Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ห้องหนังสือ ติดต่อทีมงาน

ห้องหนังสือ กรุณางดใช้เสียง

มานี หรือที่เธอขอบให้เพื่อนๆ เรียกว่า เมนี่ เพราะฟังดูทันสมัยมากกว่า แต่กลับไม่ยอมเปลี่ยนชื่อตัวเองใหม่ ให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย กำลังนั่งมองดูขวดยา กับแก้วน้ำ ที่กลิ้งตกอยู่บนพื้น ยังคงมียาเม็ดกลมสีขาวหลงเหลืออยู่อีกสอง สามเม็ด ส่วนที่เหลือนั้นได้ถูกเธอกล้ำกลืนลงคอไปอย่างยากลำบาก และน้ำแก้วนั้นก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก

รสขมแปลกปร่ายังคงกระจายอยู่ทั่วปาก เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบตับปูดโปนราวกับมันจะแตกประทุออกมา ความปวดหัวที่เคยมี พร้อมกับอาการไม่สบายตัว ทวีความเข้มข้นมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ เจือจางลงเพราะความรู้สึกสำนึกถึงตัวตนที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่าน

‘ฉันกำลังจะตาย’

นั่นไม่น่าแปลกใจ เพราะเธอตั้งใจฆ่าตัวตายด้วยตนเอง แต่ตอนนี้เธอเริ่มไม่มั่นใจ เธอทำถูกหรือไม่ เธอทิ้งร่างลงบนเตียงนอนในห้องมืดๆ ผ้าม่านทั้งหมดปิดสนิท มีเพียงตัวเธอ เดียวดายอยู่ท่ามกลางเมืองแปลกหน้า หนังตาหนักอึ้ง ม่านปิดลง เธอไม่อาจคิดอะไรได้อีก สติดับวูบ ลมหายใจผ่อนช้า ก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุด

'จบบริบูรณ์'

ฉันเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่าน รู้สึกอึดอัดเพราะดูเหมือนว่าจะเผลอกลั้นหายใจไปพร้อมกับ มานี ตัวละครในนิยายที่กำลังอ่านอยู่ ฉันรีบขับไล่ความรู้สึกอึดอัดนั้น แต่ดูเหมือนมันจะไม่ยอมจากไปโดยง่าย ฉันรู้สึกไม่สบายตัว ปวดหัว และที่สำคัญ รสของยาที่ว่าดูเหมือนจะยังคงติดอยู่ภายในปาก ‘มันจะอินไปหน่อยแล้ว’

ฉันมองดูหนังสือที่พึ่งอ่านจบ มันไม่ค่อยสนุกนัก ชีวิตนางเอกเหมือนจริงเกินไป รันทดเกินไป และจบลงห้วนๆ ด้วยการฆ่าตัวตาย ฉันทนอ่านมันมาจนจบได้อย่างไรกันนะ

ฉันปิดหนังสือ แล้วทันใดนั้น ปัญหาต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามา ฉันมองไปรอบตัว โต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ฉันนั่ง ยังมีคนอ่านหนังสืออยู่อีกจำนวนหนึ่ง ทั้งชาย หญิง เด็ก คนแก่ และมันยังมีโต๊ะตัวอื่น โต๊ะถัดไป โต๊ะต่อไป

มีโต๊ะและผู้คนที่กำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ทั่วทุกทิศ

ที่นี่คือที่ไหน ทำไมถึงมีผู้คนมากมาย มันมากมายจริงๆ ฉันไม่คิดว่าเคยเห็นผู้คนจำนวนมากขนาดนี้พร้อมๆ กันมาก่อน แม้แต่ในงานคอนเสิร์ตครั้งใหญ่

‘…ที่เมนี่เคยไปดูกับ ปิติ แฟนคนหนึ่งของเธอ’

เดี๋ยวสิ นั่นเป็นเรื่องในนิยาย มันไม่ใช่ตัวฉัน ปัญหาใหม่ผุดขึ้นมา ‘ฉันจำได้แต่นิยายที่พึ่งอ่านจบเท่านั้น’ ฉันเป็นใคร ที่นี่คือที่ไหน อะไรเป็นอะไร มันมีแต่ความสับสน ฉันปวดหัว ปากฉันแห้งผาก ร่างกายไม่สบาย ฉันเริ่มกรีดร้อง

