บทที่ ๔ จุดอ่อนของ...ใคร
บรรยากาศในร้านกาแฟที่ช่อม่วงนัดหมายเพื่อนรักไว้นั้นทำเอา เธอต้องรีบคว้าหนังสือนิยายที่ติดมือนำออกมาเปิดอ่านรอ เธอเป็นคนติดหนังสือมาตั้งแต่เด็กไม่เหมือนพุดชมพูหรือจิระที่ออกเที่ยวเล่นไปทั่ว เล่นแผลงๆ ก็เยอะ แต่เธอค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวแต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังดึงให้เธอต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายด้วยเสมอ ซึ่งก็คงอาจจะต้องรวมเรื่องวันนี้อีกหนึ่งเรื่อง
“โอ้โห คุณเธอปล่อยให้ว่างไม่ได้เลยเชียวเป็นต้องหยิบขึ้นมาอ่าน” พุดชมพูกล่าวแซวเพื่อนสาวเมื่อเห็น ช่อม่วงไม่ได้สนใจยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
“อ้าว มาแล้วเหรอ นึกว่าจะใช้เวลาเดินทางนานเสียอีก” คนอ่านหนังสือไม่วางตานั้นกล่าวถาม
“ก็ไม่ได้ไกลมากนี่ สั่งอะไรกินบ้างหรือยังละ หิวนะเนี่ย” เจ้าของไร่ดอกไม่บ่น สีหน้าบ่งบอกความหิวเต็มที่
“บ้านโน้นเขาไม่เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำแกหรือพุด”
“ฉันสงสารคนในบ้านน่ะเลยบอกว่ากินแล้ว กลัวเห็นหน้าฉันแล้วพวกคุณชายจะกลืนข้าวไม่ลง” หญิงสาวพูดตามที่คิดจริง ๆ เธอเจอเหตุการณ์ข้าวคลุกน้ำเปล่าแล้วก็คิดว่าคงดีหากเลี่ยงที่จะไม่มีเรื่อง
“ใจบุญดีจริงแม่คุณ สั่งขนมกับน้ำมาเลยสิ” ช่อม่วงแขวะ สาวห้าวไม่ได้สนใจหันไปสั่งขนมและเครื่องดื่มแบบเอาอิ่ม ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนรักเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
“เรื่องที่ฉันอยากให้แกช่วยก็คือ เข้าไปทำงานเป็นเลขาฉันที่บริษัทสัตยา” พุดชมพูเริ่มเรื่องทันทีที่ขนมเข้าปาก
“อะไรนะ ฉันเป็นนักตรวจสอบบัญชีก็ดีอยู่แล้ว ไม่อยากยุ่งยาก”
“ช่วยเพื่อนหน่อยนะ แค่ปีเดียวเท่านั้นเอง” พุดชมพูทำน้ำเสียงออดอ้อน ช่อม่วงได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่ายทั้งที่ใจจริงแล้วนึกสงสารเพื่อนเช่นกัน
“นะช่อ ฉันจ้างแกมากกว่าที่แกจะได้จากการตรวจสอบบัญชีอีกนะ เงินนี่ก็เป็นรายเดือนด้วยแกจะได้ซื้อนิยายเดือนหนึ่งๆก็ตกไปหลายสิบเล่มอยู่นา” พุดชมพูเอาเรื่องที่เพื่อนสาวชอบเข้าล่อ แน่นอนเธอได้เห็นสายตาลังเลขึ้นมาในทันที ชีวิตของช่อม่วงไม่มีอะไรที่เธอชื่นชอบมากไปกว่าการได้อ่านนิยายดี ๆ ดูละครที่ชื่นชอบ
“แกนี่รู้จักพูดนะ ถ้าแกแถมหนังสือของนักเขียนที่ฉันชอบพร้อมลายเซ็นได้ฉันจะยอมเลย” ช่อม่วงตั้งข้อแม้ที่รู้ว่าง่ายแต่สำหรับชาวไร่อย่างพุดชมพูแล้วก็คงยากอยู่เช่นกัน
“จริงเหรอ แกยอมแน่นะ ห้ามเบี้ยวด้วย” น้ำเสียงออกตื่นเต้นทันทีที่ได้ยินข้อแม้
“แล้วแกจะหามาได้ยังไงไอ้พุด พูดเหมือนตัวเองทำได้” ช่อม่วงไม่ค่อยอยากเชื่อนัก
“เรื่องแค่นี้เอง ฉันมีคุณทนายซะอย่าง เอ..เขาเหมือนอะไรนะ...อ๋อ...โนบิตะทายาทโดราเอมอน”
ช่อม่วงขมวดคิ้วกับฉายาที่ได้ยิน “อะไรของแกวะพุด โนบิตะทายาทโดราเอมอน?”
