Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
โจอี้ ฟรอส กับการผจญภัยข้ามเวลา บทที่4 ติดต่อทีมงาน

บทที่ 4

มือของผู้มาใหม่กำรอบข้อมือของโจอี้ไว้แน่น  โจอี้มองใบหน้านั้นไม่วางตา  ดวงตายังเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงกับผู้มาเยือนใหม่ที่ไม่คาดคิด  ถึงรูปร่างหน้าตาจะเหมือนครูมิลเลอร์มาก  แต่ความคล่องแคล่วที่เห็นนั้นต่างกันลิบลับ
“ครูนึกแล้วว่าต้องเป็นเธอ”  เสียงแหบห้าวดังขึ้น  สายตามองมาที่โจอี้อย่างตำหนิ  เขาเคยเห็นโจอี้ที่นี่ครั้งหนึ่ง  แม้ทีแรกจะไม่แน่ใจแต่บทสนทนาที่เขาได้ยินโจอี้และแอนนาคุยกันในสวนของโรงเรียนทำให้มั่นใจมากขึ้น…เด็กคนนี้เข้าออกที่นี่ได้    
“ครูมิลเลอร์จริงๆหรือครับ”  ดวงตาของเด็กน้อยเบิกกว้างขึ้นอีก  ครูมิลเลอร์ชำเลืองมองที่ปลายนิ้วของโจอี้ก่อนจะปล่อยมือของเด็กชายออกไป  อาการที่นิ้วมือไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่  เขาเดินตรงเข้าไปสำรวจแผ่นหินตรงหน้าแทน  เวลาผ่านไปเล็กน้อยกว่าครูจะหันกลับมาสนใจโจอี้อีกครั้ง  โจอี้ยืนมองครูมิลเลอร์อยู่ห่างๆ  เขากลัวว่าเจ้าแผ่นหินนั้นจะช็อตเขาอีก
“เธอเกือบจะทำให้ศิลาแห่งกาลเวลาเสียหาย”  ครูมิลเลอร์กวักมือเรียกโจอี้เข้าไปใกล้  “มานี่สิ”  เด็กชายเดินเข้าไปอย่างหวาดๆ  เขาเห็นครูถือเลนส์ขยายอันเล็กส่องดูอะไรบางอย่างบนแผ่นหิน
“ศ..ศิลา..อะไรนะครับ”  โจอี้พยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่ครูพูด  เพราะครูมิลเลอร์คนใหม่นี้พูดเร็วกว่าในชั่วโมงเรียนเยอะเลย  ครูยังก้มหน้าก้มตาส่องเลนส์ขยายของครูต่อไป
“ดูนี่สิ  เธอเห็นรอยร้าวตรงนี้ไหม  ถ้ามีเศษของแผ่นศิลาหลุดออกมาละก็  เรื่องใหญ่เชียวล่ะ”  ครูชี้ให้ดูรอยแยกเล็กๆที่กรอบวงแหวนสีขาว  ขนาดของมันไม่ยาวนัก  ถ้ามองด้วยตาเปล่าอาจจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ  
โจอี้เอื้อมมือเข้าไปใกล้รอยร้าวแต่ก็ต้องสะดุ้งและหดมือกลับทันที  ครูมิลเลอร์ตีมือของเขาและส่งสายตาดุมาให้  เขาเพิ่งจะเตือนไปเมื่อกี้แท้ๆว่าห้ามจับ  เด็กคนนี้เคยฟังที่เขาพูดบ้างไหมนะ
“ขอโทษครับ”  โจอี้บอกเสียงอ่อยพร้อมลูบหลังมือไปมา  ครูมิลเลอร์หันมาทางโจอี้เต็มตัว  เขามองดูโจอี้ที่อยู่ในชุดนอนสีเขียว  ในมือข้างซ้ายกำพวงกุญแจสีเงินเอาไว้
“เธอเป็นคนเอากุญแจของคุณวู๊ดไปหรือ”  ครูมิลเลอร์ถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ  เพราะเหตุนี้ทำให้เขาต้อง ลำบากมาที่นี่