เสียงโหยหวนทำลายความเงียบ แต่ดูสิ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแม้แต่จะขยับตัว พวกเขายังคงนั่งอ่านหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้ากันอย่างเรียบร้อย ‘นี่มันบ้าเกินไปแล้ว’

ฉันหันไปเขย่าตัวผู้ชายที่นั่งข้างๆ พร้อมกับส่งเสียงเรียก แต่เขาไม่สนใจ เขานั่งนิ่ง มองแต่หน้าหนังสือที่วางเปิดตรงหน้า ฉันหันไปหาผู้หญิงสูงอายุอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แตกต่างกัน ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมด ทุกคนเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หรือฉันหลงเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลบ้าขนาดยักษ์ แล้วฉันเป็นใคร

“ชู่...ห้องหนังสือ งดใช้เสียงนะครับ”

ในที่สุดก็มีใครคนหนึ่งโผล่ออกมา ฉันหันกลับไปและได้เห็น เขา ชายในชุดกางเกงยีนส์สีซีด เสื้อยืดสีขาว แว่นตากรอบโลหะสีเงิน ผมดำยาวผูกมัดเรียบร้อยไว้ทางด้านหลัง ที่คอของเขามีบัตรพนักงานอะไรสักอย่างห้อยอยู่ด้วยสายสีแดงสด แต่บนบัตรเป็นสีขาวดำ

มันมีรูปของเขา ที่ชวนให้นึกถึงภาพที่ใช้ตั้งในงานอวมงคลอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนที่เหลือน่าจะเป็นชื่อ และตำแหน่งงาน รวมถึงสังกัด แต่ฉันอ่านพวกมันไม่ออก มันเป็นตัวอักษรที่ฉันไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นภาษาอะไร
แต่สิ่งที่สำคัญคือ เขาสามารถขยับเคลื่อนไหว และพูดคุยกับฉันได้ แค่นั้นก็ทำให้รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ

“ฉัน...”

“ครับ ผมรู้ว่าคุณผู้หญิงมีคำถาม หนังสือของคุณพึ่งจบลง และคุณมีคำถามมากมาย แต่คุณผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องกรีดร้องแบบนั้น มันรบกวนการอ่านของคนอื่นนะครับ”

เขาพูดเบาๆ

“ฉันว่า...”

เขาจ้อง เสียงของฉันคงยังดังเกินไป ฉันลดเสียงลง

“...คงไม่รบกวนใครหรอก ไม่เห็นมีใครสนใจฉันเลย”

“รบกวนสิครับ”

เขาชี้ให้ฉันดูบนหน้าหนังสือของผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันต้องขยี้ตา เพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่เห็นอีกครั้ง หน้าหนังสือที่ว่างเปล่าค่อยๆ มีตัวอักษรปรากฏออกมาเรื่อยๆ มันเหมือนนิยายที่กำลังเขียนตัวเองออกมาบนหน้ากระดาษ

“...มันกำลังเขียนตัวเอง”

เขาพยักหน้า ไม่แสดงความแปลกใจแม้แต่น้อย

“ลองอ่านดูสิครับ ปกติก็ไม่ควรทำแบบนี้...แต่นิดหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกครับ”

ฉันลองอ่านย่อหน้าสุดท้ายตามที่เขาบอก

‘ผมนอนกระสับกระส่าย ในหูแว่วได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องดังก้อง ผมรู้สึกราวกับกำลังถูกเขย่าตัวอย่างแรง ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ไม่แน่ใจว่าตัวเองตื่นแล้ว หรือกำลังฝันไปกันแน่ บางที นี่อาจจะเป็นอาการผีอำอย่างที่เคยได้ยินมาก็ได้’

“นั่นเป็นเสียงของคุณ กับการที่คุณไปเขย่าตัวเขา มันกระทบถึงเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นด้วย...แต่ โทษคุณทั้งหมดก็คงไม่ได้ ส่วนใหญ่เวลาเจอตอนจบแบบนี้ก็เป็นเหมือนๆ กันเกือบทุกคนนั่นแหละ”

