หญิงสาวเดินออกมาจากห้องส่วนตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ เสื้อยืดกางเกงขาสามส่วนแบบง่ายๆไม่ได้พิถีพิถันมากนัก เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อได้อาบน้ำชำระเหงื่อไคล หลังจากเดินทางยาวนานหลายชั่วโมงแต่พอโผล่หน้าออกมาจากห้องดันเจอกับคู่ปรับที่เพิ่งก้าวเข้ามาในบ้าน เขาเชิดหน้าขึ้นทันทีที่เห็นเธอ พุดชมพูนึกอยากให้คอแข็งๆนั่นเคล็ดเสียบ้าง จะได้เลิกเชิดหน้าแหงนมองฟ้าสักที
“สวัสดีค่ะคุณอนาวินทร์ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” หญิงสาวตัดสินใจทักทายเขาก่อน เผื่อว่าจะได้รับมิตรภาพดีๆ กลับมาบ้าง อีกฝ่ายกลับทำหน้าบึ้งตวัดหางตามาให้
“นานบ้านเธอหรือไง แค่สามวัน” คำตอบของอนาวินทร์แทบจะทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมา ยังดีที่กลั้นไว้ทัน
“โอ๊ะ! ก็นานอยู่นา หรือว่าต้องสักเดือนแต่นั่นก็นานไป คิดถึงแย่เลย”
อนาวินทร์มองหญิงสาวที่บอกว่าคิดถึงด้วยสายตากร้าว ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาคงเข้าใจตามความหมายของคำ แต่นี่คือ ยายพุดเน่า!!
“เก็บปากไปพูดกับคนอื่นเถอะ อย่าหันมาทางฉันเพราะมันเหม็นเน่าจะแย่”
พุดชมพูส่ายหน้าทำท่าเป่าลมออกจากปากแล้วพิสูจน์กลิ่นว่าเป็นอย่างเขาพูดหรือไม่ “แปรงฟันแล้วนะคะ อย่างนี้ต้องไปแปรงใหม่แล้วสิ ว่าแต่จมูกคุณนี่ดีจริง ๆ ไม่น่าเชื่อ”
“ไม่ต้องหรอก มันไม่ได้อยู่ที่ปากแต่อยู่ที่ตัวเธอ...เน่าจากข้างในไง พวกที่เห็นแก่เงิน คิดเอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเองมันก็เหมือนผีดิบนั่นแหละ”
“ห๊ะ...เป็นแวมไพร์หรือคะ ดีจังฉันเป็นอมตะ...คิดได้ยังไงนะคุณวิน สมองคุณนี่ดีจริง” พุดชมพูประชดแต่ดวงหน้ายิ้มแย้ม
“ถ้าไม่ดีก็คงไม่เท่าทันเธอหรอก”
“งั้นก็ตามให้ทันนะ คิดให้ดี ให้รอบคอบ เราคงต้องสู้กันอีกนาน” พุดชมพูกล่าวทิ้งท้ายพอดีกับทนายทรงรบเดินเข้ามา หาคนทั้งคู่ สายตาที่ผ่านแว่นกรอบใสนั้นค่อนข้างระแวงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
“เชิญทางนี้ครับคุณพุด”
อนาวินทร์ยิ้มเยาะ “ช่างเข้าขากันได้ดีเหลือเกินนะ” เขาพูดจบก็เดินเลี่ยงออกไป ปล่อยให้หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
“คุณวินพูดอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ทรงรบถามเมื่อพุดชมพูเข้ามาในห้องทำงานของนายอาทิตย์เรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ พุดว่าก็เหมือนเด็กโดนขัดใจนั่นแหละค่ะ โวยวายเดี๋ยวสักพักก็หาย”
