจะเป็นรถม้าของอัครชายานะ
ฉันสะอึกหันไปมองตงเหลียนทีหนึ่งแล้วจึงถอยกลับมานั่งพิงหมอนอิง ไม่รู้ทำไม แค่ได้ยินเรื่องของพระนางน่าหลันใจฉันก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ตงเหลียนยังคงมองดูเหตุการณ์ด้วยความตื่นเต้น แล้วเธอก็ร้องขึ้น
ไห่เอ๋อร์ มานี่ซิ ด้านหน้าเกิดเรื่องอะไรหรือ
ฉันหูผึ่งตั้งใจฟัง ได้ยินเสียงหลีไห่เอ๋อร์ตอบมาจากด้านนอก
พี่เหลียน ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้ชัด เมื่อครู่ได้ยินราชองครักษ์เล่าว่าทางด้านพระสนมหญงเยวี่ยเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เวลานี้ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไป
น่าหลันหญงเยวี่ย! เธอก่อเรื่องอะไรอีก หรือเกี่ยวกับเสี่ยวชุน? ฉันนึกหวั่นขึ้นมาทันที ตั้งแต่ออกจากพระราชวังเดิมในเมืองเสิ่นหยาง ฉันจำได้ว่าพวกเธอติดตามขบวนของพระอัครชายาไป
ถ้าได้ข่าวเมื่อใดข้าจะมาบอกท่าน วางใจได้! หลีไห่เอ๋อร์หัวเราะคิกคักอยู่ด้านนอก
วางใจอะไรกันเล่า ข้าแค่ถามไถ่ไปเช่นนั้นเอง พวกนางจะปวดหัวตัวร้อนก็ไม่ใช่ธุระอะไรของข้าเสียหน่อย! ไปให้พ้นๆ เชียวเจ้าลูกลิง ตงเหลียนเอ็ดแกมหยอก จากนั้นก็หันกลับมานั่งลงข้างๆ ฉันและหยิบน้ำโสมไปดื่ม เมื่อเห็นฉันนั่งขมวดคิ้วมองเธออยู่ก็เอ่ยขึ้น
เจ้าเด็กนั่นพูดเสียอย่างกับข้าชอบฟังเรื่องของคนอื่น เป็นพวกยายแก่ช่างนินทาอย่างนั้นแหละ
หึๆๆ ฉันหัวเราะ ดูท่าเธอจะเข้าใจผิด ฉันไม่ได้คิดเรื่องของเธออยู่สักหน่อย
เจ้าขันอะไร หรือว่าเจ้าก็คิดว่า...
ตงเหลียนถลึงตาจ้องฉัน ฉันรีบโบกมือปฏิเสธ
ไม่มีอะไร ข้าเองก็ชอบฟังเรื่องของคนอื่นเช่นกัน
คิกๆๆ...เจ้านี่นะ จริงๆ เชียว
ฉันหัวเราะตามพลางยกถ้วยร้อนขึ้นมาทำท่าเชิญดื่ม ขณะที่กำลังคุยเล่นกันด้านนอกก็มีเสียงคนแว่วมาอีก
ไปได้แล้ว ไป...
