Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 16 ติดต่อทีมงาน

มาแล้วครับ บทที่ 16 ลงก่อนวันเปิดเทอมหนึ่งวันครับ หลังจากนี้ อาจจะลงช้าบ้างนะครับ แต่จะพยายามลงให้ต่อเนื่องครับ

ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ คุณนุ้ย นารีจำศีล, ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, บทเพลงปีศาจ, แก้วกังไส, mimny, wor_lek, มานีโอลา, npuiy, กุหลาบมอญ, เรียวรุ้ง, เพชรรุ้งพราย, รพิชา,และคุณไก่ kdunagin ครับ

สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12089792/W12089792.html


บทที่ 16

 แสนมหา ศัสตราวุธ รุทธฤทธิ์
อาบยาพิษ พุ่งทำลาย ฝ่ายทหาร
วิเทหะ มุ่งมั่น ประจัญบาน
กลับแหลกลาญ ถูกพิฆาต อนาถใจ

  ทัพมนุษย์ ล้มหาย ลงตายดับ
ส่วนกองทัพ อมนุษย์ สุดยิ่งใหญ่
บุกตะลุย ด้วยมนตรา ฝ่าข้ามไป
ประชิดใกล้ กำแพง แห่งบุรี...


           ราวกับอยู่ในเหตุการณ์แห่งมหาสงครามโดยแท้ สัมผัสถึงฝุ่นแลผงคลีที่ปลิวว่อนฟุ้งกระจายขึ้นฟ้า มหาธุลีอันเกิดจากการเคลื่อนพหลสกลไกรของกองทัพสองนคร ต่างเคลื่อนพลยาตราทัพเข้าบีฑาห้ำหั่นกันเป็นโกลา เสียงขับช้างม้าอื้ออึงจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ฟากขวา ไพร่พลมนุษย์จากวิเทหะเรียงรายกันออกมาจากป้อมคูประตูเมือง ในขณะที่ฝั่งซ้าย คือกองทัพหุ่นพยนต์ซี่งมีรูปลักษณ์หน้าตาเหมือนกันทุกประการ พวกมันถูกกำหนดให้เคลื่อนตัวเข้าประจันบานโดยพร้อมเพรียง ต่างเรียงหน้าเป็นแผงกระดานแล้วบุกตะลุยตรงไปเบื้องหน้า


             กองทัพอมนุษย์ต่างถืออาวุธครบมือ ทุกขั้นตอนล้วนถูกสั่งให้สังหารฝูงมนุษย์จากวิเทหะที่ดาหน้ากันออกมาจากกำแพงประตูเมือง โดยมิได้มีท่าทีพรั่นพรึงใดๆทั้งสิ้น เพราะพวกมันไม่รู้จักความเจ็บปวด ไม่รู้จักความตาย!


             เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ดังระงมจากทหารหาญของวิเทหะที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนพวกไพร่พลที่เหลืออยู่ก็ยังยืนหยัดฝืนสู้แม้จะอยู่ในสภาพเพลี่ยงพล้ำสักเพียงใดก็ตาม เสียงศัสตราวุธที่ฟาดฟันลงกระทบร่างของพวกมัน บังเกิดเป็นประกายไฟแห่งโลหะดุจสายฟ้าแลบ หากหาได้ชำแรกลงสู่ผิวกายแล้วจักก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บเหมือนเรือนร่างของมนุษย์ทั่วไปไม่ ในขณะที่อาวุธจากกองทัพโรมพิสัย กลับพุ่งเสียบเข้าสู่อวัยวะของทหารวิเทหะครั้งแล้วครั้งเล่า คนแล้วคนเล่า หยาดสายโลหิตไหลพุ่งไม่ต่างกับการยุทธนากลางมหาสมุทรแห่งโลหิต


             มีเพียงชีวิตของชาววิเทหะเท่านั้นที่ทยอยล้มตายลงไปเรื่อยๆราวกับใบไม้ที่ถูกปลิดให้ร่วงลงจากต้น...