“ก็...คุณทนายที่ทำงานให้ปู่เล็กน่ะ เขาใส่แว่น หน้าก็ตี๋ๆเหมือนโนบิตะ แต่เขาเหมือนโดราเอม่อนด้วยไง อยากได้อะไรก็บอกเขา เขาจัดการให้ทันทีเลย” หญิงสาวหัวเราะตบท้ายเมื่อนึกถึงหน้าของทนายหนุ่ม
“ดีจริงนะคนรวยเนี่ย อยากได้อะไร อยากทำอะไรก็มีคนรองมือรองเท้า โอเคฉันไม่เบี้ยวแกหรอก”
พุดชมพูยิ้มกว้างเมื่อเพื่อนยอมช่วย รู้ว่าเรื่องขอร้องช่อม่วงไม่ใช่ปัญหาของเธอหรอก
อนาวินทร์เดินออกมาหาน้ำดื่มในครัวก็เจอกระดาษที่ติดไว้บอกเรื่องกฎของบ้านทำให้ชายหนุ่มยิ้มเยาะ นี่เธอเล่นตั้งกฎเลยหรือ ที่บ้านไม่มีใครยอมเชื่อฟังเธอหรือยังไงทำไมถึงได้มาเล่นสร้างกฎบ้าบอที่บ้านคนอื่น
“ยายพุดเน่านั่นทำกฎนี้เองหรือครับป้านุ่ม”
“ค่ะใช่ เธอบอกว่าอยากให้คนงานในบ้านได้พักบ้าง อย่างน้อยหามีธุระก็จะได้ไม่ต้องลากิจบ่อยๆ” รอยยิ้มของป้านุ่มทำให้อนาวินทร์ต้องขมวดคิ้วแปลกใจ
เขาไม่เคยคิดเรื่องการหยุดงาน หรือ เรื่องพักผ่อนของคนงานในบ้านเลย เรื่องลากิจนี่ก็เช่นกัน ผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรจุกจิกแต่มันก็เป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึง
“อย่าไปเชื่อให้มากเลยตาวิน หล่อนคงอยากสร้างพรรคพวกในบ้านมากกว่า ผู้หญิงหน้าเงินแบบนั้นจะคิดเอื้อเฟื้อคนอื่นจริง ๆหรือไง คนไม่เคยมีพอมีเข้าหน่อยก็วางก้ามใหญ่โต ดูสิหายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่บ่าย กินข้าวก็ไม่มาปล่อยให้แม่นั่งรอ คนดีมีมารยาทที่ไหนเขาทำกันบ้าง :-)สิไม่ว่า” ทิพนาถเอ่ยตัดบทขึ้นมาเกรงว่าอนาวินทร์จะเข้าไจเหมือนอย่างที่แม่บ้านบอก
“ผมยังสงสัยว่าทำไมปู่ถึงได้ให้ยายนี่มาสร้างปัญหาที่บ้านเราได้ ผมไม่เข้าใจจริงๆ”
“วิน...จริงๆ แม่ก็ไม่อยากให้ลูกคิดมากนักหรอก แต่ปู่ไม่ชอบแม่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะทำอะไรก็ดูขัดหูขัดตาท่านไปหมด เรื่องมันคงเป็นเพราะแม่เอง แม่เสียใจ แม่ต้องขอโทษลูกแม่ด้วยนะ” คุณนายกรีดน้ำตาที่เพิ่งเล็ดออกมาเพียงเล็กน้อยออก หน้าเศร้าสร้อยนั้นทำให้อนาวินทร์ถอนหายใจ
“ช่างมันเถอะครับแม่ เรื่องมันผ่านไปแล้ว คิดเรื่องปัจจุบันนี้ดีกว่าว่าจะจัดการยังไงกับยายพุดนี่ดี”
“แม่ว่าลูกทำตามที่หล่อนบอกไปก่อนละกัน ส่วนเรื่องอื่นแม่จะให้กรช่วยอีกแรง เราต้องดูก่อนว่ามันมาไม้ไหน”
อนาวินทร์พยักหน้ารับ เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรกับเขาบ้าง เธอมีแผนอะไรกันแน่?
