แฟ้มคดีการฆ่าตัวตายอย่างไร้เหตุจูงใจถูกเปิดขึ้นโดยสารวัตรหนุ่ม เขาพลิกหน้ามันกลับไปกลับมาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เขาอ่านทั้งประวัติผู้ตาย สถานที่ตาย รวมทั้งสภาวะแวดล้อมหรือเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การฆ่าตัวตาย แรงจูงใจต่างๆ ปรากฏว่าไม่มีเลย ฆ่าตัวตายเพียงเพราะเกิดอยากตายขึ้นมาหรือ ? มันเป็นไปไม่ได้ เขาเชื่ออย่างนั้นและได้เริ่มสืบหาความจริงอีกครั้ง ทั้งสอบถามคนรอบตัวก็รู้เพียงแค่ว่าผู้ตายเป็นคนเงียบๆ นัยน์ตาโศก และมักจะยิ้มเศร้าๆเสมอ ทั้งๆที่ครอบครัวก็อบอุ่น ไม่ได้มีปัญหาอะไร นอกจากนั้นผู้ตายเป็นมีเพื่อนสนิทอยู่หนึ่งคน ซึ่งหลังจากวันแต่งงานของเขาเพื่อนเขาก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย ทั้งๆที่วันงานยังคอยเป็นกำลังสำคัญช่วยจัดงานและรับหน้าที่เป็นพิธีกรให้ด้วย ทุกอย่างเหมือนทางตันสำหรับการสืบหาความจริงครั้งนี้ แต่ช่องโหว่มันต้องมี เขาทราบว่าผู้ตายเพิ่งจะร้างลากับอดีตคู่หมั้น แต่จากการสอบถามเธอกลับบอกว่าผู้ตายเป็นฝ่ายมาขอยุติความสัมพันธ์เพราะเขาไม่ได้รักเธอเลย เป็นอันตัดประเด็นเรื่องนี้ไป
สารวัตรหนุ่มยังคงสงสัย จึงทำเรื่องเข้าตรวจค้นที่เกิดเหตุ สภาพคอนโดของผู้ตายตอนนี้ไม่มีคราบเลือดหลงเหลือ ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานต่างๆทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอบๆห้องส่วนมากเป็นชั้นหนังสือเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และภาษาต่างๆ ภาษาซี หรือ รหัสโค้ด ซึ่งตรงกับด้านที่ผู้ตายจบมาและไม่ได้นอกเหนือจากการทำงานเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเริ่มเปิดดูทีละเล่มๆ เพราะตัวเองมีความสนใจในซอฟแวร์บ้างอยู่เหมือนกัน แต่แล้วเขาก็เจอหนังสือเล่มเล็กๆ ที่หน้าปกเหมือนถูกเปลี่ยนไป คนทำต้องมีฝีมือแม้แต่เขาก็แยกไม่ออกถ้าไม่มาเปิดเอง หนังสือเล่มนี้เขียนว่าสัญญาณมอส เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าสัญญาณมอสเป็นการใช้จังหวะการเคาะเพื่อประกอบกันเป็นคำ แต่ทำไมภาษามอสทั้งเล่มมาจากการเขียน บางหน้ามีรอยน้ำหยดลงจนหมึกจางกว่าบริเวณอื่น แล้วสัญญาณพวกนี้มันจะบอกอะไรเขาได้บ้าง ?