             ไกลสุดเหนือกูบช้างด้านบน บุรุษผู้หนึ่งแห่งโรมพิสัย ลูบปลายคางอย่างยิ้มกริ่มด้วยความมุ่งมาดในหัวใจ ด้วยกำลังมองเห็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแทบมือเอื้อมคว้า...


            สิงหเมฆินทร์ จอมราชันย์และจอมทัพแห่งโรมพิสัยนคร!!


           ภาพอันน่าสยดสยองเสมือนจริงนั้น ทำให้เศาร์ถึงกับตกตะลึงอยู่กับที่ แม้อนุสติจะย้ำเตือนให้รับรู้ว่าทุกอย่างถูกเสกสร้างขึ้นด้วยพลังของความคิดฝันก็ตาม และเขาก็เป็นเพียงผู้ร่วมชมเหตุการณ์ที่ดำเนินไปตามครรลองของมันเอง


              ชายหนุ่มเหลือบมองตัวหนังสือที่ผุดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าบนผืนกระดาษวางเปล่า มันดำเนินไปตามท้องเรื่องที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านี้ทุกประการ...


            แล้ว ศลภมาณพก็ปรากฏร่างขึ้น...


                บุรุษนักรบหุ่นพยนต์ที่เขาอุปโลกน์ขึ้นในโลกแห่งจินตนาการ ในท่ามกลางกองทัพหุ่นที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันไปหมด ร่างนั้นแทรกอยู่ระหว่างกลุ่มกองทัพที่โผนทะยานไปข้างหน้า ในสายตาแข็งกร้าวไร้ชีวิตของทหารยนตร์เหล่านั้น สายตาของศลภมาณพกลับทอประกายหม่นแสงด้วยความเวทนาอาดูร ปรากฏชัดเจน


                นี่คือหุ่นทหารเพียงผู้เดียวที่มิได้อยู่ในอาณัติของสิงหเมฆินทร์.... วูบนั้นในความคิดที่แล่นปราดไปพร้อมกับอักษรที่ผุดขึ้นบนแผ่นสมุดมหัศจรรย์ สิงหเมฆินทร์ราชันย์ผู้บัญชาการรบแห่งโรมพิสัย กลับเหลือบมาเห็นท่าทีอันแผกไปนั้นพอดี...


               ไม่! มันต้องไม่ใช่ ไม่...


                 เศาร์นึกในใจ ความคิดแรกถูกสร้างขึ้นไปแล้วเหมือนชนวนที่ถูกจุดเป็นประกายไฟ จากนั้น “ไฟ”แห่งความคิดก็จุดชนวนต่อเนื่องกันไปเองตามลำดับ


              รู้สึกเหมือนสมองตัวเองกำลังถูกแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกรับรู้ความเป็นตัวตนในโลกสมมติแห่งนี้ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งกลับไม่อาจบงการกำหนดอย่างที่ต้องการให้เป็นได้ และในขณะนี้มันก็กำลังดำเนินเรื่องไปในทิศทางของตัวเอง ทิศทางที่เขาก็ไม่อาจรับรู้


              แล้วเสียงของสิงหเมฆินทร์ ราชันย์นักรบชาวมนุษย์แห่งจินตภพ ก็กังวานขึ้นในสมรภูมิรบแห่งนั้น ราวกับจะหยุดทุกอย่างเอาไว้ในบัดดล

   เหวย ไฉน ไอ้ทหาร ผู้ผ่านกล้า
กลับทีท่า ประหลาดไป ให้ฉงน
เอ็งมิใช่ กองทัพ หุ่นพยนต์
มาเล่นกล ปลอมแปลง จำแลงกาย

 ฤาว่าเป็น ไส้ศึก นึกฉกาจ
จะเผลอพลาด ปล่อยไว้ อย่าได้หมาย
ราชันย์หนุ่ม มากเล่ห์ เพทุบาย
จึงกำจาย มนตร์เพรียก เรียกพยนต์