นางนุ่มได้แต่มองแม่ลูกด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เธอเลี้ยงอนาวินทร์มาตั้งแต่เด็ก แม้เขาจะดูแข็งกร้าวแต่ก็แฝงความอ่อนโยนไว้ภายใน ถ้าคนที่มองแค่ภายนอกจะมองว่าเขาร้ายกาจแต่สำหรับแม่บ้านแก่ๆ อย่างเธอ เขาคือเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนแต่พูดไม่เป็น แสดงออกไม่เก่งนอกจากทำอะไรตรงๆ โผงผาง ทิพนาถผู้เป็นแม่ไม่เคยดูแลมากไปกว่าการจัดฉากให้สามีและพ่อสามีดูเท่านั้นเอง เด็กชายอนาวินทร์จึงมีปมด้อย เรื่องความอบอุ่นที่ไม่เคยได้ ความเหงาที่เกาะกินหัวใจของเขามาโดยตลอด คุณนายทิพนาถจะเข้ามาดูแลเอาใจใส่ลูกชายก็ต่อเมื่อมีผลประโยชน์เท่านั้นเอง
ช่อม่วงลากเพื่อนสาวไปเดินห้างเพื่อซื้อเสื้อผ้าดีๆไว้ใส่ไปทำงาน เธอไม่อยากเห็นเพื่อนรักแต่งตัวซอมซ่อให้คนในบริษัทเห็น ทั้งคู่ไปหยุดพักที่ร้านหนังสือในห้าง
เจ้าของไร่ดอกไม้สั่งกาแฟนั่งรอระหว่างช่อม่วงเลือกหนังสือ หญิงสาวโทรศัพท์หาทนายทรงรบเพื่อบอกข่าวอีกทั้งเรื่องข้อแม้ของเพื่อนอีกอย่าง เสียงรับโทรศัพท์ของทรงรบค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์เขาจะทักทายก่อนแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรน้ำเสียงทุ้มเป็นทางการ ดูน่าเชื่อถือ
“สวัสดีครับ ผมทรงรบพูดครับ” นี่คือประโยคประจำของชายหนุ่ม
“สวัสดีค่ะ พุดเองนะคะคุณทนาย พอดีมีข่าวเรื่องเลขาของพุดแล้วนะคะ ช่อยอมช่วยแต่ว่าเธอขอหนังสือนิยายที่ชอบพร้อมลายเซ็นของนักเขียนค่ะ”
“ได้ครับผมจัดการให้ คุณพุดบอกชื่อนักเขียนกับชื่อหนังสือมาเลยครับ” คำตอบรับของทรงรบทำเอาหญิงสาวค่อนข้างทึ่งแม้เธอจะเชื่อว่าเขาทำได้แต่ไม่คิดว่าจะตอบรับด้วยน้ำเสียงธรรมดาแบบนี้
“คุณทนายทำได้จริงๆ หรือคะ”
“เรื่องแค่นี้ไม่ยากหรอกครับ ง่ายเกินไปด้วยซ้ำสมัยนี้เทคโนโลยีมันไปไกลแล้ว อีกอย่างผมก็รู้จักนักเขียนหลายคนอยู่แล้วด้วยไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยครับ”
หญิงสาวบอกชื่อนักเขียนที่เพื่อนรักชื่นชอบไปพร้อมกับชื่อหนังสือ “โชคดีเหมือนกันนะครับ เขาเป็นเพื่อนผมเอง เดี๋ยวผมจัดการให้ทันทีเลยครับ”
“คุณทนายมารู้จักกับช่อม่วงก่อนดีไหมคะ ตอนนี้เราอยู่กันในห้าง”
“ครับ งั้นรอสักครึ่งชั่วโมงนะครับ เดี๋ยวผมไป”
“ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ”