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ ผมละไม่เคยคิดว่ามันจะหายจริงๆ เอาเถอะครับ เรามาคุยกันเรื่องที่บริษัทดีกว่า คุณอาทิตย์ท่านให้คุณพุดร่วมบริหารงานในตำแหน่งเดียวกับคุณวิน เพื่อลดทอนอำนาจอีกทั้งช่วยคุณวินอีกแรงจนกว่าเขาจะครบปี” ทนายหนุ่มอธิบายให้หญิงสาวฟังคร่าว ๆ
“แต่มันขัดกับงานที่ไร่นะคะ พุดมีไร่ที่ต้องทำงานทุกวันจะให้มานั่งโต๊ะบริหารงานใครก็ยากสักหน่อย”
“ครับผมเข้าใจ ผมเลยอยากให้คุณพุดแบ่งเวลา มาดูแลบริษัท ซึ่งที่เหลือผมจะเป็นคนช่วยดูแลอีกคนหนึ่งครับ”
“เรื่องงานบริหาร ทั้งเรื่องกฎหมายคิดว่าคุณทรงรบจะแย่เอาน่ะสิคะ เอางี้ไหมพุดมีเพื่อนคนหนึ่งที่ไว้ใจได้ พุดจะให้เขาช่วยดูแลงานส่วนของพุดค่ะ”
“ผมว่าก็ดีนะครับ คุณพุดก็จะได้สะดวกใจเรื่องการทำงานที่ไร่ด้วย แต่ปัญหามันคงไม่ได้มีแค่เรื่องนี้หรอกครับ ยังเรื่องคุณวินอีก เขาคงไม่ยอมไปทำไร่ง่ายๆ หรอกครับ” ทรงรบกล่าวถึงสิ่งที่หนักใจเป็นลำดับถัดมา
“ก็ต้องดูกันไปค่ะ พุดจะลากเขาไปให้ได้คุณทนายคอยดูเอาเถอะค่ะ ถ้าอย่างนั้นแบ่งคราวละสามเดือน หากมีเรื่องด่วนก็ค่อยว่ากันอีกที ให้เวลาในการปรับการทำงานสักหน่อยนะคะ”
“ครับ เราคงทดลองกันไปก่อน” ทรงรบก็อยากคอยดูเช่นกันแต่ทำไมทุกครั้งที่สองคนนี้เจอกันเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญอยู่ตรงหน้ามากกว่า ทนายหนุ่มเกาคิ้วตัวเองเบาๆเป็นเชิงหนักใจโดยที่ไม่สามารถพูดอะไรได้
เช้าวันแรกของการอยู่ในบ้านสัตยารักษ์หญิงสาวเข้ามาดูความเรียบร้อยในครัว เห็นอาหารที่จัดเรียงไว้บนโต๊ะ นึกแปลกใจว่าอยู่กันสักกี่คนถึงต้องทำกับข้าวหกถึงเจ็ดอย่าง
“ป้าคะ มีใครบ้างที่กินข้าวเช้าที่นี่” เธอถามพร้อมจ้องอาหารบนโต๊ะไม่วางตา
“ก็มีแค่คุณทิพ คุณวิน แล้ววันนี้มีเพิ่มก็คุณพุดไงคะ” ป้านุ่มตอบพลางจ้องหน้านายคนใหม่ ไม่คิดว่าเธอจะหันมาถามอะไรแบบนี้
“แค่สามคนเท่านี้เองทำไมทำกับข้าวตั้งเยอะ สามอย่างก็พอค่ะ ที่เหลือป้าเก็บไปให้คนงานกินดีกว่าค่ะ วันต่อไปก็เหมือนกันนะคะอย่าทำเยอะเกินไป เหลือก็เสียดายแย่” หญิงสาวหมายความตามที่พูดจริงๆ เธอไม่อยากให้ทำอะไรสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ที่ผ่านมาเธอคุ้นเคยกับการประหยัดอดออมกินเท่าที่มี แต่ที่นี่ท่าทางจะเคยชินกับการกินดีอยู่ดี กินทิ้งกินขว้าง
“ค่ะคุณพุด แต่สำหรับคุณวินเธอกินแตกต่างนะคะ เธอต้องมีกาแฟ ขนมปังไข่ดาวด้วยนะคะ” สีหน้าลำบากใจของแม่บ้านทำให้หญิงสาวเข้าใจดี
“กินทั้งอาหารฝรั่งกินทั้งอาหารไทยหรือคะ เอาท้องที่ไหนใส่กันพ่อคุณ” ปลายประโยคเป็นการประชดประชันมากกว่าจะพูดคุยกับแม่บ้าน