  แล้วโอมอ่าน อักขรา มนตราวุธ
อมนุษย์ ชะงักงัน การพหล
เข้าล้อมรอบ ศลภะ ณ บัดดล
ไม่อาจพ้น พันธนา มาจองจำ

   การยุทธนาสะดุดชะงักลงทันใด เมื่อหุ่นพยนต์ทุกตัวต่างหยุดนิ่งโดยประกาศิต เหมือนกลายเป็นหุ่นตุ๊กตาที่หมดลานไข และในชั่วเวลาต่อมาพวกมันต่างก็หันกลับมาแล้วเคลื่อนพลเข้าห้อมล้อมรอบหุ่นแห่งศลภมาณพ อันเป็นพวกเดียวกันกับตนไว้อย่างแน่นหนา ตามคำบัญชาของผู้เป็นนาย แล้วจึงหยุดนิ่งเพื่อรอรับคำสั่ง


       จากภาพมุมสูงเสมือนยืนอยู่เหนือเนินเขา เศาร์เพ่งมองภาพเบื้องหน้าด้วยอารมณ์ความรู้สึกว้าวุ่นใจเกินพรรณนา พยายามจะก้าวข้ามปราการที่มองไม่เห็นเพื่อผ่านเข้าสู่โลกสมมตินั้นเต็มตัวเต็มตน เพื่อช่วยเหลือ “ตัวละคร”สำคัญที่เขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไป


      แต่ก็ไม่อาจทำได้


            ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดให้เป็นไปตามบทบาทของตัวละครแต่ละตัวไปเสียแล้ว โดยที่เขาไม่ใช่ผู้เขียนมันขึ้นอีกต่อไป...


                แล้วจักทำฉันใด ในเมื่อศลภมาณพ คือตัวละครเอกในนิทานเรื่องนี้??

           **********************


            เขาตระหนักรู้ว่าตัวตน ย่อมคือ ศลภมาณพ ในระหว่างการยุทธนาตามคำบัญชาของผู้เป็นนายสิงหเมฆินทร์ ทว่าไฉนเขาจึงเกิด “ความรู้สึก” ผุดพลุ่งขึ้นมาในเวลาที่ควรจะสังหารเหล่าข้าศึกศัตรูพวกนั้นให้สิ้นซาก?


             คล้ายกับว่ามันเคยเกิดขึ้นมานานแสนนานก่อนหน้านี้ ในห้วงเวลาหนึ่งที่มืดสลัวเหมือนอยู่ท่ามกลางม่านหมอกแห่งความทรงจำ


           “ศลภมาณพ เจ้าต้องมีหัวใจแห่งมนุษย์ เช่นเดียวกัน ต้องมีหัวใจแห่งมนุษย์”


           คล้ายสดับเสียงกระซิบแผ่วเบาดังมาจากที่ใดที่หนึ่งอันอยู่นอกเหนือการรับรู้ เสียงอันเป็นเสมือนตัวตนคู่แฝดในมันสมองกล แต่กลับปลุกความแห้งแล้ง ไร้สิ้นความรู้สึกผิดชอบชั่วดีให้บังเกิดขึ้นเอง เหมือนเมล็ดพืชที่ถูกเก็บฝังเอาไว้ใต้ดิน ตราบจนได้รับการดน้ำบำรุง จนเริ่มแตกยอด เจริญงดงามขึ้นรับแสงตะวัน


              ฤาว่าเป็นเพราะเขาไม่ใช่กองทัพทหารที่ไร้สิ้นความเมตตาเช่นนั้น แม้ไม่ได้รับรู้ถึงลมหายใจ หรือแม้แต่การเต้นของหัวใจภายในร่างกายตน รับรู้แต่เพียงชื่อที่ปรากฏขึ้นในความทรงจำอันปราศจากที่มาว่า ศลภมาณพ เพียงอย่างเดียวก็ตาม


             นักรบแห่งกองทัพโรมพิสัย ผู้มีหน้าที่ฆ่าฟันศัตรูตามคำสั่งของสิงหเมฆินทร์ผู้เป็นนายเท่านั้น!