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณพุดครับ” ทรงรบหมายความอย่างนั้นจริงๆ โชคดีเหลือเกินที่หญิงสาวยอมช่วยเหลือ การรับมือกับอนาวินทร์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หญิงสาวอมยิ้มกับโทรศัพท์เธอชอบนิสัยแบบนี้ของทนายทรงรบ เขาดูเป็นคนจริงจังก็จริงแต่ก็ดูเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็คมากสำหรับสาว ๆ
“เป็นอะไรพุด ยิ้มกับโทรศัพท์แปลกจริง” ช่อม่วงทักเพื่อนสาวเมื่อเห็นเธอยิ้มกับโทรศัพท์ดูท่าทีแปลกๆ
“อ๋อ เพิ่งโทร.บอกคุณทนายน่ะ เขาบอกว่าจะมาที่นี่ ยังไงแกก็เลือกหนังสือรอหน่อยละกัน”
“อะไรนะ จะมาทำไมละ” คนใส่แว่นทำหน้ามุ่ย
“ฉันอยากให้แกรู้จักกับเขาหน่อย ยังไงต่อไปก็ต้องร่วมงานกันไง”
“หา? ไม่ได้นะ ไม่ได้แกดูสภาพฉันสิ เสียภาพพจน์หมด” ช่อม่วงบ่น เธอแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่กับกางเกงขาสามส่วน รองเท้าแตะเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอใครพิเศษ
“กังวลทำไมฉันไม่ได้ให้แกมาดูตัวเสียหน่อย คุณทนายเขาไม่ถือหรอก ขนาดฉันแต่งตัวสุดซอมซ่อเขาก็ยังทำเหมือนฉันเป็นเจ้านายเขาเลย ให้เกียรติมากๆ หายากนะผู้ชายแบบนี้ผิดกับคุณชายหน้าบูดนั่น คนละโลกเลยเชียว”
“แกบ่นให้เขาทำไม คุณชายที่แกว่าฉันว่าเขาก็หล่อดีออก เคยเห็นในนิตยสารหลายฉบับ พวกถ่ายไฮโซน่ะ ฉันว่าหล่อใส คมคาย ไปอีกแบบ”
“เดี๋ยวแกจะได้รู้ว่าหล่อใสของแกน่ะ มันน่าประทับใจขนาดไหน เฮ่อๆ” พุดชมพูหัวเราะตบท้ายเหมือนขมขื่นมากกว่าจะชื่นชมอย่างที่เพื่อนกล่าวให้เธอได้ยิน
“คนเรามันร้ายๆ ยังไงมันก็ต้องมีดีบ้างละ ไม่มีใครเลวอย่างเดียวหรือดีอย่างเดียวหรอก” ช่อม่วงกล่าว ทำให้เจ้าของไร่ดอกไม้คิดตาม
“นั่นสินะ หวังว่านายอนาวินทร์จะมีส่วนดีติดชีวิตบ้าง ฉันจะได้ไม่เหนื่อยมาก” พุดชมพูพ้อในท้ายประโยค ใจจริงเธอก็รู้สึกเห็นใจอนาวินทร์เช่นกัน ถ้าอยู่ดีๆ ก็มีคนมาบังคับให้ทำโน่นนี่โดยเอาสมบัติที่เป็นของเขาอยู่แล้วมาเป็นข้อแม้ก็คงเจ็บแปลบ อาจจะพาลคิดว่าปู่ไม่รักก็ได้ เธอเองก็ไม่ได้รู้ว่าครอบครัวนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ จะตัดสินสิ่งที่เห็นอย่างเดียวก็คงไม่ได้ มันคงต้องใช้เวลาในการตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอนาวินทร์หรือเรื่องที่ปู่เล็กเขียนไว้ในจดหมาย
