บทที่ ๒ เจ้าชายตกบัลลังก์
พุดชมพูรับแก้วน้ำหวานจากช่อม่วง เพื่อนสนิทที่เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย หลังจากจบมัธยมปลายทั้งสามคน ได้แก่ พุดชมพู จิระ และช่อม่วง ต่างแยกย้ายกันไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่ชื่นชอบ ช่อม่วงเลือกเรียนบัญชีตามนิสัยส่วนตัว เธอมักคิดเห็นอะไรประหลาดกว่าคนอื่น ชอบตั้งคำถามและหาคำตอบด้วยตัวเอง จิระนั้นเรียนเกษตรศาสตร์ตามความชอบแต่แรก ส่วนเธอเพิ่งเปลี่ยนหลังจากที่พ่อเสียชีวิตลง
“ขอบใจจ๊ะ แล้วแกเป็นไงบ้างสบายดีไหมช่อ” เจ้าของไร่อุ่นรักทักทายเพื่อนที่จ้องมองเธอด้วยแววแปลกใจผ่านแว่นตาหนาเตอะของตัวเอง
ช่อม่วงเป็นหญิงสาวร่างผอมบางตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับพุดชมพู ผิวขาวสวย ใบหน้าจืดเพราะไม่มีเครื่องสำอางใดปัดผ่าน มีเพียงแว่นสายตาเท่านั้นเองที่เป็นเครื่องประดับเดียวของนักบัญชีสาว
“สบายดีแล้วแกละเป็นไง ตัวดำขึ้นเป็นกองเลย ไม่เข้ามาดูแสงสีนานมันก็เป็นอย่างนี้ละนะ ดูสิกลายเป็นไอ้หนุ่มเสียแล้วเพื่อนฉัน” ปลายประโยคเป็นการบ่นมากกว่าที่จะบอกเล่าความเป็นไปของตัวเอง
“ดีแล้วจะได้เหมือนชาวไร่หน่อย” พุดชมพูตอบไม่ได้เสียอกเสียใจกับสิ่งที่ได้ยินนัก เธอทิ้งความเป็นหญิงไปตั้งแต่เข้ามาบริหารไร่อุ่นรักแล้ว
“ดูสิ ผิวกร้านหมดแล้วคุณนาย เป็นชาวไร่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวห้าวเหี้ยมแบบนี้หรอก เจ้าของไร่สาวสวยมีออกถม แล้วนี่มาทำอะไรที่นี่เหรอ” ช่อม่วงจับแขนเพื่อนสาวออกมาแสดงความ ‘กร้าน’ อย่างปากว่าก่อนจะถามหาวัตถุประสงค์หลักของการมาเยือนครั้งนี้
“มาทำธุระนิดหน่อย อยากกลับบ้านแล้วละ ปวดหัวมาก” พุดชมพูปวดหัวจริง ๆ หลังจากเจอฤทธิ์คุณชายอนาวินทร์เข้าถึงกับไมเกรนขึ้น ผู้ชายอะไรร้ายจนอยากฟาดปากนั่นสักที
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงปวดหัว” น้ำเสียงของช่อม่วงนั้นดูห่วงใยเพื่อนรัก พุดชมพูส่ายหน้าเธอไม่อยากพูดให้เพื่อนไม่สบายใจไปด้วย ปัญหานี้มันเป็นเรื่องของเธอ เธอก็ควรจัดการเอง
“พุด...เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้วนะมีอะไรก็บอก ฉันอยากช่วย” นั่นคือใจจริงของช่อม่วง อยากให้เพื่อนรักเปิดใจแม้นั่นเป็นเรื่องที่หินมากก็ตาม
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกเรื่องนี้ฉันคิดว่าแก้ไขเองได้ วันนี้แวะมาเจอหน้าแกเฉย ๆ ตอนแรกก็กะไว้ว่าจะพักด้วยสักคืนแต่มันไม่มีอารมณ์แล้ว”
“พูดเหมือนเป็นศิลปินเลยนะนี่ เอาเหอะกินข้าวกันก่อนไปนะ” ช่อม่วงพูดทั้งเดินเข้าไปหาอะไรในครัวที่พอจะทำอะไรให้เพื่อนรักกินได้บ้าง