“เปล่าค่ะ คุณทิพเธอกินอาหารไทยแต่คุณวินกินอาหารฝรั่งค่ะ” ป้านุ่มอธิบายง่ายๆ หญิงสาวขมวดคิ้วแปลกใจก่อนจะคลายออกอย่างรวดเร็ว
“อ๋อ...เข้าใจละค่ะ ถ้าอย่างนั้นเอาให้คุณชายเขาเถอะค่ะ ส่วนพรุ่งนี้พุดขอข้าวต้มอย่างเดียวก็พอนะคะ”
“ได้ค่ะ”
เมื่อเธอได้แต่นั่งรอผู้ร่วมโต๊ะอาหารซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะลงมาเลยสักคนจึงสั่งให้ตักข้าวได้เลยไม่ต้องรอใครอีก เรื่องอะไรเธอต้องรอคนไม่ตรงต่อเวลา จริงๆ เข้าใจเลยว่าคุณนายทิพนาถต้องการกลั่นแกล้งเธอมากกว่าจะทำเหมือนลงมาสาย
“คนที่เป็นเจ้าของบ้านเขายังไม่มา ใครช่างกล้าเสนอหน้าสั่งการกันยะ” ทิพนาถเอ่ยเสียงสูง พุดชมพูเหลือบมองเล็กน้อย
คิดไว้แล้วว่าคุณนายทิพนาถจะมาในอีหรอบนี้ พุดชมพูยักไหล่ หันไปมองหน้าอีกฝ่ายส่งยิ้มให้อย่างอดทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ขอโทษค่ะ ฉันรอมาเกือบชั่วโมงแล้ว คิดว่าคงไม่เสียมารยาทถ้าจะสั่งให้ตักข้าว อีกอย่างตอนนี้ฉันเป็นคนดูแลกฎระเบียบของบ้านสัตยารักษ์ค่ะ หวังว่าคุณนายคงไม่ลืมข้อนี้ไป”
ทิพนาถจ้องพุดชมพูไม่วางตา นึกโมโหกับความจริงที่พูดออกมาเหลือเกิน ทำไมพ่อสามีถึงได้ใจร้ายใจดำกับเธออย่างนี้นะ สมบัติยังต้องลำบากที่จะรับมาแถมยังต้องอยู่ร่วมบ้านกับผู้หญิงชาวไร่ชาวสวนคนนี้อีก
อนาวินทร์ที่เพิ่งเดินลงบันไดได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูดก็หน้าตึงขึ้นมาในทันที “ป้านุ่ม ข้าวในส่วนของผมเอาไปทิ้งได้เลยผมไม่อยากกินร่วมโต๊ะกับคนอื่น”
พุดชมพูยิ้มเย็น “ป้าคะอย่าเอาไปทิ้งนะคะเสียดาย เอาไปให้หมากินยังมีประโยชน์กว่า” หญิงสาวเหลือบมองหน้าอนาวินทร์ก่อนจะกล่าวต่อ “...ทิ้งเฉยๆ”
อนาวินทร์เลือดขึ้นหน้าเดินกลับมาหาคนที่นั่งกินข้าวสบายอารมณ์ ฟังก็รู้ว่าเธอประชดเขา ก็ได้...ในเมื่ออยากกินข้าวนัก...เขาก็จะทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี เลี้ยงอาหารให้อิ่มหนำกันไปเลย
“ดูแล้วเธอคงไม่เคยกินอาหารดีๆพวกนี้สินะ มา...ฉันช่วย” ว่าจบเขาก็ตักกับข้าวใส่จานของพุดชมพูจนเต็ม
“กินเยอะ ๆระวังติดคอ อย่าลืมดื่มน้ำด้วยละ” สิ้นคำอนาวินทร์คว้าแก้วน้ำราดลงไปที่จานข้าวจนส่วนที่พูนจานนั้นล้นไหลออกมาบนโต๊ะ การกระทำนั้นเล่นเอาทุกคนตื่นตะลึงกันไปหมด รวมไปถึงเจ้าของจานข้าวนั้น เธอเพิ่งตักมันเข้าปากไปเพียงไม่กี่คำเอง
เจ้าของไร่อุ่นรักได้แต่นั่งนิ่งพยายามกลั้นอารมณ์โกรธที่พุ่งมาเป็นริ้ว ๆ หลับตาแน่นพยายามนับหนึ่งแต่มันถึงแค่สองเท่านั้นเอง!!