ตามเวลาเป๊ะ หญิงสาวจ้องนาฬิกาอีกครั้งพร้อมๆ กับเงยหน้าขึ้นมองทนายหนุ่มที่เดินเข้ามาในร้านหนังสือ เขาช่างเป็นคนที่มีระบบระเบียบในชีวิตดีเหลือเกิน
“สวัสดีครับ” เขากล่าวทักทายพร้อมกับลางเก้าอี้ตรงข้ามกับหญิงสาวมานั่ง
“สวัสดีค่ะ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ นะคะ ครึ่งชั่วโมงพอดิบพอดี” ใจจริงคือชื่นชมแต่ใจหนึ่งก็อดอยากประชดความเป็นคนเคร่งกับชีวิตอย่างทรงรบเสียไม่ได้
“ผมกะเวลาน่ะครับ ผมอยู่แถวนี้ไม่ได้ไกลกันนั่งคุยกับเพื่อนพอดี งานเลยเดินเร็ว” ว่าพลางวางถุงกระดาษไว้ตรงหน้าหญิงสาว
พุดชมพูเปิดออกดูก็รู้ว่านั่นคือหนังสือที่เธอสั่งไปพร้อมลายเซ็น เธอทำหน้าประหลาดใจอย่างที่สุดที่เห็นมัน
“คุณเป็นทายาทโดราเอม่อนจริง ๆด้วยค่ะ”
“อะ...อะไรนะครับ” หน้าตื่นเมื่อได้ยินเรื่องประหลาดนั้น
เธอหัวเราะออกมาก่อนที่จะตอบคำถาม “คุณทนายทำได้ทุกอย่างที่ฉันบอกเลยนี่คะ เลยแอบคิดว่าเป็นทายาทโดราเอม่อน”
ทรงรบหัวเราะออกมาบ้าง ไม่คิดว่าสาวห้าวคนนี้จะคิดอะไรแปลกๆ น่ารักๆ ได้
“คุณทนายยิ้มน่ารักดีนะคะ” เธอเผลอกล่าวชมออกมาเพราะเห็นเขี้ยวเสน่ห์โผล่แพลมๆ เวลาเขายิ้มเหมือนมีความสุขจริง ๆ นี่นา
นักกฎหมายหนุ่มหน้าแดงแทนที่จะพูดอะไร เขาเขินที่โดนชมแบบโจ่งแจ้ง มือเริ่มปาดเหงื่อทั้ง ๆที่ไม่มีให้หญิงสาวเห็น “เรียกผมว่ารบเฉยๆก็ได้ครับ เรียกคุณทนายฟังแล้วมันแปลกๆครับ” พูดแก้เก้อไปอย่างนั้นเอง
พุดชมพูมองอากัปกิริยาของเขาแล้วหัวเราะ “ค่ะได้ค่ะคุณรบ ว่าแต่นี่เขินเหรอคะ? พุดพูดตามความจริงนะเนี่ย ไม่ได้แกล้งยอ เดี๋ยวไปเรียกเพื่อนก่อนนะคะ” เธอเลี่ยงไปเรียกเพื่อนมาเพื่อให้เขาคลายอาการลงไปบ้าง
ทรงรบนั่งจิบกาแฟเย็นรอเพียงไม่ถึงสองนาที หญิงสาวสองคนก็เดินกลับมาที่โต๊ะ เมื่อเขาได้เห็นหน้าของช่อม่วงเล่นเอาหน้าขรึมลงทันที ใครจะจำไม่ได้ ผู้หญิงที่ทำร้ายเขาถึงสองครั้งสองคราคนนั้น
“นี่ช่อม่วง เพื่อนสนิทของพุดเองค่ะคุณรบ ส่วนนี่คุณทรงรบ ทนายความของตระกูลสัตยารักษ์นะช่อ”
ช่อม่วงจำเขาได้ดีเธอจึงยิ้มหวานให้ก่อนจะย่อไหว้อย่างงามเล่นเอาอีกฝ่ายรับไหว้แทบไม่ทัน “ไม่ต้องพิธีการหรอกครับผมว่าพวกเราน่าจะอายุไล่เลี่ยกัน”
“ไม่ได้หรอกค่ะ หน้าคุณทนายออกจะแก่”