“วู๊ด?  ไม่ใช่นี่ครับ  นี่เป็นกุญแจของคุณ...คุณด..ด  ดวู๊”  โจอี้พยายามอ่านชื่อที่อยู่ด้านหลังของพวงกุญแจ  ครูมิลเลอร์ถอนหายใจดังก่อนจะหยิบของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อสูทออกมา  โจอี้เพิ่งสังเกตว่าครูมิลเลอร์ยังอยู่ในชุดสูทตัวเดิมของเมื่อเช้า  ครูหยิบแผ่นกระจกขนาดเท่าฝ่ามือวางลงเหนือตัวอักษรบนพวงกุญแจ  ชื่อ วู๊ด ปรากฏขึ้นแทนที่
“นี่คือกระจกเงาที่ใช้อ่านหนังสือสำหรับพนักงานฝึกหัด”  ครูมิลเลอร์ยื่นกระจกให้โจอี้  เขารับไปส่องตัวอักษรดูอีกครั้ง  โจอี้เข้าใจแล้ว  ตัวหนังสือทั้งหมดที่ผ่านมา  เขาแค่ต้องอ่านมันย้อนกลับเท่านั้นเอง
“เธอทำให้คุณวู๊ดเกือบจะสติแตกเชียวนะ”  ครูมิลเลอร์หยิบพวงกุญแจจากมือของโจอี้มาเก็บไว้  “เมื่อคืนเขาโทรหาฉันและฝากฉันช่วยจัดการให้  เขาไม่มีเวลามากนักหรอก”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะหยิบมันมา  ผมอยากจะไปขอโทษเขาครับ”  โจอี้รู้สึกผิดที่หยิบของๆคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
“เธอคงต้องรออีกหลายวัน”  โจอี้เงยหน้าขึ้นมองครูมิลเลอร์  “คุณวู๊ดไปจีนตั้งแต่เช้า  เธอบอกครูได้หรือยังว่าเธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไง”  เขายังสงสัยอยู่  ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ดีเยี่ยม  หน่วยระวังภัยไม่ยอมแน่ถ้ารู้ว่ามีคนแอบเข้ามา
“ผมไม่รู้เหมือนกันครับ”  โจอี้ส่ายหน้า  “ผมยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน”  โจอี้หันมองซ้ายขวาเลิ่กลั่ก  เขาไม่เห็นมีป้ายเขียนไว้ตรงไหน  คิ้วของครูเริ่มขมวดเข้าหากัน  เขาแอบสังเกตเด็กชายเงียบๆ  
“ตกลง..ผมไม่ได้ฝันไปหรือครับ”  โจอี้อยากให้ครูมิลเลอร์บอกว่าเขากำลังฝันมากกว่า  
“เธอคิดว่านี่เป็นความฝันหรือ  ก่อนเธอจะมาที่นี่เธอหลับอยู่หรือไง”  เสียงห้วนถามขึ้นเหมือนไม่ต้องการคำตอบ  ครูมิลเลอร์กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก  “ที่นี่คือสำนักงานท่องเวลา...เธอได้ยินไม่ผิดหรอก  แล้วนี่ก็ไม่ใช่ความฝันด้วย”  ครูมิลเลอร์อธิบายต่อเมื่อเห็นใบหน้ามึนงงของโจอี้
“สำนักงานท่องเวลา?  มีไว้ทำอะไรหรือครับ”  โจอี้ไม่เคยได้ยินว่ามีสำนักงานแบบนี้ด้วย  มันเหมือนสำนักงานท่องเที่ยวหรือเปล่า
“เป็นสำนักงานที่จะพานักเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงเวลาแห่งอดีต”  ครูพยายามหาคำอธิบายที่เข้าใจง่าย   โจอี้รับฟังพร้อมตาเป็นประกาย  ครูมิลเลอร์มองดูโจอี้แล้วส่ายหน้าน้อยๆ…เจ้าเด็กคนนี้ต้องคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนุกแน่  อยู่ในห้องเรียนก็เอาแต่นั่งเหม่อแท้ๆ  แต่ทำไมถึงช่างอยากรู้อยากเห็นอย่างนี้
