45 ตอนจบ
แม้ว่าการทาบทามสู่ขอจะผ่านไปด้วยดี บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง อันเกิดจากความคุ้นเคยของผอ.คเชนทร์กับเจ๊หงส์ ส่วนพยัคฆ์ก็เป็นคนรอบรู้ข่าวสารบ้านเมือง ทั้งหมดจึงคุยกันถูกคอ มีเพียงคนเดียวที่ขาดไปคือแม่ของปุริมา เธอเปรย ๆ กับเขมรัฐในวันต่อมาเมื่อใช้เวลาไปเดินเล่นพักผ่อนด้วยกัน
“แม่ไม่ยอมมา พ่อบอกว่า...ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ฉันจะแต่งงาน...”
“ไม่พอใจที่ปูนิ่มจะแต่งงาน โดยที่ไม่ได้เลือกลูกเขย” เขมรัฐขยายความต่อให้ “ผอ.ก็เหมือนกันนะ ผมคิดว่าจะไม่อยากยกปูนิ่มให้ผมเสียอีก”
ปุริมารู้ว่าลึก ๆ แล้วพ่อไม่เต็มใจดังที่ชายหนุ่มตั้งข้อสังเกต แต่เธอไม่กล้าบอกเขา คิดถึงตอนที่ไปบอกเรื่องนี้กับพ่อ ปฏิกริยาที่ได้รับในคราแรกคืออาการนิ่ง
‘แน่ใจแล้วเหรอ’
แม้จะถามแค่นั้นแต่ด้วยน้ำเสียงกับความห่วงใยในดวงตาฉายชัด ปุริมาเก็บอารมณ์ แสดงความตั้งใจจริงด้วยเหตุผลว่า เธอคิดดีแล้ว เธอเลือกที่จะรับรักนายฟาร์มทั้งหัวใจและสมอง ‘ก็ได้ ปูนิ่มโตแล้ว มันก็ถึงเวลาต้องตัดสินใจเองแล้วล่ะ’
“ปูนิ่ม” เสียงของเขมรัฐเรียกเธอกลับสู่บทสนทนา หญิงสาวส่ายหน้า
“พ่อบอกว่าให้ฉันตัดสินใจเอง อีกอย่างก็คงให้เกียรติเจ๊หงส์ด้วยล่ะ ถ้าปฏิเสธคงมองหน้ากันไม่ติด”
เขมรัฐสบตาเธอยิ้ม จับน้ำเสียงอ่อยซึ่งแสดงถึงความกังวลได้ “นี่ปูนิ่ม ถ้าพ่อกับแม่คุณวุ่นวายมาก ๆ เราหนีตามกันมั้ย”
ปุริมายกคิ้ว ตกใจแต่ยอมรับว่าท่าทางจริงจังของเขาชวนให้คิด
“คุณจะหนีตามผม หรือจะให้ผมหนีตามคุณล่ะ ผมให้คุณเลือกก่อน
เธอเผลอทำท่านึกแล้วร้อง "มันต่างกันตรงไหนยะ"
เขาหัวเราะ
“ไม่ตลกนะคุณ ฉันซีเรียส ถ้าแม่ไม่ยอมรับเราไม่ยอมรับคุณ ฉันก็ไม่มีความสุขนักหรอก”
“ผมมีความคิดดี ๆ ถ้าแม่คุณไม่มา เราก็ไปหาเขาเองสิ”
บ้านของปุริมา ซึ่งหญิงสาวกระซิบว่าเป็นบ้านของครอบครัวใหม่ของแม่ใหญ่โตสมฐานะภริยาอดีตนักการฑูต ด้านหน้ามีน้ำพุรูปปั้นรูปคิวปิด รับกับเสาหินอ่อนสีเทาหม่นศิลปะแบบโรมันประยุกต์ ยิ่งเมื่อเช้าในบ้าน ดูการตกแต่งก็ยิ่งหรูหรา แม้เขมรัฐรู้ตัวว่าไม่ใช่ไอ้หนุ่มบ้านนากระจอก แต่เพราะเขาไม่ใช่คนแต่งตัวจัด เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์วันนี้แทบจะดูธรรมดาไปเลย
หลังคำทักทายและแนะนำตัว นอกจากการรับไหว้แบบหมางเมิน เขมรัฐยังถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ในสายตาของผู้หญิงในสังคมระดับประเทศ คนแบบเขาคงเป็นอะไรที่ไม่ได้เห็นบ่อย ๆ ชายหนุ่มคิดเข้าข้างตัวเองแบบขำ ๆ
“หนู...จะแต่งงานค่ะ:-)านจัดวันที่สิบสี่พฤศจิกาค่ะ” ภุมรีนิ่ง ปุริมาจึงพูดต่อ “งานไม่ได้มีอะไรมากค่ะ จัดเรียบ ๆ แบบไทย ๆหนูว่าน่าจะดี แม่ว่างไหมคะ”
“มาบอกเฉย ๆ ใช่ไหม เพราะเตรียมอะไรเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ขอความเห็นแม่” คนเป็นลูกชะงัก “แล้วนี่เลือกดีแล้วเหรอ ถึงได้เรือพ่วงมาด้วย”