“ขอให้อร่อยนะ ของดีๆ ที่ปากเธอคงไม่เคยลิ้มรสมันมาก่อน” เขากล่าวทิ้งท้ายหัวเราะในลำคอเยาะเย้ยคู่กรณี หญิงสาวถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะยึดจานข้าวตัวเองไว้มั่น
“ฉันคงลิ้นหนากินอาหารดีๆ ได้ลำบาก คุณอนาวินทร์น่าจะกินได้ดีกว่าฉันนะ” เธอพูดพร้อมเทข้าวที่เละเทะนั้นลงไปที่หัวของชายหนุ่ม เสียงกรีดร้องของคุณทิพนาถดังขึ้นจนก้องห้องอาหารไปหมด
“หวังว่าจะอร่อยเหาะไปเลยนะ” หญิงสาวกล่าวยิ้มเยาะคืน
อนาวินทร์ปาดข้าวบนที่ไหลตกลงมาบนหน้าตัวเองทิ้ง มองเจ้าของไร่ดอกไม้เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ คว้าข้อมือหญิงสาวบีบแน่น “เกินไปแล้วนะ” น้ำเสียงนั้นทุ้มต่ำ
“แล้วที่คุณทำละ มันไม่เกินไปหรือไง อย่ามองแต่ตัวเองสิ หัดมองคนอื่นบ้าง ตาก็ไม่ได้เหล่ไม่ใช่หรือไง” พุดชมพูบิดข้อมือออกแต่อีกฝ่ายไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น เขากระชากร่างของเธอเข้ามาใกล้ตัว
“คิดว่าแน่มากหรือไง เธอกล้ามากนะที่ทำแบบนี้กับฉัน”
“เพราะไม่มีใครกล้าน่ะสิ คุณถึงได้นิสัยแบบนี้ หัดทำตัวใหม่นะคุณอนาวินทร์ไม่อย่างนั้นคุณจะเสียใจเอง ไม่มีใครดีกับเราถ้าเราไม่ดีกับเขาก่อน ยิ่งคุณเกลียดฉันเท่าไหร่ ฉันก็จะเกลียดคุณเป็นสองเท่า”
“ฉันไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำ รู้ไหมใครก็ตามที่ทำให้ฉันเกลียด เขาจะเจออะไรบ้าง” อนาวินทร์พูดน้ำเสียงเข้ม เต็มไปด้วยอารมณ์ พุดชมพูเองก็ไม่ยอมลดราวาศอกสักนิดจ้องตาชายหนุ่มอย่างที่ไม่ยอมแพ้กันเลย
“หยุดนะ!! คุณวินทำอะไร ปล่อยคุณพุดเดี๋ยวนี้นะครับ” เสียงที่ตวาดดังก้องไปทั่วนั้นเป็นของทนายทรงรบที่เพิ่งเดินเข้ามาเจอเหตุการณ์ อนาวินทร์เหลือบมองคนที่ห้ามปรามด้วยหางตา
“องครักษ์เธอมาแล้ว เอ๊ะ หรือจะเรียกว่า...อะไรดีที่มันเฝ้าเจ้าของไม่ยอมห่าง” เขาว่าทั้งผลักหญิงสาวลงกับพื้น กันจะหันไปหาถ้วยแกงบนโต๊ะจะสาดคืนแต่พุดชมพูไวกว่าลุกขึ้นคว้าแขนเขาไว้มั่นก่อนจะบิดมันไปข้างหลัง
“โอ้ย!!” เขาร้องโอดขึ้นพร้อมกับมือที่ปล่อยถ้วยแกงตกลงพื้นหินอ่อนแตกกระจายเต็มพื้นไปหมด
“ปล่อยลูกฉันนะ นังบ้า!!” เสียงของทิพนาถตวาดแหวขึ้นมา พุดชมพูไม่ได้ใส่ใจยังคงยื้อแขนชายหนุ่มบิดไปข้างหลัง
“พอครับ ปล่อยคุณวินเถอะคุณพุด” ทรงรบรีบเข้ามาห้ามมวยคู่เอกก่อนที่เรื่องราวมันจะลุกลามใหญ่โตขึ้นไปอีก หญิงสาวปล่อยมือออกแทบจะเหมือนคว้างทิ้ง ตามคำร้องขอของทนายหนุ่ม
เพี๊ยะ!! เสียงฝ่ามือกระทบฉาดใหญ่ที่แก้มของหญิงสาว การกระทำนั้นเป็นของทิพนาถ เธอตบพุดชมพูสุดแรงที่มี หญิงสาวอ่อนวัยกว่าได้แต่กุมแก้มตัวเองนิ่งปราดตาคมไปยังคนที่ทำร้ายเธอ
“ฉันสั่งสอนในโทษฐานที่เธอทำร้ายลูกชายฉัน ทำให้เขาเสียเกียรติ ตั้งแต่ฉันเลี้ยงเขามาไม่เคยตีสักแอะ เธอเป็นใคร มาทำอะไรแบบนี้กับลูกชายฉันได้ยังไง ต่ำแล้วยังทำนิสัยต่ำอีกเหรอ อย่าให้ฉันเห็นอีกว่าเธอทำร้ายลูกชายฉันไม่อย่างนั้นฉันจะเอาคืนทันที” ทิพนาถกล่าวน้ำเสียงเข้มก่อนจะเข้าไปคว้าแขนลูกชายออกไปจากห้องอาหาร