เจ้าของไร่อุ่นรักนั่งมองแก้วน้ำในมืออย่างพิเคราะห์ไตร่ตรอง มองจากรูปการณ์หลายอย่างแล้ว คนอย่างอนาวินทร์ไม่สมควรเข้าใกล้เกินร้อยเมตร เขาดูเป็นคนไร้มารยาท ขาดจิตสำนึกของมนุษย์ ที่สำคัญการทำให้คนที่โตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้เรียนรู้เรื่องต่างๆใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว เห็นทีคำตอบของเธอคงจะเป็นการปฏิเสธปู่เล็กไปแน่ๆ
กว่าที่หญิงสาวจะมาถึงบ้านไร่ก็เกือบสองทุ่มแล้วแต่แม่ของเธอก็ยังคงนั่งรอคอยอยู่ในห้องนั่งเล่นดูทีวีจนเมื่อได้ยินเสียงรถจึงค่อยเดินออกไปดู สีหน้าของบุตรสาวทำให้ภัทราเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างลูก ไปฟังแล้วมีอะไรที่เกี่ยวกับเราบ้างหรือเปล่า”
“มีค่ะแม่ มากด้วย...เฮ้อ” บุตรสาวถอนหายใจแรงจนแม่พลอยตื่นเต้นไปด้วย
“หรือปู่เล็กจะยึดไร่เราหรือลูก” คำถามนั้นเล่นเอาพุดชมพูหัวเราะพรืดออกมาทันที
“แม่...ปู่เล็กจะมายึดอะไรเราละคะ พุดมีเงินคืนหนี้นะคะ แต่ว่าเรื่องมันกลายเป็นว่า ปู่เล็กมอบอำนาจสิทธิ์ขาดการดูแลนายอนาวินทร์ให้พุด แถมด้วยหน้าที่บริหารงานในบริษัทระยะเวลาหนึ่งปีพร้อมกับเงินเดือนและยกหนี้ให้ทั้งหมด ถ้าตกลง...ถ้าไม่ตกลงเราก็ต้องใช้หนี้คืนตามเดิม”
“อ้าว...แล้วสมบัติล่ะ ถ้าเราไม่ตกลงจะกลับไปเป็นของคุณอนาวินทร์งั้นหรือ”
“มีแค่บ้านกับหุ้นในบริษัทครึ่งเดียวเท่านั้นเอง ที่เหลือตกเป็นของการกุศล”
“ตายจริง...ไม่ได้นะพุดต้องช่วยคุณอนาวินทร์นะ น่าสงสารออก” สีหน้าของแม่นั้นดูสงสารคนที่ไม่น่าสงสารเหลือเกิน
“แต่พุดต้องไปอยู่บ้านสัตยารักษ์นะคะแม่ ไปดูแลที่นั่นตั้งหนึ่งปี แม้ว่าจะไปๆมาๆก็เถอะ แม่ก็รู้ว่าพุดไม่ชอบกรุงเทพฯ”
“ต้องไปอยู่ที่นั่นด้วยเหรอ...มันไม่ค่อยดีนะ ยังไงเราก็เป็นผู้หญิง คุณอนาวินทร์เขาก็เป็นผู้ชายมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่” น้ำเสียงคุณนายภัทรานั้นห่วงบุตรสาวเหลือเกิน เธอเป็นห่วงพุดชมพูในแง่ความที่เป็นผู้หญิงแม้จะไม่ค่อยปรากฎออกมาในรูปลักษณ์ข้างนอกแต่ในใจแล้วก็ยังคงเป็นหญิงสาวที่น่ารักอ่อนหวานสำหรับแม่
พุดชมพูเงยหน้าขึ้นมองแม่ด้วยความประหลาดใจ “แม่ก็แปลกจริงนะคะ เดี๋ยวบอกให้ไป เดี๋ยวบอกไม่ให้ไปยังไงกัน” พุดชมพูหัวเราะตบท้าย แม่ของเธอเป็นคนใจดีมาก เห็นอะไรที่มันลำบากนิดหน่อยก็สงสารใครเขาไปทั่ว
“งั้นก็แล้วแต่ลูกละกัน แม่แค่อยากให้คิดให้ดี เชื่อว่าพุดเอาตัวรอดได้แต่ยังไงสมบัติพวกนั้นก็เป็นของเขา ถ้ามันมีแนวทางที่จะเจรจากันได้ดีกว่านี้ก็ลองดูนะลูก คิดเสมอว่าเราเป็นผู้หญิงทำอะไรก็ให้ระวังให้มากนะลูกนะ”