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงรถม้าที่พวกเรานั่งก็เคลื่อนตัว ฉันเอนไปพิงผนังด้านหลัง เรื่องด้านนอกคลี่คลายเร็วดีจัง คงจะไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตสินะ
ตลอดทางมีแต่เสียงล้อบดหมุนไปบนพื้นหิมะ ฉันเลิกผ้าม่านเสพรับบรรยากาศด้านนอกที่เต็มไปด้วยหิมะ สองข้างทางเป็นเนินป่าที่ไล่ระดับเห็นยอดไม้เป็นชั้นๆ แสงระยิบระยับพราวแพรว สัตว์ป่าตัวน้อยผลุบโผล่ให้เห็นไวๆ
ปล่อยม่านลงบ้างเถอะ เจ้าขี้หนาวไม่ใช่หรือ เจ้าไม่กลัวจะจับไข้ขึ้นมาหรือ ตงเหลียนบ่น
ฉันหันกลับมายิ้มให้และปล่อยม่านลง
เดินทางมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ยังไม่เห็นหลีไห่เอ๋อร์อีกเลย ในใจนึกพะวง ฉันหยิบหนังสือขึ้นมาพลิกอ่านเล่นแป๊บเดียวก็รู้สึกง่วง แต่พอกำลังจะหลับตาตงเหลียนก็ส่งเสียงเรียก ที่แท้ก็ถึงสถานที่ที่จะตั้งค่ายแล้ว ฉันลูบหน้าลูบตาให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าก่อนจะก้าวลงจากรถม้า หูย...หนาวจังเลย ตอนนี้พระอาทิตย์ลับสันเขาไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นแสงอัสดงสีชมพูระเรื่ออยู่รำไร ฉันมองไปรอบตัว เห็นกระโจมตั้งรอเป็นหลังๆ เรียงต่อเป็นทอดจนไม่เห็นปลายแถว เพราะพระประยุรวงศ์ทางฝั่งมองโกลตามเสด็จครั้งนี้ด้วย เลยมีคนเพิ่มขึ้นอีกเยอะ ที่แห่งนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเลพอดู ด้านล่างเป็นป่าที่มีพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ไปกันเถอะ
ตงเหลียนดึงแขนฉัน ทำให้ฉันได้สติรีบตามเธอเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง เพียงแค่ก้าวเข้าไปไออุ่นก็ปะทะกับผิวหน้า เฮ้อ...ฉันผ่อนลมหายใจวางห่อผ้าลงด้านข้างและถอดหมวกออก จากนั้นนั่งลงตรงกระถางกำยานเพื่ออังมือให้อุ่น
ตงเหลียนสำรวจที่พักพลางเอ่ย ดูเหมือนตงเหมยจะมาถึงก่อนแล้ว
อืม ห่อผ้าของนางอยู่ตรงนั้น
ตงเหลียนกำลังจะพูดม่านประตูก็แหวกออก หลีไห่เอ๋อร์มุดหัวเข้ามาบอก
พี่เหลียน พี่เสี่ยวเวย เขาพยักหน้าเรียกยิ้มๆ พระนางท่านทรงเรียกท่านแน่ะ
เราสองคนเลยหรือ
มิใช่ เรียกท่านคนเดียว พี่เหมยรับใช้พระนางท่านอยู่ที่นั่นแล้ว
อืม รู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ตงเหลียนพยักหน้า
ได้ เช่นนั้นข้ารอด้านนอกนะ ขันทีน้อยพูดจบก็ผลุบหัวออกไป
เจ้ารีบไปเถอะ ทางนี้ข้าจะจัดการเอง ฉันยิ้มให้เธอ
อืม...เพิ่งมาถึงเช่นนี้คงยุ่งๆ กันหมด อาหารก็คงจะไม่ได้กิน หากเจ้าหิว ของว่างอยู่ตรงนั้น
ฉันพยักหน้ารับ รู้แล้ว เจ้ารีบไปเถอะ ถ้ามีเรื่องจะเรียกใช้ก็ให้หลีไห่เอ๋อร์มาเรียกข้าแล้วกันนะ
ได้ ตงเหลียนยิ้มแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ในที่สุดก็สงบเสียที ฉันเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ กระโจมทั้งหลังทำจากหนังวัวเย็บติดๆ กัน ปิดช่องด้วยเศษพรมสักหลาดและยางสนจนมิดชิด ที่พื้นปูด้วยพรมหนา รู้สึกเหมือนมาออกค่ายตั้งแคมป์เลย อังไฟได้พักหนึ่งร่างกายก็อบอุ่นขึ้น ฉันลุกขึ้นจัดเก็บห่อผ้าสัมภาระ เวลาคนโบราณเดินทางจะจัดของพกพามาอย่างครบครัน อาจเป็นเพราะชีวิตไม่ได้สะดวกสบาย หากไม่เตรียมให้ดีหวังพึ่งน้ำบ่อหน้าจะลำบากยิ่งกว่า ฉันใช้เวลาจัดวางสิ่งของอยู่พักใหญ่จนเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยก็ยืดเส้นยืดสายแล้วจึงเดินไปเติมเชื้อไฟกับชะมดเชียงลงในกระถาง ภายในห้องเกิดกลิ่นหอมฟุ้งและแผ่ไออุ่นขึ้นมาทันใด
ฉันสำรวจดูภายในกระโจมจนทั่ว ฟังเสียงข้างนอกไม่ได้ยินว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรเลยล้มตัวลงนอนบนผ้าห่มนวมหนา
หึๆๆ ดีจังเลย ฉันหลับตาลงฮัมเพลง แป๊บเดียวก็เคลิ้ม...