              แต่ทำไมเขากลับทำไม่ได้ อาวุธที่ถืออยู่ในกำมือเฉกเช่นเดียวกับพรรคพวกทหารหุ่นพยนต์ กลับเงื้อค้าง เมื่อเห็นนัยน์ตาหวาดกลัวต่อมฤตยู ร่างกายสั่นสะท้านคุดคู้อยู่เบื้องหน้า ในยามที่ชาวมนุษย์เหล่านั้นตกอยู่ในสภาพเพลี่ยงพล้ำ หมดหนทางสู้


              เขาเห็นน้ำตาของคนเหล่านั้น น้ำตาที่ไหลออกมาจากความหวาดกลัวสุดชีวิต มีอะไรบางอย่างในสายตาของมนุษย์ที่เขาไม่มี และไม่เคยรู้จัก


               ด้วยลักษณาการที่แผกจากทหารหุ่นพยนต์ ศลภมาณพรู้ดีว่าย่อมไม่รอดพ้นจากสายตาของผู้เป็นนายได้เด็ดขาด หากเขาก็ยังยืนนิ่ง ปล่อยให้ศัตรูคลานกระ:-)กระสนผ่านหน้าตนเองออกไป ก่อนที่ทหารหุ่นพยนต์อีกตนหนึ่งจะกรากเข้ามา และใช้ดาบในมือของมันฟันร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของทหารมนุษย์นายนั้น จนขาดใจตาย!


              รู้สึกเหมือนมีความโศกศัลย์ หดหู่ปรากฏขึ้นพร้อมกัน เมื่อได้มองเห็นการบดขยี้ฆ่าฟันมวลมนุษย์เบื้องหน้า เสียงกรีดร้อง และเลือดที่หลั่งชโลมรินทั่วผืนปฐพี แทนที่จะสร้างความฮึกเหิม ลำพองใจ เขากลับนิ่งงัน ครุ่นคิด


              ครุ่นคิด? คำนั้นไม่น่าจะเกิดกับเขา ผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับมวลสมาชิก นักรบหุ่นพยนต์ที่ต้องไม่มีหัวใจ หรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีใดๆทั้งสิ้น


              ทำไม?


              “จงตอบออกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าหุ่นพยนต์ผู้กบฏ เจ้ามีนามกรว่ากระไร?”


              เสียงที่เปล่งออกมาด้วยพลังอำนาจสะเทื้อนสะท้านพสุธา ทำให้เขาต้องเดินก้าวผ่านกลุ่มทหารหุ่นพวกนั้น ที่ต่างหลีกทางเป็นช่องกว้างให้ แล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าอาชาสีดำสนิท ที่ผู้เป็นนายทรงกายอยู่ด้านบน


                เขาก้มลงแสดงการคารวะ ในรูปแบบที่ถูกกำหนดมาโดยตลอดนั้น เข่าทั้งสองคุกก้มลงและศีรษะแทบจะจรดหัวเข่าที่ชันขึ้น


            “ข้ามีนามว่า ศลภมาณพ!!”


              เฟี้ยววววววว


              เสียงวัตถุบางอย่างกรีดวาบผ่านผืนอากาศดังเสียจนน่าสยดสยอง เพียงพริบตาเมื่อเห็นมันพุ่งปราดลงมาราวกับสายฟ้า ปลายแหลมคมของสายแส้ในมือสิงหเมฆินทร์ตวัดวูบหงิกงอไม่ต่างกับหัตถ์มหากาฬ วูบเดียวเท่านั้นที่ประกายตาของศลภมาณพมองเห็น จากนั้นนัยน์ตาข้างหนึ่งก็ดับวูบลงในทันที


              ลูกนัยน์ตาข้างหนึ่งหลุดติดปลายแส้ของสิงหเมฆินทร์ออกไปด้วย!