พุดชมพูถอนหายใจยาว ทรงรบเองก็อดสงสารหญิงสาวไม่ได้ แรงของคุณนายทิพนาถใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ ทว่าทนายหนุ่มก็แปลกใจที่เธอไม่ตอบโต้กลับทั้งๆที่มีโอกาสจะทำเช่นนั้น
อนาวินทร์อาบน้ำไปก็ฟาดงวงฟาดงากับสายน้ำที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ร่างกายที่มีน้ำผ่านชะโลมไม่ได้ทำให้อารมณ์เย็นลงเลยสักนิด ตั้งแต่เกิดเขายังไม่เคยเจอใครลองดีกับเขาขนาดนี้ ปู่คิดอะไรอยู่ทำไมต้องเอาผู้หญิงคนนี้เข้ามาวุ่นวายในบ้าน แค่ไม่รักเขามันก็เจ็บปวดพอแล้ว นี่ยังทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้ที่ต้องแย่งชิงในสิ่งที่เป็นของเขา
...แม้กระทั่งตายไปแล้ว ปู่ก็ยังเกลียดเขา...ความทรงจำระหว่างเขาและปู่ไม่แตกต่างจากหมอกควันจางๆ ยิ่งเพ่งมองก็ยิ่งแสบตา
วันครอบครัวเขาไม่เคยได้เที่ยวเหมือนคนอื่น อยู่คนเดียว เล่นคนเดียว คนที่ไปพบครูก็เป็นแม่บ้านหาใช่แม่หรือปู่ ถ้าหนักหนาต้องขึ้นโรงพักก็เป็นทนายประจำตระกูลเข้าไปจัดการเรื่องให้ นี่แหละคำว่าครอบครัวของเขา
ในเมื่อต้องการให้เขามีชีวิตของตัวเองแล้วทำไมยังทำให้มันยุ่งยากไปอีก... เกลียดยายพุดเน่านั่น!! เธอเป็นตัวแทนของปู่ใช่ไหม...ได้... ดูสิว่าใครมันจะแน่
ทรงรบได้แต่มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความอ่อนอกอ่อนใจก่อนจะวางยานวดลงบนฝ่ามือของหญิงสาว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมถึงได้วุ่นวายอย่างนี้ เขานึกไม่ออกเลยว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร วันแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่ก็เกิดเรื่องเสียแล้ว ต่อไปเขาคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
“คุณพุดไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คุณวินเป็นของเขาอย่างนี้มานานแล้ว คุณก็ไม่น่าที่จะไปต่อกรกับเขาให้มากนะครับ”
“ไม่ได้หรอก นิสัยเสีย คุณทนายไม่ต้องกังวลใจหรอกค่ะ พุดเอาตัวรอดได้ ถ้าพุดไม่แน่จริงปู่เล็กก็คงไม่วางใจให้มาดัดนิสัยของนายอนาวินทร์หรอกค่ะ”
อันนั้นทรงรบก็ไม่อยากเถียงแต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาหวั่นใจมากกว่านั้น สายตาที่อนาวินทร์มองพุดชมพูมันมีแต่ความเกลียด เขากลัวว่าทุกอย่างมันจะผิดพลาด ผิดแผนไปหมด ไม่มีใครเดาใจผู้ชายร้าย ๆ อย่างอนาวินทร์ได้เลย แม้ว่าเริ่มแรกจะเป็นอย่างคาด อนาวินทร์ไม่ยอมเรื่องพินัยกรรมจนต้องไปหาเรื่องพุดชมพูถึงไร่แล้วก็ทำให้พุดชมพูรับข้อเสนอทันทีแต่หลังจากนี้ละ ถ้าเกิดไม่เป็นไปอย่างที่นายอาทิตย์คาดเดา...มีแต่พังกันไปหมด เขาไม่อยากนึกภาพเลยจริงๆ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ผมเดาใจคุณวินไม่ออก เผื่อว่าคิดอะไร...เอ่อ...ที่มันไม่ดี”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาก็ไม่เหมาะสมที่จะรับตำแหน่งทายาทคนสำคัญของสัตยารักษ์แล้วละค่ะ” คำตอบของพุดชมพูทำให้ทรงรบเงียบ หญิงสาวต้องการทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด หากเขาจะร้ายเธอก็ไม่ว่าเพราะไม่คิดว่าจะนั่งเฉยๆให้เขาเหยียบย่ำได้หรอก แรงมาก็ต้องแรงไป!!
หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้านอนหลังจากเจอหลายสิ่งอย่างที่ทำเอาหมดแรง ยิ่งกว่าการทำไร่เป็นสองเท่า เธอเบื่อในเมืองตรงที่ต้องดิ้นรนกระ:-)กระสนแย่งชิงกันเสียแทบทุกอย่าง นอนดูหนอนในไร่ยังจะสบายใจเสียกว่า
เธอโน้มตัวลงนอนราบกับเตียงนอนหนานุ่มเธอก็โทรศัพท์ไปหาคุณนายภัทรารายงานการยังมีชีวิตอยู่ของเธอให้ทราบ ไม่อย่างนั้นจะพาลกินข้าวไม่อร่อยน้ำหนักจะลดเอาได้
“แม่จ๋า” เมื่อปลายสายกดรับเธอรีบร้องไปก่อนที่แม่จะกล่าวอะไรออกมา
“ไม่ต้องมาหวานเลย เมื่อวานไม่โทร.บอกแม่นะ”
“เมื่อวานเหนื่อยค่ะ เลยไม่ได้แจ้งข่าว แต่วันนี้แจ้งแล้วนะ พุดถึงที่หมายแล้วและสบายดีค่ะ บ้านสัตยารักษ์ต้อนรับอย่างดียิ่งจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว” หญิงสาวประชดในที นึกถึงเรื่องข้าวแล้วพาลโมโหขึ้นมาอีก
“พุดประชดหรือเปล่า เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้มันน่าตีนัก โตแล้วนะลูก ทำอะไรก็ให้คิดเสียก่อน อย่าตามอารมณ์ตัวเองอย่างเดียว แม่มีเรื่องที่จะสอนพุดอย่างเดียวเท่านั้นนะลูก การอยู่ร่วมกับคนอื่นเราก็ต้องมองความเป็นจริง สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่มาตลอด อย่ามองแค่ในมุมของตัวเอง จงมองในมุมของเขาด้วย อะไรก็ตามที่มันตึงจนเกินไปมันก็ขาด หย่อนเกินไปมันก็หลุด ต้องรู้จักผ่อนหนักเบาตามสถานการณ์ เข้าใจใช่ไหมพุด” น้ำเสียงเป็นห่วงของแม่ทำให้หญิงสาวใจชื้นรู้สึกหายเหนื่อยทันทีที่ได้ยิน
“ค่ะแม่ พุดจะจำไว้ คิดถึงแม่จังเลย คิดถึงข้าวต้มยายจิตด้วย ขนมปังหอมๆ ของแม่กับกาแฟดำ คิดถึ๊ง คิดถึง”
ภัทรายิ้มกับโทรศัพท์เมื่อได้ยินเสียงออดอ้อนของลูกสาว แม้ว่าพุดชมพูจะเป็นลูกสาวคนโตแต่เธอก็ทำตัวอ้อนได้น่ารักเหมือนลูกสาวคนเล็กก็ไม่ปาน
“เอาเถอะ นอนเสียดึกแล้ว พรุ่งนี้ก็จัดการธุระที่บ้านนั้นให้เสร็จเรียบร้อย แล้วรีบกลับไร่ก่อนที่โจ้จะกินขนมแม่หมดร้าน”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใสกับเรื่องที่แม่กล่าวถึง จิระชอบกินขนมที่ร้านเป็นที่สุดยิ่งได้เฝ้าไร่คงจัดการไปหลายแล้ว
เช้าวันใหม่พุดชมพูปรับเปลี่ยนกฎการทำงานของคนในบ้านเป็นลายลักษณ์อักษร เธออยากให้ทุกคนมีหน้าที่ชัดเจน ทำงานกันให้คุ้มกับเงินเดือนและยังรวมไปถึงเจ้านายที่ต้องปรับตัวเองเสียใหม่ว่าหลังสองทุ่มจะไม่มีการเรียกตัวคนรับใช้คนใดออกมาทำงาน เรื่องนี้ทำเอาทิพนาถเต้นเป็นเจ้าเข้าเพราะเธอมักกลับดึก ยิ่งเลิกจากบ่อนก็อยากพักให้มีคนมานวดเนื้อตัวก่อนนอนบ้าง เมื่อรู้เรื่องก็รีบมาโวยวายกับหญิงสาวเจ้าของกฎทันที