ทันใดนั้นจู่ๆ ไอร้อนก็พ่นเข้าหน้าพร้อมกับเสียงเสียงหนึ่ง ฉันตกใจรีบลืมตาขึ้น
ว้าย!
ใบหน้าที่มีขนปกคลุมกำลังก้มลงมองฉัน ดวงตากลมดำจ้องมองด้วยความสงสัยใคร่รู้ ฉันพลิกตัวหลบและลุกขึ้นนั่งทันที
นี่...นี่...โอ๊ย เจ้าหมาเข้ามาได้ยังไง
เราทั้งคู่จ้องตากันและกัน ถึงฉันจะไม่กลัวหมา แต่ตัวใหญ่ขนาดนี้...ใจมันก็ฝ่อเหมือนกันนะ
อ๊า! อย่าเข้ามานะ
ฉันถดตัวถอยหนีเมื่อหมาดำตัวยักษ์ขยับมาใกล้พลางส่งเสียงฟืดฟาด แต่แล้วมันก็นั่งลงกระดิกหางท่าทางดีใจ
เฮ้อ... ตกใจหมดเลย โชคดีที่หมาตัวนี้ฟังภาษาคนรู้เรื่อง แต่ถึงยังไงฉันถอยห่างมันไว้หน่อยดีกว่า
อุ๊ย!
ฉันสะดุดกับอะไรบางอย่างจนล้มหงายหลัง แต่กลับร่วงลงสู่อ้อมกอดอุ่นๆ ของใครคนหนึ่งที่รัดตัวฉันไว้แน่น ตัวเขามีกลิ่นเหล้าจางๆ ตอนแรกฉันตื่นตระหนก แต่แล้วก็ปล่อยตัวตามสบายในที่สุด ทำเพียงแค่มองมือข้างที่โอบรอบเอวและคิดว่าจะกัดสักทีดีไหมนะ
ถ้าเจ้าอยากกัดล่ะก็ ข้าจะให้เจ้าเฮยหลางกัดเจ้าเสียเลย
องค์ชายสิบสามพูดกลั้วหัวเราะอยู่เหนือกระหม่อม
ฮึ่ย ฉันกัดริมฝีปากแหงนขึ้นไปมองเขา เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
เพิ่งมา เห็นเจ้ากำลังเคลิ้มหลับข้าจึงไม่ได้เรียก
ฉันปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ใช่ เจ้าไม่ได้เรียกข้า แต่ส่งหมามาเรียก
ฮ่าๆๆ! เฮยหลางมันชอบเจ้านะ
ยังจะหัวเราะอีก ข้าตกใจจะตายอยู่แล้ว จะรู้ได้ยังไงว่าหมาตัวนี้ฟังภาษารู้เรื่อง
ฉันขึงตาใส่เขาก่อนจะดิ้นออกจากอ้อมกอด เดินไปนั่งข้างๆ กระถางกำยาน องค์ชายสิบสามค่อยๆ นั่งลงช้าๆ ขยับเข้ามาชิดพลางเอนหัวมาซบไหล่ฉัน มือข้างหนึ่งฉวยหางเปียของฉันมาจับเล่น ฉันปล่อยให้เขาเล่นตามสบายอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็สังเกตได้ว่าเขาดูเนือยๆ ไม่พูดเล่นเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกที
เป็นอะไรไป ฉันสะกิดเขา