              “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการทอดสายตามองภาพเบื้องหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องมีนัยน์ตาเอาไว้มองสิ่งใดอีกต่อไปด้วยเช่นกัน”


                ร่างบนอาชาสั่นน้อยๆด้วยแรงโทสะ การลงโทษมิอาจทำได้กับหุ่นที่ไร้ความเจ็บปวดเช่นพวกมัน สิงหเมฆินทร์จึงตัดสินใจตวัดเอานัยน์ตาข้างหนึ่งของมันออกมาแทน และตั้งใจว่าจะลงมืออีกครั้งกับนัยน์ตาข้างที่เหลือ ก่อนจะปล่อยให้มันเป็นหุ่นพยนต์ร่อนเร่ที่ไม่มีความสามารถใดๆเหลือพอที่จะเป็นอันตรายต่อไปได้อีก


                คุณค่าของมันก็คงจะไม่ต่างกับเศษโลหะเหลือใช้ที่ไม่มีผู้ใดต้องการ


              เหมือนกับ...


              ความคิดจอมราชย์แห่งโรมพิสัยหยุดชะงักสะดุดงัน จนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาวะปกติ มันทอดสายตามองร่างคุดคู้ของหุ่นพยนต์ที่ตนเองผูกขึ้นมากับมือด้วยความแค้นจนแทบกระอักเลือด


               สิงหเมฆินทร์จึงเงื้อมือขึ้นอีกครั้งเพื่อเตรียมตวัดปลายแส้มรณะขึ้น เสียงปลายแส้ตวัดวาดกรีดผ่านอากาศไปด้านหลัง เพื่อส่งแรงดีดกลับลงมายังร่างหุ่นพยนต์แห่งศลภมาณพ ที่คู้กายรอคอยโทษทัณฑ์อยู่เบื้องหน้า


             หากเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน...


           “ท่านสิงหเมฆินทร์! บน ...บนเชิงเทินนั่น”


                นายทหารมนุษย์กลุ่มหนึ่งผู้ติดตามมาต่างโห่ร้องตะโกนขึ้น ด้วยความปรีดา พร้อมกับเสียงกระหึ่มของกองทัพ สิงหเมฆินทร์ชะงักแล้วหันไปตามเสียงของอีกฝ่าย เมื่อนั้นเองจอมทัพแห่งโรมพิสัยจึงมองเห็นผืนธวัชโบกสะบัดขึ้นเหนือป้อมเชิงเทินของวิเทหะ โดยพร้อมเพรียงกัน


                และทั่วทั้งผืนแห่งทิวธวัชปรากฏเป็นสีขาวโพลนโดดเด่นกลางแสงตะวัน!!

            ********************


    เห็นกองทัพ นับอนันต์ เข้าหั่นเหี้ยน
หทัยเจียน ดับดิ้น แทบสิ้นหวัง
พรหมทัต องค์ท้าว เจ้าเวียงวัง
จึงรับสั่ง ด้วยโศกา ยอมปราชัย

 กระบวนทัพ โรมพิสัย ครรไลล่วง
ยิ่งเป็นห่วง ธิดาน้อย ละห้อยไห้
หากเพื่อราษฏร์ อยู่รอด และปลอดภัย
ภูวไนย ยอมสละ ละบัลลังก์



          “มณีเรขาลูกพ่อ...”


          “เพคะ เสด็จพ่อ”


             เจ้าหญิงผู้เป็นดังดวงหฤทัยประทับเคียงบาท ในขณะที่พระนางผกามาศผู้เป็นอัครมเหสี ประทับกรรแสงด้วยความโศกกำสรดต่อการปราชัยในครั้งนี้


             หัตถ์สั่นสะท้านขณะแตะปลายหนุของเจ้าหญิงพระองค์น้อย ผู้เลอเลิศด้วยรูปโฉมอันเลื่องลือไปทั่วทุกแว่นแคว้น นี่กระมังที่ทำให้สิงหเมฆินทร์ถึงกับลงทุนระดมไพร่พลของพวกมันเข้าเข่นขยี้บีฑากองทัพวิเทหะของพระองค์ นอกเหนือจากการเข้ายึดครองนครเป็นอาณัติ ขยายแสนยานุภาพของโรมพิสัย


            แลเป้าหมายสำคัญอีกปรารถนาอีกประการหนึ่ง ก็คือองค์เจ้าหญิงแสนโสภาพระองค์นี้นั่นเอง!!