“เธอจะมากไปแล้วนะยายพุด ยายบ้านนอก ทำอะไรถามฉันบ้างไหม อย่างน้อยฉันก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเธอ”
“ก็คุณไม่อยู่ให้ถามนี่คะ หรือว่าจะให้ฉันไปถามคุณถึงที่แต่ก็น่าจะบอกว่าไปไหนนะคะ” หญิงสาวไม่ได้ทำท่าทีหนักใจกับการกรีดร้องโวยวายของทิพนาถ
ทิพนาถหน้าเจื่อน “มันเรื่องของฉัน แล้วนี่อะไรให้หยุดวันอาทิตย์ จะบ้าหรือไงมีคนใช้ที่ไหนกันเขาหยุดวันนี้กัน แล้วฉันจะไปใช้ใครได้ละ นั่นมันวันพักผ่อนของฉันนะ”
“อ้าว ทีคุณนายยังอยากพักแล้วพวกคนงานละคะ ขนาดเครื่องจักรยังต้องพักแล้วคนจะไม่ได้พักบ้างหรือคะ คุณนายก็มีมือ มีเท้า ทำเองได้อยู่นะคะแค่วันเดียวเอง” พุดชมพูคิดอย่างนั้นจริง อย่างน้อยก็ให้คนงานพักบ้างทำงานกันเจ็ดวันแล้วจะมีเวลาที่ไหนไปทำอย่างอื่น นอกเสียจากลาหยุด ลาพัก อีกอย่างเธอเห็นว่ามีเด็กอายุน้อยหลายคนน่าจะมีโอกาสได้เรียนต่อ ถ้าได้หยุดเสาร์ อาทิตย์ก็คงได้เรียนภาคค่ำบ้าง
“เธอนี่ร้ายไม่เบา คิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้คนในบ้านสรรเสริญเธองั้นเหรอ เชิญหล่อนตามสบายเถอะ ฉันมันไม่มีปากมีเสียงนี่”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับคำส่งยิ้มหวานให้ ก่อนจะเปิดเอกสารตรงหน้าอ่านอีกครั้ง ไม่สนใจคุณนายทิพนาถอีก ปล่อยให้เธอไม่พอใจอยู่อย่างนั้น มันก็แค่การปรับตัวเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ทิพนาถมองพุดชมพูอย่างเข่นเขี้ยว หล่อนไม่รู้จักเจียมเนื้อ เจียมตัว ยังมีหน้ามาตั้งกฎบ้าบอนี้อีก คอยดูเถอะหากอนาวินทร์ได้ทุกอย่างเมื่อไหร่ เธอจะจัดการเอาคืนให้สาสม ตอนนี้ยังต้องยอมไปก่อน อำนาจและเงินมันอยู่ในมือของหล่อนแล้วนี่ จะทำอะไรกับเธอก็ได้ คิดดังนั้นก็หันหลังกลับ มือกำแน่นด้วยอารมณ์แค้นเคือง
หญิงสาวเงยหน้ามองตามหลังของทิพนาถไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าแม่ของเธอเป็นอย่างทิพนาถคงได้ปวดหัว มีหนี้สินไม่หมดไม่สิ้นแน่ๆ โชคดีเหลือเกินที่แม่ของเธอเป็นเหมือนต้นไทรมากกว่าจะเป็นต้นกาฝากที่คอยโอบอุ้มเธอ ไม่ใช่การรุมทึ้ง คิดไปก็แอบสงสารอนาวินทร์เช่นกัน มีแม่ก็เหมือนไม่มีแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาอยู่กับใคร ใครเป็นคนโอบกอดยามที่เจ็บปวดและสับสนในชีวิต บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของอารมณ์ร้ายๆ ของเขา หญิงสาวสรุปเรื่องในใจ