หือ? ไม่มีอะไร แค่เหนื่อยใจ
ฉันเห็นเขาไม่อยากเล่าเลยไม่ได้ซักไซ้ต่อ
เจ้าหิวไหม กินข้าวเย็นหรือยัง
องค์ชายสิบสามส่ายหน้า
ไม่ได้กิน ในงานเลี้ยงดื่มเหล้าไปแค่สองจอก
ฉันอดขมวดคิ้วไม่ได้ ดื่มเหล้าทั้งที่ท้องว่างได้ยังไงกัน ฉันผลักเขาออกเบาๆ
ข้าจะไปหยิบขนมมาให้
องค์ชายสิบสามเงยหน้าขึ้นมามองพลางจับมือฉันไว้
ข้าไม่หิว
ฉันปลดมือออก เลิกคิ้วพูด แต่ข้าหิว
พอฉันยกกล่องของว่างมานั่ง เฮยหลางก็กระดิกหางรี่เข้าหาพร้อมแลบลิ้นแผลบๆ
ฮึๆๆ
ฉันอดบิขนมป้อนให้มันไม่ได้ ดูไม่ออกเลยว่ามันเป็นพันธุ์ไหน รูปร่างใหญ่โตมีส่วนคล้ายเซ็นต์เบอร์นาร์ด นิสัยก็เหมือน ช่างประจบเอาใจ แต่ในยุคสมัยนี้ หมาพันธุ์นี้ยังไม่ได้นำเข้ามาในประเทศจีนนี่นา ส่วนมาสทิฟฟ์ทิเบตก็คงจะไม่เชื่องขนาดนี้ ฉันป้อนอาหารพลางเกาให้มันไปด้วย เจ้าหมาตัวนี้ชอบใจใหญ่ แล้วมันก็เลียฉัน น้ำลายเยิ้มเชียว...
ฮิๆๆ
เฮยหลาง! หลบไป! จู่ๆ องค์ชายสิบสามก็พูดขึ้น ฉันตกใจ เจ้าเฮยหลางลุกไปหมอบอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ยังมองมาทางฉันด้วยสายตาเว้าวอน ฉันหันกลับมามององค์ชายสิบสาม ท่าทางเขาไม่พอใจนัก
มีอะไรเหรอ
ฮึ!
เขาเมินหน้าหนี ทำเอาฉันอึ้ง...เหอๆๆ ไม่จริงมั้ง คนหึงหมาก็มีด้วย ฉันกลั้นยิ้มเดินไปล้างมือที่อ่างด้านหนึ่ง องค์ชายสิบสามเห็นฉันไม่สนใจก็ถลึงตาจ้องเจ้าเฮยหลาง หมาตัวนั้นไม่เข้าใจหรอก มันยังคงกระดิกหางเล่นกับเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉันเดินกลับมาหยิบขนมชิ้นหนึ่งยื่นไปที่ปากเขา
ให้...
องค์ชายสิบสามเบือนหน้าหนี ไม่กินเหรอ ดี... ฉันทำเป็นไม่สนใจเขาเหมือนกัน
อืม รสเข้าที!
ฉันกัดขนมกินเองและกำลังจะกัดอีกคำ องค์ชายสิบสามยื่นหน้ามากัดคำที่เหลือในมือฉันทันที ฉันหัวเราะหันมามองเขา สีหน้าของเขาเป็นปกติแล้ว ฉันจึงยกกล่องขนมมาไว้กับตัวและป้อนให้เขาทีละคำๆ
วันนี้ข้าได้พบท่านตา...