“อดีต?  ไปที่ไหนก็ได้หรือครับ”  โจอี้เริ่มทึ่งกับสำนักงานแปลกๆนี้  เขาอยากจะลองย้อนอดีตดูบ้าง  โลกไดโนเสาร์ก็น่าสนใจ…ไดโนเสาร์เป็นๆเชียวนะ
“ไปที่ไหนก็ได้ที่สำนักงานของเราเห็นว่าปลอดภัย  แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาใกล้ๆนี้จะไม่ได้รับอนุญาต”  ครูเก็บเลนส์ขยายลงในกระเป๋าเสื้อและยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นโจอี้อ้าปากจะถามอีก
“เรามีเวลาคุยกันไม่มากนัก  เธอมาที่นี่หลายครั้งแล้วใช่ไหม”  ครูมิลเลอร์ถาม  โจอี้พยักหน้ารับ
“เธอมีนาฬิกาพกหรือเปล่า”  ครูมิลเลอร์ถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจ  แม้เขาจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม  แต่ในเวลากลางคืนไม่มีใครที่จะเข้าออกที่นี่ได้โดยไม่ใช้นาฬิกา  
“ไม่มีครับ”  โจอี้ตอบ  ถึงบ้านของเขาจะมีนาฬิกามากมาย  แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีก็คือนาฬิกาพก  ครูมิลเลอร์ดูจะโล่งอกเล็กน้อย
“เรากลับกันได้แล้ว  พรุ่งนี้เธอมีเรียนแต่เช้า”  ครูมิลเลอร์พาโจอี้ลงลิฟต์มาด้านล่าง  ทั้งคู่เดินมาที่หน้าประตูทางออก  “เราต้องแยกกันตรงนี้”    
เขาเห็นครูหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาถือไว้  “พบกันพรุ่งนี้ครับ  ครูมิลเลอร์”  โจอี้โบกมือให้ก่อนทุกอย่างจะพร่าเลือน

“แควก  แควกกก”  โจอี้สะดุ้งตื่นเพราะเสียงของนาฬิกาปลุกอีกครั้ง  นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า  เขาลุกขึ้นค้นหาอะไรบางอย่างบนเตียง
“ไม่มีแล้ว!”  โจอี้ถอนหายใจอย่างโล่งอก  พวงกุญแจสีเงินไม่ได้อยู่ที่เขาแล้ว  แต่ขณะที่เขาเหยียบลงบนพื้น  เขาพบของชิ้นใหม่วางอยู่ข้างเตียง…กระจกเงาของครูมิลเลอร์!

หลังจากเห็นโจอี้หายไปมิลเลอร์ยกนาฬิกาพกสีทองในมือขึ้นมา  ก่อนที่นิ้วโป้งของเขาจะสัมผัสถูกปุ่มบนนาฬิกา  มีเสียงคลิกหลายครั้งดังขึ้นทั่วห้อง  ผู้มาใหม่ในชุดสูทสีดำหกคนปรากฏตัวขึ้น  ในมือของพวกเขาถือนาฬิกาพกสีดำคนละหนึ่งเรือน
“มิลเลอร์?  มาทำอะไรนอกเวลางานล่ะ”  เสียงแหลมเล็กชวนบาดแก้วหูดังขึ้นอย่างประหลาดใจ  ชายวัยกลางคนตัวเล็ก  รูปร่างผอมจนเหมือนหนังหุ้มกระดูกเดินเข้ามาใกล้
“ผมมาเก็บกุญแจคืนให้วู๊ดน่ะ  ฮัมเบิร์ก”  มิลเลอร์ตอบโดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน  โชคดีจริงๆที่โจอี้ไปก่อนที่หน่วยสืบสวนจะมาถึง