             “หม่อมฉันจะไม่ยอมให้ พวกโรมพิสัยทำอะไรพวกเราได้ดอกเพคะ เสด็จพ่อ”


                 “ลูกหญิง... เจ้าเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆเท่านั้น ไหนจะหาญสู้กับพลทหารกองทัพหุ่นพยนต์ของสิงหเมฆินทร์ ที่โหดเหี้ยมอำมหิต และไม่รู้จักความตายได้เล่า?”


                  ในหยาดอัสสุชลอาบปรางอันระยิบระยับราวเกล็ดแก้ว กลับสะท้อนประกายเด็ดเดี่ยวแห่งพระทัยเจ้าหญิงมณีเรขาได้ชัดเจนยิ่ง และยิ่งยามเกล็ดเพชรรัตน์นั้นไหลรินลงกระทบพื้นพสุธา กลับปรากฏเป็นหยาดไข่มุกสีขาวพิสุทธิ์กรูกราวกระทบพื้น เป็นที่น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก

   ถือกำเนิด เกิดมา โสภาพักตร์
หากนงลักษณ์ ยิ่งประเสริฐ เลิศเรขา
น้ำพระเนตร หยาดลง จากองค์มา
กลับแปรค่า เป็นมุกงาม อร่ามเมือง!!

    “แต่ลูกคิดว่าจะต้องมีวิธี...”


               ท้าวพรหมทัตทรงขมวดขนงอันขาวโพลนด้วยความสนเทห์พระทัย มิเคยตามทันพระทัยพระธิดาผู้เป็นยอดดวงหทัยและเปรื่องปราดผู้นี้ได้เลย


            “ในเมื่อสิงหเมฆินทร์ใช้กำลังอันแข็งแกร่งของพวกมัน เข้าทำลายวิเทหะ ลูกก็จะใช้คุณสมบัติที่พวกมันทั้งหลายไม่เคยมีนั่นแหละเพคะ เข้าต่อสู้ด้วย”


              “เจ้าหมายถึงสิ่งใดกันหรือ มณีเรขา?”


              “ความเป็นอิตถีเพศของหม่อมฉันนี่แหละเพคะ ที่จะใช้ในการทำลายพวกมัน ทั้งสิงหเมฆินทร์ และโรมพิสัยทั้งปวง!”


          ************************


                  หลังสายวิสูตรโปร่งบางที่ขมวดร้อยโยงเข้าหากันด้วยสายอัญมณีหลากสีสันแพรวพราย และปล่อยชายบางส่วนเป็นเชิงชั้นลดหลั่นงามตา ในสายม่านอันบางเบาแผ่วพลิ้วกลับไม่มีผู้ใดสังเกตถึงสตรีอีกผู้หนึ่งที่ประทับนั่งอยู่ด้านหลัง นางผู้มิได้มีท่าทีหวั่นวิตกใดๆทั้งสิ้นต่อชะตากรรมที่กำลังจะบังเกิดแก่ชาววิเทหะทั้งปวง


              วงพักตร์ที่ควรจะงดงามอ่อนหวานเฉกมณีเรขา กลับเรียบเฉยไร้รอยแย้มสรวลเสมือนสวมทับไว้ด้วยหน้ากาก ในยามที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น หัตถ์ผอมบางเผลอขยุ้มชายวิสูตรแนบแน่น ระหว่างลอบฟังการเจรจาพาทีของเจ้าหญิงมณีเรขาอย่างจดจ่อ


                นางคือเจ้าหญิงกำพร้าผู้ถือกำเนิดจากพระสนมเอกผู้วายชนม์ หากก็ได้รับการสถาปนาขึ้น มีบรรดาศักดิ์เป็นตำแหน่งเจ้าหญิงทัดเทียมกับมณีเรขามิได้แผกผิดกัน


               นั่นคือองค์เจ้าหญิงหิรัญรัศมี แห่งวิเทหนคร!!