“ค่ะ พุดขอคิดดูก่อน ไม่แน่พุดอาจจะยอมเซ็นไม่รับข้อเสนอของปู่เล็กก็ได้ค่ะ” หญิงสาวคิดไม่ตกเอาจริง ๆ ด้วยใจความในจดหมายที่เป็นการขอร้องเธอ จากคนที่มีบุญคุณมาตลอด ปฏิกิริยาของอนาวินทร์ก็ดูไม่เป็นมิตรเท่าใด พุดชมพูกุมขมับนวดคลึงเบาๆ ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อน
ทิพนาถร้อนรนนั่งไม่ติดตั้งแต่เรื่อพินัยกรรมประหลาดเกิดขึ้น ข่าวซุบซิบนินทาก็เริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ไฮโซหม้ายถึงกับต้องปลีกตัวออกมาจากสังคมสักพัก ไม่เช่นนั้นเธอก็ต้องเจอคำถามเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น เมื่อเจออนาวินทร์นอนหลับสบายใจที่ริมสระว่ายน้ำในบ้านก็รีบเข้าไปหาทันที
“ตาวินยังนอนหลับสบายอารมณ์อยู่ได้งั้นหรือ ทำไมไม่ตามเรื่องพินัยกรรมเลย”
ชายหนุ่มถอดแว่นตาดำที่สวมกันแดดออกให้มองหน้าผู้เป็นแม่อย่างถนัดถนี่ เขาไม่ได้ใจเย็นกับเรื่องที่แม่ถามแต่เขายังคิดหาทางไม่เจอต่างหาก
“ผมจะทุกข์ร้อนกับเรื่องที่จัดการไม่ได้ทำไม”
“ไม่ได้นะวิน ยังไงสมบัตินี่ก็ของเรา จะเชื่อใจผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง เงินน่ะมันไม่เข้าใครออกใครนะวิน อย่าเชื่อแม้กระทั่งนายทนายทรงรบนั่น พวกนี้เกาะกินเรามาตั้งแต่บรรพบุรุษ ไม่รู้ยักยอกเงินไปกี่ล้านแล้ว แม่ไม่เคยเชื่อพวกนี้เลยจริงๆนะ แล้วนี่ยิ่งอยู่ดีๆ ก็มียายพุดชมพูโผล่มาเป็นคนจัดการมรดกเรา สายเลือดแท้หรือก็ไม่ใช่ มันออกจะน่าแปลกเหมือนกันนะ ยังไงซะเราต้องรีบจัดการ” ทิพนาถออกความเห็น
อนาวินทร์ถอนหายใจยาว เขาปวดหัวเกินกว่าจะคิดอะไรได้ อุตส่าห์มาหามุมเงียบ ๆ พักสมองแม่ก็ยังหาเขาเจอเพียงเพื่อมาทำให้เขาต้องร้อนไปด้วย
“แล้วผมจะจัดการอีกทีละกัน”
“ไม่ได้นะ ยิ่งช้าก็อาจจะยิ่งทำให้เราเสียเปรียบ แม่ให้คนไปสืบประวัติยายพุดชมพูนี่มาแล้ว เธอไม่ได้มีเงินอะไรด้วย เป็นแค่ชาวสวนธรรมดา ไร่อุ่นรักที่ว่าก็ไม่ได้ใหญ่อะไร เป็นไร่ขนาดเล็กด้วยซ้ำ แม่ว่าจริงๆ อาจจะมีแผนการมากกว่าที่เราคาดคิดกันไว้”
ชายหนุ่มคิดตามในสิ่งที่แม่กล่าว เขาไม่มั่นใจว่าผู้หญิงที่ดูไม่เหมือนผู้หญิงอย่างพุดชมพูจะมารับข้อเสนอนี้ แต่เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใคร
“ถ้ายายบ้านนอกนั่นรับข้อเสนอ หล่อนจะได้เงินทั้งขึ้นทั้งร่อง เงินค่าจ้างแถมยังยกหนี้สินให้อีกด้วย ได้เงินสองต่อแบบนี้คงยากที่จะปฏิเสธนะตาวิน แม่อยากให้ลูกระวังตัวเอาไว้ คนหิวเงินน่ะมันทำได้ทุกอย่าง” ทิพนาถพูดในสิ่งที่เธอคิดระแวง กลัวว่าสมบัติจะเปลี่ยนมือไปโดยง่าย ๆ ถ้าหากมันตกมาเป็นของอนาวินทร์เรื่องที่เธอจะอ้อนขอมันก็ง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก ลูกชายเธอไม่เคยระแวงหรือสงสัยสิ่งที่เธอกล่าวเลยแม้แต่น้อย