ทรงรบหุบปากที่กำลังจะพูดอะไรออกมาด้วยคำว่า ‘แก่’ ของอีกฝ่ายทำเอาเขาลืมเรื่องที่จะพูดไปหมดเลย “ครับ” เขาตอบได้แค่นั้นก่อนจะคว้าแก้วกาแฟมาดูดรวดเดียวหมดแก้ว
“เอาเป็นว่า ผมจัดการเรื่องหนังสือนิยายของคุณได้แล้วนะครับ ยังต้องการอะไรอีกไหมครับ...คุณช่อม่วง”
“คุณทนายเรียกช่อสั้น ๆ เหมือนพุดก็ได้นะคะ ช่อไม่เอาอะไรหรอกค่ะ จริงๆก็อยากช่วยเพื่อนแต่ให้ง่ายไปเดี๋ยวได้ใจ” ด้วยไม่ได้คิดอะไรเลยบอกให้เขาเรียกเธอสะดวกปากขึ้น แต่คนฟังท่าทางเงียบไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เธอพูดนัก
“งั้นก็เรียบร้อยครับ” เขาว่าพลางเลื่อนถุงกระดาษไปให้หญิงสาว “ผมเรียกคุณช่อม่วงดีแล้วครับ ดูเป็นทางการดี”
ตางอนตวัดมองคนพูดหน้าเริ่มตึง ปากก็เริ่มเม้ม เป็นสัญญาณบอกว่าไม่พอใจเขาเช่นกัน เขาหมายความว่าไม่สนิทกันไม่ต้องเรียกชื่อเล่นกันใช่ไหม? นี่...เธออุตส่าห์ดีด้วยก่อนแล้วเพราะเห็นว่าเคยทำผิดไว้เยอะ
“อะแฮ่ม!!เอาเป็นว่าช่อยอมทำงานให้เรานะ คุณรบจะคอยช่วยอยู่ในบริษัท เธอต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้ฉันด้วย จริงเราเจอกันวันนี้ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วอีกหน่อยก็สนิทกันเองแหละนะคะ คุณรบก็เรียกช่อเถอะค่ะ” พุดชมพูคั่นกลางด้วยการสรุปเรื่องให้ หวังว่าจะไม่ให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันในครั้งแรกที่เจอ
“ครับ ได้ครับ” ทรงรบรับคำง่ายๆ อย่างที่ทำทุกครั้ง ทว่า...
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เรียกช่อม่วงน่ะดีแล้ว ดู...ทางการดี” นักบัญชีกล่าวค้าน ทำเอาพุดชมพูกุมขมับ
“ครับ ได้ครับ” ทรงรบตอบรับแสร้งยิ้ม เจ้าของไร่ดอกไม้หัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบของฝ่ายชาย
อนาวินทร์นั่งเคาะแก้วในมือเบาๆ ระหว่างที่ออกมานั่งดื่มในบาร์ที่ประจำซึ่งเขามักมาหาความสุขสำราญใจอยู่เสมอ ตอนนี้สมองเขาเต็มไปด้วยเรื่องของพุดชมพู เขายังคิดไม่ออกว่าจะจัดการยายตัวร้ายพุดชมพูอย่างไรดี
“นั่งหน้าเครียดเลยเพื่อน เป็นอะไร” การันต์ทักสีหน้าของเพื่อนแทนการกล่าวทักทายธรรมดา
“เปล่า” คำตอบที่บอกไม่มีอะไรแต่สีหน้ายังคงเคร่ง
“ยังคิดเรื่องคุณพุดอยู่เหรอ เขาเป็นคนยังไงกันนะ ทำให้เพื่อนรักของฉันต้องมานั่งเครียดได้ ไว้แนะนำให้รู้จักบ้างสิวะ” การันต์คิดอยากเจอผู้หญิงคนนี้จริงๆ