พุดชมพูโทรศัพท์หาช่อม่วงเพื่อให้เธอมาช่วยเป็นเลขาดูแลงานที่บริษัทสัตยา อย่างน้อยหากเธอไม่อยู่ที่นี่ก็มีช่อม่วงคอยดูแลให้เพื่อนเธอแม้จะไม่สนใจใคร่รู้เรื่องคนอื่น แต่ก็ทำงานเก่งมาก แถมสี่ตาที่อ่านแต่หนังสือนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเธอเป็นคนมองคนได้ทะลุปรุโปร่งแม้จะได้เจอเพียงไม่นานก็ตาม เมื่อปลายสายรับพร้อมกับกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงงัวเงียเต็มแก่
“เป็นอะไรฟังเสียงเหมือนเพิ่งตื่นนอนเลย” พุดชมพูทักเพื่อนสาว แน่นอนว่าหากเดาไม่ผิดคงดูละครเพลินจนดึกดื่น
“อืม ใช่เพิ่งตื่น” ช่อม่วงกล่าวยอมรับ “มีอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงเธอก็เหมือนมีเรื่องร้อนใจ” นักบัญชีสาวเอ่ยถามคืนนึกสงสัย
“อือ ร้อนมาก...เรื่องที่ฉันเคยไปถอนหายใจที่บ้านแกไง ฉันคงต้องเล่าเพราะมีเรื่องอยากให้แกช่วยหน่อยน่ะช่อ”
“อ้อ ทีอย่างนี้ละอยากเล่า ว่ามาเลยอยากรู้เต็มแก่แล้ว ว่าแต่ตอนนี้แกอยู่ไหนเหรอ”
“บ้านสัตยารักษ์ ไม่ไกลจากแกเท่าไหร่”
“เอางี้นะเจอกันที่ร้านกาแฟแถวนี้ละกัน คุยกันแบบเจอหน้ามันได้อารมณ์กว่านั่งคุยโทรศัพท์นะขอบอก” ช่อม่วงยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอน มือยังค้างโทรศัพท์แนบหู
“ก็ดีเหมือนกัน พออยู่ที่นี่แล้วรู้สึกว่าโลกมันแคบๆยังไงไม่รู้” พุดชมพูนึกอยากพูดให้ตัวเองขำแต่ไม่ยักรู้สึกตลกเลยสักนิด มันหดหู่พิกล
วางสายโทรศัพท์แล้วแต่หญิงสาวก็ยังคงถอนหายใจออกมา เธอคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะจัดการอนาวินทร์อย่างไร แม้ปากจะพูดให้คนอื่นวางใจ เธอเองต่างหากที่หาทางไม่ได้ คนแข็งกร้าว เอาแต่ใจ ปากร้าย มีดีก็แค่...หน้าตาดี ผิวพรรณขาวสะอาด ว่าก็ว่าเธอไม่เคยเห็นเขายิ้มเลยสักครั้ง ยิ้มที่มาจากใจจริง ๆ ไม่ใช่แค่ยิ้มเยาะเย้ย ถากถางคนอื่น ดูเหมือนเป็นคนไม่มีความสุขเอาเสียเลย แล้วคนรั้นแบบนี้เธอจะทำให้เขาหันมาปฏิบัติตามได้ง่ายๆหรือ...นอกเสียจาก...
เจ้าของไร่ดอกไม้ยิ้มกว้างเมื่อคิดแผนการบางอย่าง เธอต้องทำให้เขาก้าวขึ้นรถไปไร่อุ่นรักแบบเต็มใจให้จงได้!!
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 55 06:38:05
จากคุณ |
:
ดนตรีในสายลม
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ค. 55 15:25:49
|
|
|
|