ทรงรบเดินเข้าไปในร้านหนังสือด้วยความคุ้นเคย ชายหนุ่มขยับแว่นปรับให้เข้าที่ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารบนแผงแต่มือสวยของใครบางคนเอื้อมปาดหน้าเขาไปหยิบนิตยสารเรื่องย่อละครทีวีออกไป สาวผมยาว สวมแว่นกรอบใส ตัวเล็กๆนั่นเร่งไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์โดยไม่สนใจจะขอโทษเขาด้วยซ้ำ
ทนายหนุ่มหน้าตึงเขาไม่ชอบความไม่ถูกต้องแบบนี้ แต่ก็พยายามกักเก็บความรู้สึกเอาไว้...พ่อแม่เธอคงไม่มีเวลาสอนมารยาทมากนัก เขาบ่นในใจก่อนจะหยิบนิตยสารเกี่ยวกับรถออกมาเดินไปต่อคิวเพื่อจ่ายเงิน ระหว่างยืนรอชายหนุ่มหันไปมองหนังสือบนชั้นแนะนำก้มลงมองพอดิบพอดีกับคนข้างหน้าหันขวับมาไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ด้านหลังตัวเอง
“โอ้ย!!!” ทรงรบร้องเสียงดังเพราะกระเป๋าใบโตที่หญิงสาวสะพายฟาดเข้าหน้าเขาอย่างจัง
“ตายจริง!! ขอโทษค่ะคุณเป็นอะไรไหม” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วงเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะทำร้ายร่างกายเขา
ทรงรบเงยหน้าขึ้นมองก็จำได้ว่าเป็นหญิงสาวที่ไม่มีมารยาทคนนั้น ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธก็จริงแต่มือกลับกุมหน้าผาที่แดงเถือกนั้นแน่น “ไม่เป็นไรครับ”
“ขอโทษจริง ๆนะคะฉันไม่ทันเห็นว่าคุณอยู่ข้างหลัง”
“ครับๆ ไม่เป็นไรจริงๆ” ชายหนุ่มบอกอีกครั้งก่อนจะยืดตัวตรงเดินไปจ่ายเงิน หญิงสาวยิ้มจืดเดินจากไปพร้อมกับถุงหนังสือใบใหญ่ เมื่อออกมาจากร้านหนังสือทนายหนุ่มเดินตามเส้นทางคิดว่าจะไปหาที่ดื่มกาแฟสักหน่อย
ร้านกาแฟที่เขาเลือกเข้าไปนั่งนั้นอยู่ไม่ไกล บรรยากาศดี คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก เมื่อได้ที่นั่งในมุมสงบ ๆของตัวเองแล้วจึงจดจ่ออยู่กับนิตยสารที่ซื้อมาทันที ไม่นานกาแฟเย็นที่สั่งก็มาเสิร์ฟถึงที่ ระหว่างที่กำลังคิดได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างวันนี้อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกเหมือนโดนฟาดเข้าที่ท้ายทอยอย่างจังทำหน้าคะมำ ลงกับแก้วกาแฟเย็น
“ขอโทษครับๆ” เสียงทุ้มหนึ่งกล่าวทันที ทรงรบจำตั้งสติไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองคนเอ่ยขอโทษเป็นชายหนุ่มที่ถือบันไดเหล็ก และสิ่งนั้นคงเป็นอันที่ฟาดหัวเขานั่นเอง ไม่ทันที่เขาจะอ้าปากตอบอะไรไป ช่างหนุ่มก็หันไปตวาดผู้หญิงที่ยืนหน้าซีดข้างๆ
“คุณเดินยังไงของคุณผมพยายามหลีกคุณจนชนคุณคนนี้เข้าไม่เห็นหรือไง ขนาดมีสี่ตายังมองไม่เห็นคนเลยนะนี่”
“ขอโทษค่ะ คุณคะ ฉันขอโทษนะคะ” เธอขอโทษช่างแล้วหันกลับมาขอโทษเขา
ทรงรบกระพริบตาถี่ ๆ คิดว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือเปล่าที่เห็นผู้หญิงคนนี้ถึงสองครั้งและทั้งสองครั้งเขาก็เจ็บตัวเสมอ...นี่มันวันดวงซวยจริงๆ