“อ้าว คุณแม่ยายครับ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ ไม่น่ารักเหมือนลูกสาวคุณแม่เลย ถึงผมจะมีข้อติตรงเป็นพ่อหม้าย แต่ผมว่าดีนะครับ ซื้อหนึ่งได้สอง แต่ถ้าคุณแม่อยากได้หลานจากปูนิ่ม ได้เลยเดี๋ยวจัดให้ ตกลงตอนนี้ได้ลูกไม่เกินปีหน้า”
ดวงตาภุมรีโชนแสง ปุริมาหันขวับเชิงตกใจ เขมรัฐเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะยอกย้อน แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายตั้งป้อมใส่เขาเหลือเกิน ขนาดลูกสาวตัวเองยังไม่วายหักหน้า เขาอ่านผู้หญิงแบบภุมรีได้ หญิงสาวสังคม ต้องการทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เว้นแม้แต่ลูกเขยก็ต้องการแบบสำเร็จรูป ชนิดหน้าตาดี มีชาติตระกูล พูนทรัพย์สิน กินเหลาทุกมื้อทำนองนั้น
“ลูกเขยไม่ได้สำเร็จรูปแบบข้าวกล่อง 7-11 นะครับ แถมยังน้อยเหมือนกับข้าวไหว้เจ้า ผมน่ะถึงจะกึ่งสำเร็จรูปต้องหาน้ำร้อนเติม แต่บิ๊กแพ็คนะครับ ยิ่งถ้าปล่อยให้อืดด้วย ได้ลูกเขยเต็มชามเลยครับ”
“นี่คุณ!”
ปุริมาตีแขนดังเพี้ยะ เขมรัฐสะดุ้ง ยิ้มเผล่ ถูกดึงไปกระซิบกระซาบ
“ถ้านั่งเฉย ๆ ไม่พูดก็ไม่มีใครว่านะ”
“ผมล้อเล่น อยากให้บรรยากาศคลายเครียด”
“แล้วมันได้ผลไหมล่ะ ไม่ต้องพูดหรอก เดี๋ยวฉันพูดเอง”
“ก็ตั้งแต่มา แม่คุณยังไม่ยิ้มให้ผมเลย”
ปุริมาหันไปมองแม่ตนเอง สีหน้าจริงจังระคนตำหนิที่คนอายุน้อยกว่าเสียมารยาทต่อหน้า และเพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน ถ้าลองเทียบความรู้สึกว่าผู้เป็นแม่ไม่ชอบว่าที่ลูกเขยตัวดำมาจากต่างจังหวัดจนแสดงออกชัด เขมรัฐเองก็คงปวดใจลึก ๆ ไม่ว่าจะเล่นมุกไปขนาดไหนสีหน้าอีกฝ่ายก็ไม่เปลี่ยน
“ขอถามอีกครั้งนะปูนิ่ม แน่ใจแล้วเหรอ”
ปุริมาสบตาผู้เป็นแม่ พยักหน้าหนักแน่น “แน่ใจค่ะ หนูคิดดีแล้ว คิดว่าพร้อมกับชีวิตครอบครัวแล้วค่ะ” เธอทำเสียงอ่อนหวาน “แม่มานะคะ”
ก่อนที่ภุมรีจะตอบ หัวใจเขมรัฐพองโต กับความมั่นใจที่หญิงสาวมีให้ตน แต่ประโยคต่อมาของแม่ของคนรักทำเอาเจื่อน
“ดูก่อนนะ ถ้าไม่ว่างก็ขอโทษด้วย”
แม้ว่าทุกอย่างจะดำเนินไปไกลเกินกว่าจะกลับคำพูดทัน แต่คเชนทร์ยังหวั่นใจกับอนาคตของลูกสาวอยู่ลึก ๆ ด้วยหัวอกคนเป็นพ่อ เขารู้จักครอบครัวนาวามาศ รู้ว่าเขมรัฐเป็นคนเก่ง เรื่องงานการไม่บกพร่อง มีลูกชายก็อบรมเลี้ยงดูได้ดี ไม่เล่นการพนัน ไม่พัวพันยาเสพติด คดีโรงเรียนที่จบลงได้ ก็เป็นความช่วยเหลือจากเขา
กระนั้นเรื่องสำคัญที่วางใจไม่ได้คือความเจ้าชู้ของชายหนุ่มนั่นเอง ความกังวลใจทำให้เขาขอคุยกับว่าที่ลูกเขยส่วนตัวหลังการประชุมผู้ปกครองในวาระเกี่ยวกับการระดมทุนก่อสร้างอาคารเรียนใหม่
“ขอโทษนะที่รบกวนเวลา พอดีอยากจะคุยเรื่องปูนิ่มนิดหน่อย”