“วู๊ดหรือ  หมอนั่นอีกแล้ว  เขาไปจีนแล้วไม่ใช่หรือ”  เสียงของฮัมเบิร์กฉุนเฉียวขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อวู๊ด  เมื่อคืนก่อนก็เพิ่งจะไปปลุกเขากลางดึกเพื่อมาเอานาฬิกาพกที่ลืมไว้   หมอนั่นดันลืมกุญแจทิ้งเอาไว้อีก  ช่างน่าโมโหเสียจริงๆ
“ใช่  เขาจะแวะมาเอากุญแจที่ผมวันพรุ่งนี้”  มิลเลอร์ไม่สนใจอารมณ์ฉุนเฉียวของฮัมเบิร์ก  เขาเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  
“เลิกพูดเรื่องวู๊ดได้แล้วฮัมมี่  เข้าเรื่องเสียที”  ชายตัวสูงใหญ่ที่ยืนเยื้องอยู่ข้างหลังพูดออกมา
“ฉันบอกแล้วว่าเลิกเรียกฉันอย่างนั้นซะที  สแตนด์”  ฮัมเบิร์กหัวเสียมากขึ้น   เขาพยายามควบคุมอาการเกร็งของกล้ามเนื้อบนใบหน้าและอาการกระตุกที่มุมปากอย่างเต็มที่  ฮัมเบิร์กเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูง  เขาอยู่หน่วยสืบสวนและคอยควบคุมดูแลความเป็นระเบียบของสำนักงาน  เขาเป็นคนเจ้าระเบียบและอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย  ทุกคนมักจะบอกว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้บนศีรษะของเขาไม่มีผมเหลืออยู่เลยสักเส้น
“มีสัญญาณเตือนแจ้งความเสียหายของแผ่นศิลา  พวกเราถึงต้องมาที่นี่  คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่ามิลเลอร์”  ฮัมเบิร์กหรี่ตามองมิลเลอร์ด้วยความสงสัย
“ไม่”  มิลเลอร์ยักไหล่แล้วทำหน้าเรียบเฉยอย่างเคย  ท่าทางนั้นทำให้ใบหน้าของฮัมเบิร์กเริ่มแดงขึ้น  เขาหมั่นไส้ท่าทางเฉยเมยของมิลเลอร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“เรากำลังจะไปที่ชั้นเก็บศิลา  คุณต้องไปกับเราด้วย”  ชายที่ชื่อสแตนด์ขัดขึ้นก่อนที่ฮัมเบิร์กจะระเบิดอารมณ์ออกไป  ถ้าได้อารมณ์เสียแล้วละก็  ทุกคนจะพลอยโดนไปด้วย  ฮัมเบิร์กหันหลังเดินตรงไปที่ลิฟต์ทันที  มิลเลอร์และคนที่เหลือเดินตามไปห่างๆ

ลิฟต์เปิดออกที่ชั้นเก็บศิลา  แสงสีส้มคล้ายประกายไฟปรากฏอยู่ที่ขอบด้านหนึ่งของแผ่นศิลา  ภาพนั้น สร้างความประหลาดใจให้กับมิลเลอร์เป็นอย่างมาก  ก่อนออกจากห้องนี้เขาสังเกตเห็นรอยร้าวแค่เพียงเล็กน้อยมันน้อยมากจนต้องใช้เลนส์ขยายส่อง  รอยเพียงแค่นี้ศิลาสามารถซ่อมแซมตัวเองได้  ไม่มีทางที่รอยแยกของเวลาจะกว้างขึ้นอย่างเด็ดขาด  