ฉันพยายามคิดตามสิ่งที่เขาพูด แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี เมนี่ เป็นคนหัวช้า ปิติ บอกกับเธออย่างนั้น แม้แต่ตอนบอกเลิก เขายังต้องอธิบายให้เธอฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ‘ทำไมฉันต้องคิดว่าตัวเองเป็นมานีด้วย’

เขามองหน้าฉัน บนนั้นคงมีคำว่า ‘ไม่รู้เรื่อง งงอ่ะ’ เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน เขาถอนหายใจ ส่ายหน้า ยกมือขึ้นลูบคางอย่างลืมตัว

“ขอเวลาผมสักครู่ แล้วผมจะอธิบายทั้งหมดนี้ให้คุณฟัง รวมถึงทางเลือกที่คุณมีด้วย ตอนนี้โปรดตามผมมาทางด้านนี้ก่อน”

ฉันกำลังจะเดินตามเขาไป ก่อนที่เขาจะหันกลับมาอย่างนึกได้

“อ้อ หยิบหนังสือของคุณมาด้วย เราจะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาอีก”

ฉันหยิบหนังสือของฉัน ‘ทำไมต้องเป็นหนังสือของฉันด้วย’ ขึ้นมาโดยดี มันเล่มบาง ไม่มีชื่อเรื่อง ไม่มีชื่อคนแต่ง ผู้พิมพ์ หรืออะไรที่หนังสือทั่วไปควรมี มีแต่เนื้อหาอย่างเดียวเท่านั้น ‘มันหนัก’ สำหรับหนังสือเล่มเล็กๆ และฉันเกิดน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจอธิบายได้

เขาไม่สนใจ ค่อยๆ เดินนำฉันไปตามช่องว่างระหว่างโต๊ะ เหลือบมองเครื่องหมายบางอย่างที่สลักเอาไว้บนผิวไม้ ดูเหมือนจะเป็นระบบบางอย่าง พิกัดบางชนิด เพื่อใช้บอกตำแหน่ง แต่ฉันแค่มองแถวของโต๊ะที่ไม่รู้จบเหล่านั้นก็เวียนหัวจะแย่แล้ว

“เอาล่ะตรงนี้”

เขาหยุดยืนที่ด้านข้างชายสูงอายุคนหนึ่ง เขาดูแก่มาก และไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไร แต่ก็ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่เหมือนกับคนอื่นๆ ฉันแอบมองข้อความที่ปรากฏบนหน้ากระดาษสุดท้ายนั้น มันค่อยๆ เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ราวกับลมหายใจที่กำลังรวยรินใกล้สิ้นแรง

“คุณไม่ควรทำอย่างนั้น”

เขาเตือน แต่ท่าทางไม่ค่อยจริงจังนัก

‘ผมนอนดูลมหายใจของตัวเอง ที่เริ่มทอดยาว มีลูกสาวสุดที่รักนั่งบีบมืออยู่ที่ข้างเตียง กับคนในครอบครัวที่ผมรัก และรักผม เสียงพระสวดเบาๆ ดังมาให้ได้ยิน ผมไม่มีอะไรต้องห่วงอีกต่อไปแล้ว เมื่อได้เวลา สติของผมก็ดับลง’

ชายแก่ปิดหนังสือของเขา ในดวงตาชื้นด้วยน้ำตา แต่เขาไม่ได้สะอึกสะอื้นเสียใจ มันเป็นเพียงความเศร้า มาแล้วก็จากไป เขามองรอบตัว กระพริบตา มีท่าทางแปลกใจเล็กน้อย

“ไม่เหมือนอย่างที่คิดใช่ไหมครับ”

เขาหันมามองชายหนุ่มผู้ถามคำถามนั้น ยิ้มให้ และพยักหน้า ก่อนมองมาทางฉัน เขามีท่าทางไม่แน่ใจ ก่อนยิ้มให้ ฉันยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

“ใช่...ไม่เหมือนอย่างที่ผมคิด แต่ก็ไม่ผิดกันนัก และที่จริงมันก็ไม่แตกต่างอะไร...มันไม่สำคัญ”

ชายหนุ่มพยักหน้า

“ต้องการเริ่มอ่านเรื่องต่อไปเลยไหมครับ”