จู่ๆ องค์ชายสิบสามก็พูดขึ้นจนฉันชะงักหันไปมองเขา เขาไม่ได้มองมาที่ฉัน แต่เหม่อมองไปที่ยอดกระโจม
พวกเขาพูดถึงแม่ของข้า...
ฉันลอบถอนหายใจ ที่แท้เขาหงอยเหงาเพราะเรื่องนี้เอง
เจ้าจำแม่ของเจ้าได้ไหม
ฉันถามเขา เขาส่ายหน้าเบาๆ
จำไม่ค่อยได้แล้ว จำได้แต่ว่าท่านอ่อนโยนมาก ขับทำนองแห่งชาวมองโกลได้ไพเราะมากด้วย...
ฉันมองดูเขาด้วยความเข้าใจ ภายในวังหลวง ลูกที่อยู่โดยไม่มีแม่น่าสงสารเหลือเกิน ฉันค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับมือเขาไว้ เขาชะงักเกร็งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่แล้วเขาก็กุมมือฉันไว้แน่น
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของสองสาวตระกูลตงดังอยู่ข้างๆ ฉัน แต่ฉันกลับยังลืมตาโพลงมองยอดกระโจมในความมืด องค์ชายสิบสามเล่าถึงพระนางจางจยาซื่อ แม่ผู้ให้กำเนิดเขา พระนางทรงสิ้นพระชนม์ระหว่างมีประสูติการองค์หญิงสิบห้า ตอนนั้นองค์ชายสิบสามยังเล็กมาก ยังสัมผัสความรักความอบอุ่นระหว่างแม่ลูกได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานของการขาดแม่มาจนถึงทุกวันนี้ เขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองให้ฉันฟังมากมาย หนึ่งในเรื่องเหล่านั้นก็คือความปรารถนาดีที่องค์ชายสี่มีให้กับเขา ตอนที่ฉันฟังเรื่องนี้ใจอดเต้นแรงไม่ได้ ใครๆ ก็ดูออกว่าเขารักและเคารพพี่ชายสี่มากเหลือเกิน องค์ชายสี่เป็นพี่ชายที่ทำหน้าที่เหมือนแม่ คอยสอนสิ่งต่างๆ ทั้งยังให้ความรักความอบอุ่นแก่เขา...
ตอนที่เห็นท่าทางปลาบปลื้มชื่นชมเวลาพูดถึงพี่ชายที่เขาบูชาฉันก็อดคิดขึ้นไม่ได้ ขนาดพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปดยังทรงเคยใช้อิทธิพลของฮิตเลอร์เพื่อให้ตัวเองได้ครองราชบัลลังก์อีกครั้ง หรือพระเจ้าถังเสวียนจงก็ทรงรับสั่งให้หยางอวี้หวน อัครชายาสุดที่รักปลิดชีพตัวเองเพื่อความมั่นคงของพระราชอำนาจ ไม่ว่าจะยุคสมัยใด แดนดินถิ่นไหน ก็ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าอำนาจความเป็นใหญ่เลยจริงๆ
เฮ้อ... ฉันถอนหายใจเบาๆ องค์ชายสิบสามอาจจะเป็นแค่ขอนไม้ที่ลอยน้ำมาให้คนที่กำลังจมน้ำได้คว้าไว้ ซึ่งอาจจะจมไปพร้อมกัน หรืออาจจะได้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย แต่แล้วใครกันจะแบกขอนไม้นั้นไปด้วย มีแต่ปล่อยทิ้งไว้ ไม่สำนึกหรอกว่าขอนไม้นี้เคยได้ช่วยชีวิตตน...
เสี่ยวเวย ตื่น ตื่นสิ...