ทั้งหมดเดินเข้าไปใกล้  ตาของมิลเลอร์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว  นี่ไม่ใช่แค่รอยร้าว  แต่มีบางส่วนของศิลาหลุดหายไป  เป็นรอยบิ่นเล็กๆที่กรอบวงแหวนสีขาว  รอยนี้มีมากกว่าที่เขาเห็นครั้งแรกเสียอีก  ฮัมเบิร์กและสแตนด์ก้มลงดูใกล้ๆ  คิ้วของทั้งสองคนขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็น  ฮัมเบิร์กเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดตามองรอบห้องอย่างรวดเร็วก่อนจะมาหยุดนิ่งที่มิลเลอร์
“คุณมีอะไรจะอธิบายไหม”  ฮัมเบิร์กถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็นราวกับน้ำแข็ง  แววตาเป็นประกายราว กับยินดีในชัยชนะที่เขาสามารถจับคนทำผิดได้

ที่โรงเรียน  โจอี้วิ่งขึ้นตึกเรียนและมุ่งหน้าไปยังชั้นสามแต่เช้า  เขาเดินเร็วๆไปที่ห้องด้านในสุดและเคาะประตูสองสามครั้ง  ไม่มีเสียงตอบกลับมา  โจอี้คิดว่าคงเช้าเกินไป  เขาตัดสินใจเดินกลับห้องเรียนก่อน  เมื่อถึงเวลาพักกลางวันเขากลับมาที่ห้องพักครูอีกครั้ง  โจอี้เดินไปเคาะประตูดังๆแต่ไม่มีเสียงตอบ
“มีธุระกับครูมิลเลอร์หรือจ๊ะ  ฟรอส”  ครูโรเวนเปิดประตูห้องที่อยู่ติดกันออกมา  ผมยาวถูกเกล้ามวยจนเรียบ  เธอดันแว่นตาอันใหญ่ที่คอยตกลงมาอยู่เรื่อยๆ  เธอชอบทำตัวเหมือนคนอายุมากทั้งที่อายุของเธอเพียงแค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้น
“ครับ  คือว่า..ผมมีเรื่องจะปรึกษาครูมิลเลอร์ครับ”  โจอี้พยายามคิดเหตุผลที่ดูเข้าท่า  อันที่จริงแล้วเขาไม่เคยเดินขึ้นมาปรึกษาปัญหากับครูคนไหนมาก่อน  ครูโรเวนมีสีหน้าประหลาดใจแกมยินดีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ครูมิลเลอร์โทรมาลาป่วยเมื่อเช้านี้  เธอคุยกับครูแทนได้”  สีหน้าของครูโรเวนดูกระตือรือร้น  เธอรีบเสนอทางเลือกให้  นานแล้วที่ไม่มีนักเรียนคนไหนขึ้นมาคุยกับเธอ  
“โอ...ไม่ดีกว่าครับ”  คำตอบของโจอี้ทำให้ครูโรเวนขมวดคิ้ว  “เอ้อ..ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ  คือ..ผ..ผมจะปรึกษาเรื่องรายงานของครูมิลเลอร์น่ะครับ”  โจอี้ตอบอย่างลนลาน  เขาไม่อยากให้ครูโรเวนเข้าใจผิดว่าเขาไม่อยากคุยด้วย  (อันที่จริงก็เข้าใจถูกแล้ว)  คิ้วของครูโรเวนคลายลง
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องรอพรุ่งนี้”  ครูโรเวนแนะนำ  โจอี้พยักหน้ารับแล้วเดินคอตกกลับไป  เขากลับไปเล่าเรื่องของครูมิลเลอร์ให้แอนนาฟังในสวนของโรงเรียน  เธอนั่งฟังอย่างตั้งใจ
“มีอีกหลายอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ  ฉันอยากคุยกับครูอีก”  โจอี้แหงนมองท้องฟ้า  อากาศดีจนอยากจะหลับ  เขาไม่กลัวความฝันนั้นอีกแล้ว
“เธอแน่ใจหรือว่าเป็นเรื่องจริง”  แอนนามองเพื่อนอย่างเป็นห่วง  พักนี้โจอี้ชักจะเพ้อมากไปแล้ว