เขมรัฐเข้าใจทันที ระยะห่างที่ใกล้แค่โต๊ะทำงานทำให้เห็นความกังวลในดวงตา นอกเหนือจากเรื่องงานก็เป็นเรื่องลูกสาวที่จะร่วมชีวิตกับเขา ความวิตกของคนเป็นพ่อ เขาก็รู้สึกได้
“ผอ.กลัวว่าผมจะทำให้ปูนิ่มเสียใจใช่ไหมครับ”
เป็นเพราะคนแสดงความต้องการจะคุยใช้ความคิดเรียบเรียงคำพูดอยู่ คนอายุน้อยกว่าจึงเป็นฝ่ายเริ่มต้นเสียเอง ซึ่งพอได้ยิน คเชนทร์ก็เปิดใจ
“ยอมรับตรง ๆ ว่าใช่ เข้จะทำให้ผมรู้สึกมั่นใจได้ยังไงว่า ลูกสาวของผมจะมีความสุขถ้าแต่งงานกับเข้”
“ด้วยเกียรติของผมครับ” ถ้อยคำนั้นหนักแน่นและทันควัน คเชนทร์นิ่ง “ผมรักปูนิ่ม ผมตั้งใจเอาไว้แล้ว ถ้าแต่งงานมีครอบครัว ผมจะเลิกเจ้าชู้ เลิกเที่ยวกลางคืนแบบที่ผ่านมา”
มีความพอใจบนสีหน้าคนฟัง “สัญญาได้ไหม”
“สัญญาครับ”
เพราะเชื่อมั่นในคำสัจจะที่ครอบครัวนี้มีเป็นคุณสมบัติดั้งเดิม เขารู้จักกับคุณหงส์มาหลายปี กับชายหนุ่มเองก็เห็นการเจริญเติบโตมาตลอด คุณค่าของพวกเขาคือการรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก คำไหนคำนั้น
คเชนทร์มีรอยยิ้ม “ขอบใจมาก”
หลังจากได้คำมั่นจากเกียรติของว่าที่ลูกเขย ทำให้คเชนทร์มั่นใจที่จะโทรหาอดีตภรรยาเมื่อเห็นอาการของปุริมาที่ยิ้มแข็ง ๆ ตอนบอกว่าแม่ไม่ได้พูดว่าจะมา เท่านั้นก็เดาได้ว่าภุมรีไม่พอใจเขมรัฐ หรือพูดให้ถูกก็คือไม่พอใจงานแต่งงานครั้งนี้นั่นเอง
“จะโทรมาต่อว่าแทนลูกหรือไง”
เขาชินแล้วกับน้ำเสียงยามที่ไม่ได้ออกงาน ถึงไม่แข็งกระด้างแต่ราบเรียบเหมือนไร้ความรู้สึก
“ไม่ได้จะต่อว่า แค่อยากจะขอให้มางานเท่านั้น วันนั้นเป็นวันสำคัญของปูนิ่ม อย่าทำให้เขาต้องไม่สบายใจเลยที่แม่ไม่เห็นด้วย ลูกจะมีความสุขนะ”
“ฉันไม่ได้จะขัดขวาง แต่เป็นห่วง ว่าที่ลูกเขยน่ะดูปราดเดียวก็รู้ กะล่อนแพรวพราวขนาดนั้น จะดูแลปูนิ่มดีแค่ไหน ไม่ใช่หม้อข้าวยังไม่ทันดำ ลูกสาวก็น้ำตาเช็ดหัวเข่า” ยิ่งพูดน้ำเสียงยิ่งมีอารมณ์ “อีกอย่างนะ ลูกสาวคนเดียวจะแต่งงาน ทำไมจัดแค่นั้น ทำงุบงิบอย่างกับมีชนักปักหลัง พิลึก”
คเชนทร์ถอนใจ “มันเป็นความคิดของปูนิ่มเอง คุณ...ลูกเราน่ะโตแล้วนะ เขาตัดสินใจแล้ว เราควรเคารพการตัดสินใจของเขาเถอะ ให้เขารู้ว่าเรารักถึงได้ให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ”
“แต่...”
“เข้น่ะไม่ใช่คนหยิบโหย่ง ที่ผมพูดก็ไม่ใช่ว่าจะเข้าข้าง ผมรู้จักครอบครัวเขามาหลายปี ถึงภายนอกเป็นแบบนั้น แต่เขาเป็นคนมีความรับผิดชอบ หนักแน่นแบบลูกผู้ชาย” อดีตสามีเว้นระยะ “เอาแบบนี้ดีกว่านะ ผมพูดไปคุณก็คงไม่เข้าใจเท่ามาเห็นเอง มารู้จักและรู้สึกเองดีกว่าว่าเขาเป็นยังไง จะได้รู้ว่าลูกเราน่ะเลือกผู้ชายไม่ผิด”
คเชนทร์บอกแค่นั้น เขาไม่เซ้าซี้หรือรบเร้าอะไรอีก ใช้น้ำเสียงแน่นหนักแทนเหตุผลของความเป็นผู้ใหญ่
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
17 พ.ค. 55 09:18:47
|
|
|
|