“เดี๋ยวคงเข้าบริษัท ไอ้ทรงรบมันคงจะพาเข้าไปแนะนำเร็ว ๆนี้ละ”
“หน้าตาจะเป็นยังไงนะ วันที่ไปรับแกก็ไม่เจอ” การันต์นึกเสียดายที่ไม่ได้เจอหญิงสาวที่เป็นศัตรูของเพื่อน
“แกจะอยากรู้ไปทำไม หน้าตาบ้านๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก หน้ากับหลังเท่ากันเป็นกระดาน ทำตัวเป็นทอมบอย พวกเรียกร้องความสนใจน่ะ”
การันต์มองคนปกติที่อ้างว่าคนอื่นเรียกร้องความสนใจในทันที “จะเรียกร้องให้ใครสนใจละ”
“ก็ทั่วไปนั่นแหละ ฉันอยากแก้แค้นแต่ยังคิดแผนไม่ออกเลย”
การันต์หัวเราะก่อนจะนึกอะไรออกมาได้ “เขาจะไปที่บริษัทอยู่ใช่ไหม งั้นแกก็ข่มเขากลางที่ประชุมไปเลยสิ จัดงานเลี้ยงต้อนรับไปเลยเอาให้สะใจจนร้องไห้กลับไร่”
“หึ...มันเบาไป ฉันอยากให้เธอจดจำไปตลอดชีวิตเลยว่าอย่ามายุ่งกับฉัน”
“แกเคยได้ยินเรื่องนี้ไหม ผู้หญิงแพ้ความอ่อนไหว ถ้าแกใช้เสน่ห์ตัวเองให้เป็นประโยชน์แกอาจจะไม่ต้องเสียอะไรเลยก็ได้ ได้ทั้งเมียได้ทั้งสมบัติ”
“แก...หมายความว่าไง นี่แกจะให้ฉันไปจีบยายพุดเน่าน่ะหรือ...ไม่ๆ กลืนไม่ลงจริงๆ” อนาวินทร์โบกไม้โบกมือทำเหมือนเป็นเรื่องแสลงที่สุด
“อย่าจริงจังสิวะ แค่เล่นๆ เหมือนกับที่แกเล่นๆกับผู้หญิงคนอื่นๆ พอได้ทุกอย่างมาแกก็แค่ทิ้ง” การันต์วางแผนให้เสร็จสรรพ
“ไม่ละ ฉันไม่อยากเปลืองตัว”
การันต์หัวเราะร่วนเมื่อได้ยินอย่างนั้น ‘เปลืองตัว’ เป็นผู้ชายจะเปลืองตัวอะไรนักหนา นี่แหละอนาวินทร์ ทำตัวมีศักดิ์ศรีทั้งๆที่จะไม่มีกินอยู่แล้ว ไร้สาระที่สุด!!
“งั้นฉันจะลองสืบหาจุดอ่อนของเธอให้ แล้วก็เอามาเป็นเครื่องต่อรอง”
“ขอบใจนะ” อนาวินทร์หันมาบอกเพื่อน ในยามนี้เขานึกอยากให้ใครสักคนมาปลอบ อย่างน้อยก็มีการันต์คอยตบบ่าให้กำลังใจบ้าง มันเป็นเหมือนน้ำที่มาหล่อเลี้ยงหัวใจเฉาๆ ของเขา
กว่าที่หลานชายคนเดียวของสัตยารักษ์จะกลับถึงบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว พอก้าวเข้าไปในบ้านเขาเหลือบมองเห็นว่าไฟในห้องของพุดชมพูยังคงสว่างอยู่ก็นึกแปลกใจเธอทำอะไรจนดึกดื่นขนาดนั้น เพียงแวบเดียวที่แอบคิดสงสัยแต่หลังจากนั้นก็เดินต่อไปยังห้องของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรใส่ใจ
แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 55 14:56:28
จากคุณ |
:
ดนตรีในสายลม
|
เขียนเมื่อ |
:
21 พ.ค. 55 10:34:46
|
|
|
|