ชายแก่มองดูหนังสือเล่มหนาที่อยู่ตรงหน้า วางมือลงบนหน้าปกแล้วหลับตา บนใบหน้ามีความรู้สึกที่หลากหลายปะปนกัน

“...นั่นสินะ ฉันคงยังไม่อาจหยุดอ่านได้ จริงไหม”

เขาหันมาทางฉัน ซึ่งได้แต่ยิ้มอย่างไม่เข้าใจ เขาหันกลับไปหาชายหนุ่มอีกครั้ง

“ฉันขอพักสักครู่ได้ไหม”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบหนังสือที่เขาพึ่งอ่านจบขึ้นมา มันหนากว่าเล่มของฉันหลายเท่า อาจจะถึงสิบเท่าเลยทีเดียว ฉันสงสัย มันจะเป็นนิยายที่บอกเล่าถึงเรื่องราวอะไรกันแน่นะ

เขาเอื้อมมือติดตามมา คล้ายยังไม่อาจตัดใจ ก่อนหัวเราะเบาๆ แล้ววางมือลงพร้อมถอนหายใจ ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนวางเล่มใหม่ที่เป็นเพียงหนังสือบางๆ เอาไว้ตรงหน้า

“ตามสบายเลยครับ เวลาเป็นสิ่งที่ห้องหนังสือมีอยู่มากมาย มากมายจริงๆ ครับ”

ทั้งคู่พยักหน้าให้กัน ก่อนที่ชายหนุ่มจะหันกลับมาที่ฉัน

“ผมเสร็จธุระแล้ว ตอนนี้มีเวลาว่างสักพัก ไปนั่งคุยกันในห้องทำงานของผมก่อนก็แล้วกัน”

เขาถามโดยไม่ให้โอกาสฉันได้ตอบ หันกลับไปแล้วเปิดประตูไม้บานใหญ่ที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มันตั้งอยู่ในช่องว่างระหว่างโต๊ะอ่านหนังสือ และมันไม่น่าจะนำไปถึงไหน แต่เมื่อเขาเปิดประตู ข้างในนั้นคือห้องทำงานที่เขาพูดถึง

ฉันไม่แปลกใจ ไม่แปลกใจอะไรอีกแล้ว ฉันเดินตามเขาเข้าไปแต่เมื่อหันกลับมาเพื่อปิดประตู ชายแก่คนนั้นได้หายตัวไปแล้ว หนังสือเล่มบางนั้นถูกเปิด ตรงที่นั่งของเขามีเด็กทารกคนหนึ่งนอนอยู่แทนที่

นิยายชีวิตเรื่องใหม่ที่มีรายละเอียดสมจริงสมจังมากที่สุดกำลังเริ่มเขียนตัวมันเองขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่รู้ว่าตัวละครพระเอก หรือนางเอกในเรื่อง จะต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์อะไรบ้าง มันจะจบลงดี หรือร้าย อย่างไร หากไม่อ่าน ก็คงจะไม่รู้

ประตูปิดลง ฉันยืนอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ มีโต๊ะ เก้าอี้ ชุดหนึ่ง ทั้งหมดทำด้วยไม้ ซึ่งเขาเดินไปนั่งลง ที่ด้านข้างยังมีชั้นหนังสือสูงห้าชั้นสองใบ ในนั้นมีหนังสือเล่มบางวางเรียงอยู่เต็ม

ฉันเดินเข้าไปหาพวกมันราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็น ยกมือขึ้นลูบไปตามสันปก มันไม่มีชื่อเรื่อง แต่น้ำตาฉันยังคงไหลออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ

“คุณมีทางเลือก ที่จะกลับไปนั่งอ่านหนังสือเล่มใหม่อีกครั้ง”

เขาพูดเมื่อนั่งลงที่โต๊ะทำงานของตนเรียบร้อย ไม่คิดแม้แต่จะเชื้อเชิญฉันให้นั่งลง ไม่มีแม้แต่เก้าอี้อีกตัวที่จะให้นั่งลง เขาพูดโดยไม่มองหน้า โดยไม่อธิบาย แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ ฉันก็พอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว ไม่ว่าฉันจะหัวช้าขนาดไหน แม้จะยังไม่เข้าใจว่าทั้งหมดนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน

“หนังสือพวกนี้...มันคือชีวิตอย่างนั้นหรือ หนึ่งเล่ม หนึ่งชีวิต มันเป็นไปได้อย่างไร”

ปัญหาไม่ใช่แค่นั้น ถ้าคิดให้ดีแล้ว ทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นขึ้นอย่างไร สถานที่ที่ถูกเรียกว่าห้องหนังสือนี้คืออะไรกันแน่ หนังสือเล่มแรกมาจากไหน หนังสือเล่มใหม่มาจากไหน หนังสือเล่มเก่าจะเอาไปทำอะไร แล้วความหมายทั้งหมดนี้ การอ่านหนังสือทั้งหมดนี้ทำไปเพื่ออะไรกัน นิยายแห่งชีวิตมีเป้าหมายอะไร

ฉันรีบหยุดความคิดตัวเองไว้แค่นั้น ก่อนหัวจะระเบิด 'ถ้าเทียบกับเรื่องประหลาดพวกนี้ หัวระเบิดได้จริงๆ ก็ไม่แปลกอะไรเลย' ฉันคิดถึงข้อเสนอของเขา ถ้าต้องการแค่นั้น ก็แค่ให้หนังสือเล่มใหม่กับฉันก็จบเรื่องแล้ว แต่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น ถึงฉันจะหัวช้า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะคิดอะไรซับซ้อนไม่เป็น

“แล้วทางเลือกทางอื่นล่ะ คุณบอกว่าฉันมีทางเลือก ตัวเลือกเดียวไม่อาจนับเป็นทางเลือกได้หรอก”

เขามีท่าทางลังเล

“ผมแค่สงสัย สงสัยว่า...คุณคิดอยาก อยากจะ เป็น...”

“มีอะไรก็พูดออกมาสิ อ้ำอึ้งอยู่ได้”

ฉันเร่งเร้า เมนี่ ไม่ชอบคนที่พูดจาอึกอักแบบนี้ เขาหันมามองหน้า พยายามยิ้มให้กับเธอ

“...คุณอยากเป็นผู้ช่วยผมไหม”

ฉันงง เขาเองก็ดูเหมือนจะงง และพยายามหาคำอธิบาย พอนึกออกก็พูดมาเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนจะพูดให้ตัวเองฟังมากกว่า เรื่องงานหนักบ้างล่ะ ไม่มีวันพักผ่อนบ้างล่ะ ห้ามป่วย ห้ามลา ห้ามไม่สบาย งานมีความกดดัน ไม่มีเพื่อนคุย อะไรต่างๆ อีกมากมาย

ดูเหมือนเขาจะเหงา ฉันคิด ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงเลือกฉัน แต่ฉันก็ยังสงสัยว่าการเป็นผู้ช่วยเขานั้น ต้องทำอะไรบ้าง และจะได้อะไรบ้าง แตกต่างจากการกลับไปนั่งอ่านหนังสือเล่มใหม่แค่ไหน แต่ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจในทุกเรื่องราวเหมือนกัน

“เอาอย่างนี้ ฉันจะลองเป็นผู้ช่วยคุณไปก่อนก็ได้ ถ้าคุณสัญญาว่าฉันจะยังสามารถกลับไปอ่านหนังสือเล่มใหม่ได้เมื่อต้องการ”

เขาลังเล คงไม่นึกว่าฉันจะมีข้อแม้แบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า

“...ได้ ผม ตกลง”

ฉันยิ้ม หันมองไปรอบๆ ห้อง

“ฉันควรจะมีโต๊ะทำงานของตัวเองใช่ไหม คุณช่วยเสกมันขึ้นมา หรืออะไรแบบนั้นน่ะ”

ฉันยกมือโบกไปมาในอากาศ เขาส่ายหน้า

“ผมทำแบบนั้นไม่ได้...คุณออกไปรอข้างนอกก่อน แล้วผมจะจัดพื้นที่ในห้องนี้ให้ใหม่”

“ก็ได้ แต่ว่าประตูมันคงไม่หายไปเองหรอกนะ”

ฉันเปิดประตู แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป ต้องถามกันเอาไว้ก่อน เขายิ้มกว้าง