“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่เหรอครับ ผมขอไปล้างหน้าก่อนนะครับ ไม่เป็นไรนะครับจะไปไหนก็ไปเถอะครับ” เขากล่าวบอกทั้งสองสีหน้าเคร่งๆ ช่างหนุ่มรีบชิ่งทันทีที่ได้ยินแต่ฝ่ายหญิงสาวเดินตามทรงรบมาติดๆ
“คุณ...ฉันมีผ้าเช็ดหน้านะคะ” ช่อม่วงกล่าวพร้อมกับค้นหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าทันที
“ในห้องน้ำมีทิชชูครับ ไม่เป็นไร” เขากล่าวตอบเสียงเรียบ แต่หญิงสาวยังรู้สึกผิดอยู่ดี เธอตามเขาเข้ามาในห้องน้ำทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้ง
“คุณเข้ามาทำไม!! ห้องน้ำชายนะครับ” ทรงรบร้องเสียงหลงทันทีที่เห็นว่าเธอเข้ามาด้วย
“ก็ไม่เห็นมีคนนี่คะ มาค่ะฉันเช็ดให้นะ” เธอบอกพร้อมกับเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าที่เปื้อนกาแฟเย็นแถมด้วยเชิ้ตสีขาวที่เห็นร่องรอยอย่างชัดเจน ทรงรบยอมให้หญิงสาวเช็ดให้เพราะคิดว่าคงช่วยแค่ที่หน้าแต่ที่ไหนได้เธอเล่นเช็ดลามไปที่เสื้อจนเขาต้องรีบปัดมือออกเป็นพัลวัน
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเช็ดเอง...เฮ้ย!!” เขาร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อเธอจะเช็ดต่ำลงไป
“อ้าว...ก็มันเปื้อน” เธอยังคงเถียง จนเสียงประตูห้องน้ำเปิดออกหลายคนจ้องมองทั้งคู่แววตระหนกก่อนจะล่าถอย ทำเอาทนายหนุ่มต้องกุมขมับ
“เฮ้อ...คุณออกไปจากห้องน้ำชายก่อนดีกว่าครับ คนอื่นเขาจะได้เข้าห้องน้ำได้ ถ้าคุณยังอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครกล้าเข้ามาหรอกครับ ผมยืนยันว่าผมสามารถจัดการตัวเองได้ ยิ่งคุณช่วยผม ผมก็ยิ่งยุ่งยาก”
ช่อม่วงยิ้มจืดเดินหน้าสลดออกมาจากห้องน้ำชาย ก็เธออยากช่วยนี่นา...หญิงสาวคิดในใจ...เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มออกมาจากห้องน้ำแล้วเธอก็รีบเข้าไปหาทันที
“คุณ ฉันขอโทษจริง ๆนะ”
“ครับ ผมทราบแล้ว รู้สึกว่าวันนี้คุณกับผมจะมีเรื่องให้ต้องขอโทษกันบ่อยๆ เกินไปแล้ว หวังว่าจะไม่มีครั้งที่สามอีกนะครับ”
“ฉันไม่รู้จริง ๆเมื่อครู่ก็มัวแต่อ่านหนังสือเพลินไม่ได้มองตาช่างคนนั้น”
“อ่านหนังสือ? ใครเขาอ่านกันตอนเดินกันละคุณ อย่าแก้ตัวหน่อยเลย ผมไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้ ผมขอตัวนะครับ...อ้อ...แล้วก็ไม่ต้องตามผมมาอีกนะ ผมไม่อยากเป็นอะไรอีก” ทรงรบคาดโทษไว้ทำเอาหญิงสาวถึงกับอึ้ง ชายหนุ่มไม่อยากถือสาแต่ทว่ามันก็ยังรู้สึกเจ็บหนึบๆที่ท้ายทอยอยู่ดี ซวยอะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้
แก้ไขเมื่อ 19 พ.ค. 55 09:37:28
จากคุณ |
:
ดนตรีในสายลม
|
เขียนเมื่อ |
:
19 พ.ค. 55 09:35:59
|
|
|
|