เขาส่งหนังสือเล่มนั้นไปให้ฝ่ายพิสูจน์หลักฐานไปจัดการแปลมาให้หมด ให้ครบ มันอาจจะเป็นหนึ่งหนทางที่ทำให้รู้ว่าความจริงคืออะไร หรืออาจจะไม่ใช่เลยก็ได้ ผ่านไปหลายวันในที่สุดฝ่ายพิสูจน์หลักฐานก็ส่งรายงานการแปลมาให้ พร้อมกับพูดเป็นนัยน์ว่าถ้าเขาอ่านแล้วอาจจะตกใจก็ได้ เขาเริ่มต้นอ่านตั้งแต่หน้าแรก รหัสมอสนี้มันคือไดอารี่นั่นเองและเป็นจุดแรกที่ได้เห็นมุมอ่อนไหวของผู้ตายที่แตกต่างจากการบอกเล่าของคนรอบตัว ผู้ตายเล่าเรื่องราวของตัวเองว่าแรกเริ่มเขาอยู่กับพ่อที่เยอรมันเพราะพ่อไปทำงานที่นั้น จนกระทั่งเข้าเรียนในระดับชั้นอุดมศึกษาก็ได้ย้ายกลับมาอยู่กับแม่ที่เมืองไทย และในที่สุดก็มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อลี เพื่อนคนนี้เป็นคนนิสัยดีและมีเสน่ห์ ในช่วงปีสองลีแอบชอบผู้หญิงต่างคณะคนหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่ผู้ตายรู้สึกแปลกๆ จนกระทั่งปีสามลีได้ไปบอกรักเธอคนนั้น แต่สุดท้ายลีกับมาบอกผู้ตายว่าคนที่เขาแอบชอบนั้นกำลังชอบเขาไม่ได้ชอบลี ด้วยไม่อยากเห็นลีเสียใจจึงรับปากจะดูแลผู้หญิงคนนี้ให้ ในที่สุดเขาสองคนก็คบกัน จนกระทั่งหมั้นกัน เวลาล่วงเลยไปหลายปีวันหนึ่งลีก็มอบการ์ดสีชมพูให้เขา การ์ดเชิญไปงานแต่งงานของลีกับแฟน ซึ่งเขาได้แต่ยิ้มรับทั้งๆที่รู้สึกว่าในใจกำลังร้องไห้ เป็นอีกครั้งที่ผู้ตายรู้สึกแปลกใจทำให้วันนั้นเมื่อเขากลับบ้านมา ได้กลับสังเกตตัวเองในกระจก เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อตอนครั้งยังอยู่เยอรมันเขาพบว่าตัวเองเคยสดใสกว่านี้ เคยยิ้มได้มากกว่านี้ และนัยน์ตาไม่เศร้าแบบนี้ เรื่องราวในไดอารี่เขียนไปถึงวันที่ลีได้แต่งงาน แล้วหน้ากระดาษก็ว่างไปเหลือเพียงรอยน้ำชื้นๆที่ทางฝ่ายพิสูจน์บอกว่าเป็นรอยน้ำตา จนกระทั่งมาถึงมุมกระดาษเล็กๆที่ผู้ตายเขียนไว้ ดอกทานตะวัน คือดอกไม้ที่คอยแหงนหน้ารับแสงตะวัน มีชีวิตอยู่ได้ด้วยแสงของดวงอาทิตย์ ลีจำได้มั้ยว่าเราชื่อทานตะวัน เราก็เป็นเหมือนชื่อของเรา เราต้องการแสงอาทิตย์ .. แล้วในวันนี้ลีที่เป็นแสงอาทิตย์ของเราหายไป .. เราจะอยู่ได้ยังไงสารวัตรปิดแฟ้มคดีลงยกมือนวดขมับตัวเองช้าๆ นี่เองเหตุผลที่ถูกซ่อนไว้ เหตุผลที่ไม่เคยมีใครรู้ เขาควรจะทำยังไงดี ก็อกๆ
ขออนุญาตครับสารวัตร ร่างนายตำรวจชั้นน้อยกว่าเขยิบออกปรากฏร่างผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่ง เธอมาพร้อมกับรอยยิ้มหวาน
ลีคะ คดีของเพื่อนคุณเป็นยังไงบ้างคะ ?
สารวัตรหนุ่มได้แต่ยิ้มบางๆให้ภรรยาพร้อมกับความจริงที่หนักอึ้งที่เขายังไม่รู้จะทำอย่างไรกับความจริงที่ว่า เพื่อนรักของเขา .. แอบชอบเขามานานถึงเจ็ดปี
ชอบแม้ว่า
จะเป็นผู้ชายด้วยกัน
- -------------------------
จบแล้ว แฮ่ ><
จากคุณ |
:
แบมแบม
|
เขียนเมื่อ |
:
19 พ.ค. 55 11:59:13
A:101.108.68.229 X: TicketID:360001
|
|
|
|