                ราชนารีผู้ทรงศักดิ์และฐานันดรแห่งสตรีผู้สูงส่งแห่งวิเทหะ หากต้องคอยก้มกราบประณมกร ไม่ต่างกับเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของเจ้าหญิงผู้เลอโฉมพระองค์นั้น หิรัญรัศมีจำต้องกล้ำกลืนฝืนพระทัย ข่มความน้อยเนื้อต่ำพระทัยไว้ตลอดเวลา ภายใต้ฉาบหน้าแห่งอาการแย้มยิ้มยินดี หากภายในหฤทัยกลับเต็มเปี่ยมด้วยเปลวเพลิงอันร้อนระอุและพร้อมจะลุกไหม้ได้ตลอดเวลา


                 “เจ้าหญิงมณีเรขาช่างทรงโฉมพิลาสนัก”


               เสียงแซ่ซร้องสรรเสริญของมวลประชายามเมื่อเข้าเฝ้า หากมิเคยเอ่ยถึงอีกนางหนึ่งที่เสด็จประทับเคียงข้างกันเลยแม้แต่น้อย เจ้าหญิงพระองค์นั้นก็ช่างอ่อนโยนด้วยอัธยาศัยไมตรีจนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน จะมีเหลียวแลมายังหิรัญรัศมีบ้าง ก็เพียงน้อยนิด แต่นางก็ยังแสร้งฝืนกล่าวถ้อยเชิดชูพระเกียรติยศ เสมือนร่วมปลื้มปิติไปกับพวกมันเหล่านั้น


               ความคิดของเจ้าหญิงกำพร้าสะดุดลง เมื่อนายทหารแห่งวิเทหะถวายการคำนับแล้วกราบทูลถึงการมาถึงของผู้นำทัพแห่งโรมพิสัยนคร


               หากยังมิทันได้ตรัสอนุญาตอันใด บานพระทวารที่เปิดแง้มเอาไว้ก็ถูกผลักเข้ามาจนบานทวารไม้กระแทกกับผนังศิลาเกิดเสียงสนั่น


             ก่อนที่ร่างสูงตระหง่านของหัวหน้านักรบหุ่นพยนต์นามสิงหเมฆินทร์จะก้าวตรงเข้ามาอย่างถือวิสาสะเต็มที่


              “เจ้า...”


             “พรหมทัต ข้าสิงหเมฆินทร์ยินดีที่ได้รู้จัก...”


              เสียงห้าวกังวานด้วยพลังดังออกมาจากเรือนร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่น ใบหน้าตอบคล้ำและมีรอยบากพาดอยู่ข้างแก้ม เป็นรอยสีเข้มชัดเจน ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูน่าพรั่นสะพรึงมากยิ่งขึ้น


             จอมราชย์แห่งโรมพิสัยแทบจะกลั้นเสียงหัวเราะอย่างพึงใจมิได้ เมื่อเห็นองค์ประมุขกับอัครมเหสี มีพระวรกายสั่นสะท้านอยู่บนบัลลังก์ ท่ามกลางเสนามาตย์ข้าราชบริพารที่มีท่าทีหวาดหวั่น มันก็คงจะเหมือนกันหมด ไม่ต่างกับบ้านเมืองไหนที่มันเคยประสบชัยชนะมาแล้ว กษัตริย์พวกนั้นต่างยอมศิโรราบ และยอมยกนคราให้ขึ้นตรงในอาณัติกับโรมพิสัย ขยายขอบเขตแห่งราชอาณาจักรให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆทุกขณะ และชื่อเสียงของจอมทัพราชันย์แห่งโรมพิสัย ก็เลื่องลือ เป็นที่คร้ามเกรงไปทั่วทั้งปฐพี ยิ่งในยามที่พวกมันล่วงรู้ว่าโรมพิสัยจะยาตราทัพไปยังทิศทางใด