“หลังเลิกเรียนเราลองแวะไปที่นั่นกันไหม  ฉันเคยเจอครูมิลเลอร์ที่นั่น”  โจอี้พูดอย่างมีความหวัง  “แล้วถ้าฉันเจอคุณวู๊ด  ฉันจะได้ขอโทษเขา”  สีหน้าของโจอี้ดูจริงจังจนแอนนาต้องยอมตกลง

หลังเลิกเรียนเป็นเวลาบ่ายสามโมง  เด็กทั้งสองรีบวิ่งไปยังตึกสูงที่ตั้งอยู่ริมถนน  โจอี้แหงนมองป้ายบนตึกตรงหน้า  เขาหยิบกระจกเงาแผ่นเล็กที่เก็บได้เมื่อเช้าออกมาถือไว้  เมื่อคืนนี้เขาคงลืมคืนมันให้ครูมิลเลอร์  
“TIME TRAVEL  ใช่จริงๆด้วย”  วันนี้สำนักงานยังเปิดอยู่  “ที่นี่ล่ะ  เธอลองดูนี่สิ”  โจอี้ชี้ไปที่กระจก  แอนนามองตาม  เธอมองสลับกันไปมาระหว่างกระจกและป้ายชื่อบนตึก
“เป็นไปได้ยังไง”  สีหน้าของแอนนาสงสัยเต็มเปี่ยม  เธอหยิบกระจกมาพลิกซ้ายพลิกขวาดูอย่างละเอียด
“เข้าไปก่อนเถอะ”  โจอี้ผลักประตูเข้าไป  เขาและแอนนายืนชะงักอยู่ที่ประตู  ผู้คนจำนวนมากเดินสวนกันไปมาในห้องโถงกว้าง  คนกลุ่มหนึ่งสวมชุดสูทสีเทาเดินไปมาอย่างรีบร้อน  คนอีกกลุ่มหนึ่งสวมชุดประหลาดตากว่า  ทุกคนกำลังโวยวายใส่คนที่สวมชุดสูทสีเทา  โต๊ะตัวใหญ่ที่โค้งเป็นรูปครึ่งวงกลมมีเจ้าหน้าที่สาวนั่งอยู่สามคน  ทุกคนกำลังรับโทรศัพท์มือเป็นระวิง  
“ขอโทษค่ะ  ขอเลื่อนออกไปก่อนนะคะ”  เสียงพูดดังมาจากโต๊ะใหญ่ตัวนั้น  โจอี้เลื่อนกระจกเงาไปที่หน้าโต๊ะ  เขาอ่านแล้วยิ้มออกมา โต๊ะ ‘ประชาสัมพันธ์’ นี่เอง  เจ้าหน้าที่สาวที่โต๊ะมีสีหน้ายุ่งยากขณะที่กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์  โจอี้ได้ยินแต่คำพูดขอโทษตลอดเวลาและเสียงโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ดังลอดมาจากปลายสาย
“ที่นี่ดูวุ่นวายกว่าที่ฉันเคยมาเสียอีก”  โจอี้บอกกับแอนนา  เธอเริ่มจะเชื่อโจอี้ขึ้นมาบ้างแล้ว  โจอี้เดินเข้าไปติดต่อที่โต๊ะประชาสัมพันธ์
“เอ่อ..ขอโทษครับ”  เจ้าหน้าที่สาวยุ่งกับการรับโทรศัพท์จนไม่มีใครสังเกตเห็นโจอี้  “ขอโทษครับ   อยู่นี่ครับ”  โจอี้โบกมือไปมาอยู่หน้าโต๊ะ  ความสูงของเขายังไม่เลยโต๊ะด้วยซ้ำ  เจ้าหน้าที่คนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้ว ชะโงกตัวลงมา
“ฉันชื่อเบ็ตตี้  มีอะไรให้ช่วยจ๊ะหนุ่มน้อย”  เจ้าหน้าที่สาวในชุดสูทสีเทายิ้มหวานให้โจอี้และแอนนา  มือข้างหนึ่งยังยกหูโทรศัพท์ค้างอยู่  
“ผมมาหาครู...เอ่อ  คุณมิลเลอร์ครับ”  โจอี้ลองบอกชื่อของครูมิลเลอร์  แต่เธออาจจะไม่รู้จักก็ได้  เพราะจากที่เห็นพนักงานที่นี่มีจำนวนเยอะมาก  แต่ผิดคาดเธอพยักหน้ารับทันทีที่ได้ยิน