“ไม่หรอก ตอนนี้มันเป็นห้องทำงานของคุณแล้ว เมื่อคุณต้องการจะกลับเข้ามา มันจะอยู่ที่นั่น เปิดรอคุณอยู่เสมอ...เอ่อ ยกเว้นผมจะล็อคมันเอาไว้”

ฉันก้าวออกไป ปิดประตู และรอคอย 'ฉันคือเมนี่ที่ตายแล้วจริงหรือ' ชีวิตฉันทำไมถึงได้เฮงซวยขนาดนั้นนะ ฉันไม่อยากนึกถึงมันอีก ว่าแต่ฉันเองก็ต้องเคยอ่านหนังสือเล่มอื่นมาก่อนแล้วแน่ๆ พวกมันจะเป็นชีวิตแบบไหนกันนะ 'แล้วตอนนี้...ฉันเป็นใครกัน'

ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ฉันลืมถาม ปัญหาสำคัญที่ไม่น่ามองข้าม 'แล้วเขาเป็นใครกัน' ไม่เป็นไร เขาบอกเองว่าที่นี่มีเวลาอยู่มากมาย ฉันคงต้องค่อยๆ หาทางหลอกถาม พร้อมกับการทำความเข้าใจ งานใหม่ ของฉัน

ชายหนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าตู้หนังสือสองใบนั้น 'ฉันทำอะไรลงไป' เขาสุ่มหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ไม่ต้องเปิดดูก็สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเรื่องราวชีวิตรันทดของผู้หญิงที่ชื่อ บัวผัน 'อีกชีวิตรันทดหนึ่งของเธอ' หนังสือเล่มบางหมดทั้งสองตู้นี้ คือชีวิตของเธอ มันไม่เคยยืนยาว มันไม่เคยมีความสุข เขาไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย

'แค่เอาหนังสือเล่มใหม่ให้เธออ่านเหมือนเดิมก็จบแล้ว' ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตั้งแต่เมื่อไร ที่เขาเริ่มติดตามอ่านชีวิตของเธอ รู้สึกหลงไหลพวกมันอย่างประหลาด จนกระทั่งตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะอยู่ในความคิด และอาจจะเกินหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา

'เป็นผู้ช่วยอะไรกัน ฉันทำอะไรลงไป'

แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ เขาก็คงถอยไม่ได้ และไม่อยากจะถอยด้วย ตู้ และหนังสือทั้งหมดเลือนหายไป 'ตอนนี้ เมื่อมีเธอมาอยู่ตรงหน้า พวกมันก็ไม่จำเป็นแล้ว' โต๊ะ เก้าอี้ไม้ชุดหนึ่งปรากฎขึ้นแทนที่ เขามองดูมัน ก่อนเพิ่มเบาะที่นั่งสีชมพู ส่ายหน้าแล้วเปลี่ยนมันให้เป็นสีดำ

“เอาล่ะ เข้ามาได้”

ประตูแห่งชะตากรรมที่ไม่ธรรมดา ระหว่าง ผู้ดูแลห้องหนังสือลึกลับ กับ ผู้อ่าน คนหนึ่ง ได้ถูกเปิดออก เส้นทางข้างหน้าจะมีเรื่องราวเช่นไรรอพวกเขาอยู่กันแน่

#####

“เอ มาช่วยแม่ขายของหน่อยเร็ว”

ผมปิดหนังสือรวมเรื่องสั้นที่รื้อมาได้มาจากกองหนังสือเก่า มันอยู่ในสภาพโทรมสุดๆ ไม่มีหน้าปก ขาดแหว่ง แถมยังหายไปอีกหลายหน้า ในนั้นมีแต่เรื่องแปลกๆ เต็มไปหมด

‘ห้องหนังสือลึกลับ ความรักระหว่าง ผู้ดูแล กับ นักอ่าน หนังสือชีวิตที่เขียนด้วยตัวมันเอง คิดได้บ้าบอดีจัง’ แต่มันก็เท่านั้น มันก็เป็นแค่เรื่องแต่ง แค่เรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ชีวิตจริงอย่างที่อยู่ตรงหน้านี้

“คร๊าบ ไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

ผมรีบวิ่งไปช่วยแม่ขายของ ใช้ชีวิตที่เป็นของจริงของผมต่อไป

แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 55 12:25:37

แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 55 10:57:14

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 55 08:32:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com