               สิงหเมฆินทร์กระหยิ่มยิ้มย่อง แท้จริงมันเป็นแรงผลักดันที่ต้องการได้รับการยอมรับในแสนยานุภาพของตนเอง สิงหเมฆินทร์ผู้ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์โรมพิสัย จากเพียงสามัญชนผู้ต่ำต้อย อาศัยความห้าวหาญและจิตใจอำมหิตเด็ดขาดกรุยเส้นทางสู่ราชบัลลังก์โรมพิสัยโดยการรวบรวมสมัครพรรคพวกเข้าปลงพระชนม์กษัตริย์พระองค์เดิมผู้อ่อนแอ แลตั้งตนขึ้นเป็นราชันย์


            ความสามารถในมนตรา ทำให้มันแทบไม่ต้องอาศัยกองทัพจากมนุษย์ หากใช้วิธีการผูกหุ่นพยนต์ขึ้น แล้วบงการให้ทหารอมนุษย์เหล่านั้นออกสู้รบทดแทน


           บัดนี้ เหลือเพียงวิเทหนคราเท่านั้นที่ยังเป็นอิสระจากการปกครอง และมันก็สามารถกระทำได้สำเร็จแล้ว


           อีกไม่นานพระราชาผู้อ่อนแอผู้นี้แหละ จะถูกสังเวยด้วยการถูกบั่นพระเศียร เพื่อข่มขวัญ   ราษฎรวิเทหะมิให้มีผู้ใดคิดกล้ากำแหงหาญอีกต่อไป


          สายตาของมันไล่จากร่างของจอมกษัตริย์ลงมาจากบัลลังก์ สู่อีกร่างหนึ่งที่ประทับเยื้องลำดับลงมา ร่างน้อยที่กำลังผินพักตร์ช้าๆตรงมาสบสายตากับมัน โดยมิได้เบนหลบเฉกทุกผู้ในท้องพระโรงแห่งนั้น


            ไม่ต่างกับสายฟ้าฟาดลงมากลางดวงหทัย สิงหเมฆินทร์ไม่เคยคาดคิดว่าตนเองจะต้องยอมศิโรราบให้แก่ผู้ใดในผืนพิภพ หากนางผู้นี้ผู้เดียว เมื่อมันได้มองเห็นเป็นคราแรก จอมราชันย์หนุ่มผู้เกรียงไกรและอำมหิตก็รู้ว่าตนเองได้กลับกลายเป็นผู้พ่ายไปเสียแล้ว...

    เพียงสบเนตร นิลมณี ณ ที่นั้น
ทุกสิ่งพลัน เลือนสลาย คล้ายดังฝัน
เหลือเพียงร่าง โสภา วิลาวัณย์
จำหลักพลัน กลางใจ ไม่คลายคลอน

    ถึงห้าวหาญ ปานใด ในพิภพ
หยุดสยบ หนึ่งนุช สุดถ่ายถอน
ราวต้องมนตร์ ดลใจ ให้ร้าวรอน
ถูกคมศร พระอนงค์ พุ่งตรงทรวง!


            “ข้าคือมณีเรขา พระธิดาขององค์พรหมทัต”


              และนางผู้นั้นก็กล่าววาจาขึ้นในท่ามกลางมหาสมาคม ด้วยสุรเสียงอันไพเราะกังวานประหนึ่งเสียงแห่งนกโกกิลายามอุษาโยคเยือนฟ้า...

                      ************************
ปล. บทนี้ กลอนจะเยอะหน่อยครับ เพราะกลอนเป็นตัวเดินเรื่องในช่วงนี้ครับ อีกไม่กี่บท จะผ่านโหมดนี้ไปแล้วครับ

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 55 18:34:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com