ฉันกะพริบตาปริบๆ มองตงเหมยอย่างสะลึมสะลือ
สว่างแล้วเหรอ
ใช่แล้ว รีบลุกเถอะ
อืม
ฉันกระวีกระวาดลุกขึ้นแต่งตัว แม้ว่าในห้องกระโจมจะจุดไฟให้ความอบอุ่น แต่แค่ออกจากผ้าห่มนวมก็สัมผัสได้ถึงไอหนาวยะเยือก ขณะที่กำลังใส่เสื้อผ้าตงเหมยก็หันมาถาม
เมื่อคืนเจ้าฝันเห็นอะไรหรือ น้ำตานองหน้าไปหมด
หา? ฉันรีบเช็ดหน้าเช็ดตาทันที...จริงด้วย หางตายังเปียกอยู่เลย ฉันยิ้มกลบเกลื่อน ไม่รู้สิ ข้าก็จำไม่ได้เหมือนกัน
ตงเหมยไม่ได้ติดใจอะไร
อืม เจ้าผัดหน้าแต่งตัวให้เรียบร้อยเถอะ ตงเหลียนไปถวายงานก่อนแล้ว ข้าก็กำลังจะไป ประเดี๋ยวเจ้ากินอาหารเรียบร้อยแล้วก็ไปเปลี่ยนกับนางแล้วกัน
ได้ ข้ารู้แล้ว ข้าจะรีบตามไปนะ
ตงเหมยพยักหน้า
ไม่ต้องเร่งนักหรอกนะ ว่าแล้วเธอก็หมุนตัวเดินออกไป
ฉันรีบถูฟัน หวีผม ล้างหน้า เห็นบนกระถางไฟตั้งนมชามหนึ่งอุ่นไว้อย่างดีก็รู้ว่าตงเหมยเตรียมไว้ให้ ฉันจัดการดื่มนมตามด้วยขนมรองท้องอีกสองชิ้น จากนั้นจึงรีบออกจากกระโจม
เฮ้อ... ฉันสูดอากาศหายใจเข้าออกลึกๆ อากาศดีจังเลย สะอาด สดชื่น อย่างกับสูดโอโซนเลยเชียว อากาศที่นี่มีกลิ่นหอมไม้สนอ่อนๆ ด้วย ฉันย่ำลงไปในพื้นหิมะที่ลึกระดับข้อเท้า ก้าวสวบๆ ไปทางขวา มุ่งสู่กระโจมที่ประทับของพระนางเต๋อเฟย ท้องฟ้ากว้างสีฟ้าคราม พื้นหิมะขาวโพลน สนชะลูดชูยอดเขียวพาให้อารมณ์ค่อยๆ สงบ ในเมื่อยังไม่ถึงอนาคตที่แสนโหดร้ายก็ไขว่คว้าความร่มเย็นตรงหน้าไว้ก่อนเถอะ
คิดมาคิดไปเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงกระโจมของพระราชชายาแล้ว ฉันเข้าไปคารวะพระนาง จากนั้นก็รับช่วงงานต่อจากตงเหลียนเพื่อให้เธอไปกินข้าว ในแต่ละวันเมื่อพระนางเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จก็จะทรงดื่มน้ำโสมหนึ่งชาม ฉันอุ่นน้ำโสมบนเตา พอได้ที่แล้วก็หาถาดรองมาเชิญของ
ขณะที่กำลังจะถวายแด่พระนาง ม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น ฝูกงกงกระเซอะกระเซิงเข้ามาพาให้คนที่อยู่ในนี้แตกตื่น
เกิดเรื่องอะไร เหตุใดจึงลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ พระนางทรงขมวดพระขนง
ฝูกงกงกลืนน้ำลายก่อนจะตอบ พระ...พระนางท่าน...องค์ชายสี่...องค์ชาย...ฮือ...
พระนางทรงลุกพรวดตวาดถาม องค์ชายสี่ทำไม!