“รอเดี๋ยวนะ”  เบ็ตตี้กดเบอร์ภายในของสำนักงาน  สักครู่เธอจึงชะโงกตัวลงมาหาโจอี้อีกครั้ง  “เสียใจด้วยนะหนุ่มน้อย  วันนี้คุณมิลเลอร์ยังไม่ได้เข้ามาเลยจ้ะ”  เบ็ตตี้บอกด้วยรอยยิ้มแล้วนั่งลงทำงานต่อ  
โจอี้มีท่าทางผิดหวัง  เขายืนคอตกและชวนแอนนากลับบ้าน  ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะก้าวขาออกจากประตู  เสียงของเบ็ตตี้ก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน”  เบ็ตตี้วิ่งมาหาอย่างรีบร้อน  “คุณมิลเลอร์อยู่จ้ะ”  เสียงของเธอกระหืดกระหอบเล็กน้อย  แอนนาและโจอี้มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ  “ตามฉันมาเลย”  เบ็ตตี้เดินนำทั้งสองคนตรงไปยังลิฟต์
“เมื่อกี้เขาบอกเราว่าไม่อยู่  ทำไมตอนนี้ถึงบอกว่าอยู่ล่ะ”  แอนนากระซิบกับโจอี้  เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย  
“กดชั้นเก้านะหนุ่มน้อย  จะมีคนรอเธออยู่หน้าลิฟต์จ้ะ”  เบ็ตตี้บอกแล้วยืนคอยลิฟต์เป็นเพื่อนเด็กๆ  โจอี้แอบยกกระจกเงาขึ้นส่องป้ายยาวเหยียดที่เขียนอยู่ข้างลิฟต์  เขามองหาหมายเลขเก้า  โจอี้สะดุ้งกับชื่อหน่วยงานของชั้นที่เก้า  เขารีบเก็บกระจกใส่กระเป๋าก่อนที่ลิฟต์จะเปิดออก  เจ้าหน้าที่สาวส่งเด็กทั้งสองคนเข้าไปพร้อมโบกมือให้  เมื่อประตูลิฟต์ปิดลงโจอี้ลังเลที่จะกดปุ่มหมายเลขเก้า  เขาตัดสินใจถ่วงเวลาด้วยการกดทุกหมายเลข    ยก เว้นหมายเลขเก้า            
“เธอทำอะไรน่ะ  เขาบอกให้เราไปชั้นเก้าไม่ใช่หรือ”  แอนนาท้วงขึ้น  นับวันเพื่อนรักของเธอชักจะเพี้ยนขึ้นทุกที  เธอเอื้อมมือจะไปกดที่ชั้นเก้า
“อย่านะ! เมื่อกี้ฉันอ่านแล้ว  เราไปที่นั่นไม่ได้  ชั้นเก้าเป็นหน่วยสืบสวนและเขตกักบริเวณ”  พูดได้แค่นั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นสอง  โจอี้หยุดการสนทนาไว้ก่อน  ไม่มีคนเข้าออกที่ชั้นนี้  ประตูลิฟต์ปิดลงอีกครั้ง
“เขาให้เราไปที่นั่นทำไม”  แอนนาถามด้วยความตกใจ  ชื่อหน่วยงานไม่น่าเข้าไปสักนิด  มันให้ความรู้สึกว่าถ้าเข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมาง่ายๆ
“เราต้องลงก่อนถึงชั้นเก้า”  โจอี้เริ่มกระวนกระวาย  เขามองตัวเลขที่วิ่งเร็วอย่างกับจรวด  อีกไม่นานลิฟต์คงวิ่งถึงชั้นแปดซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายที่เขากด
“ลงชั้นนี้เถอะ”  โจอี้คว้าแขนแอนนาให้ออกมาด้วยกัน  ประตูลิฟต์ปิดตามหลังทันที

จากคุณ : ojaru
เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 14:00:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com