Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กนกนาคราช (บทที่ 4 ชายชุดแดง) ติดต่อทีมงาน

กนกนาคราช (บทที่ 1 ผ้าไหมโบราณ)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12086966/W12086966.html
กนกนาคราช (บทที่ 2 แรงดึงดูด)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12103088/W12103088.html
กนกนาคราช (บทที่ 3 แรงปรารถนานำพา)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12115475/W12115475.html






บทที่ 4 ชายชุดแดง

ปลายฟ้ายืนเด่นที่หน้ากระจกด้วยรอยยิ้มอันแสนสุข ใบหน้าขาวเนียนละเอียดแต่งแต้มเพิ่มความงามให้ผุดผ่อง เรือนร่างสูงระหงสวมชุดเดรสเกาะอกสีชมพูลายดอกไม้ ทำจากผ้าชีฟอง กระโปรงป้ายข้างหน้ามีสองชั้น ที่เอวปักเลื่อมด้วยเพชรปลอมเป็นประกายระยิบระยับ ผมสีน้ำตาลเข้มรวบไว้ด้านหลังก่อนปักด้วยปิ่นเงินที่ฝังพลอยหลากสีส่งแสงแพรวพราว

หญิงสาวหันซ้ายขวา ตกแต่งใบหน้าและชุดจนพอใจจึงเดินไปคว้าเอากระเป๋าสะพายใบจิ๋วสีฟ้าสดก่อนเดินไปอุ้มเอากล่องของขวัญที่เป็นตู้กระจกรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์สูงและกว้างด้านละห้านิ้ว ภายในมีงูสีน้ำตาลเข้มตัวเล็กขนดกายอยู่ ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้หญิงสาวคิดอยากซื้องูตัวนี้ให้เป็นของขวัญแก่ชายหนุ่มคนนั้น เขาอาจจะชอบหรือไม่ชอบเธอมิอาจรู้ แต่ที่แน่ๆ คือเธอรู้สึกดีที่ได้มอบสิ่งนี้ให้เขา



คราวนี้พงศกรเป็นคนจัดหาชุดให้กับพิมพ์วารีเพื่อใส่ไปงานเลี้ยงของธันย์ด้วยตัวเอง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมเพื่อนหนุ่มคนนี้ก็รังสรรค์ให้หญิงสาวกลายเป็นนางพญาในชั่วพริบตา ใบหน้าสีน้ำผึ้งตกแต่งให้คมคายชวนมองด้วยอายลายเนอร์และขนตาปลอม ก่อนปัดอายแชโดว์สีเขียวอ่อนและทาลิปกลอสให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม

พิมพ์วารีก้มลงมองเรือนร่างอย่างพอใจ ชุดเดรสที่ทำจากผ้าเนตสีเขียวเข้มตัวนี้ใส่สบายและดูสวยสะดุดตา โดยที่เอวมีริบบิ้นสีเขียวอ่อนคาด แต่งโบว์ด้านหน้าด้วยผ้าซาติน ตัวชุดแซมด้วยดิ้นเงินแต่งเป็นลวดลายดอกไม้เล็กๆ ขดทั้งผืนผ้า

“ฉันเห็นแกยืนยิ้มอยู่หน้ากระจกนานแล้วนะยัยพิม ตกลงว่าจะไปกันได้รึยัง นี่ก็ทุ่มกว่าแล้วนะ” พงศกรร้องเตือนก่อนที่หญิงสาวจะรีบหันขวับมา

“จริงเหรอเนี่ย” พิมพ์วารีเบิกมองนาฬิกาที่แขวนบนผนังห้อง จากนั้นจึงตะลีตะลานวิ่งไปหยิบเอากระเป๋าถือใบเล็กและนำหน้าเพื่อนหนุ่มออกจากห้องพักไป

พงศกรและพิมพ์วารีมาถึงงานในเวลาเกือบสองทุ่ม บ้านของชายหนุ่มหลังใหญ่โตโอ่อ่า ตัวบ้านและการตกแต่งเป็นแบบคฤหาสน์ ผสมผสานความสง่างามของสถาปัตยกรรมคลาสสิคกับความร่วมสมัย ทั่วทั้งบ้านสว่างด้วยแสงไฟสีขาวนวล สวนหย่อมสไตล์ยุโรปที่จัดอยู่ด้านหน้าโยงใยด้วยไฟระย้างดงามตา แขกเหรื่อราวห้าสิบคนต่างเดินพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้มภายในงานที่จัดอยู่บนลานหญ้าด้านหน้าของตัวบ้าน

เมื่อลงจากรถได้พิมพ์วารีก็ก้มลงสำรวจเครื่องแต่งกายตัวเองด้วยความประหม่า เสียงเพลงดังมาจากเวทีเล็กๆ ด้านหน้าโต๊ะอาหารที่จัดไว้ให้สำหรับแขก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพร้อมแล้วพงศกรจึงเดินนำหน้าหญิงสาวไป


ทันทีที่เขายิ้มให้เธอ เสมือนว่าโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ หญิงสาวรู้สึกคล้ายกับว่าร่างกายของเธอเบาหวิวดุจปุยนุ่น ความสนใจทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาคร้ามคมของชายหนุ่ม

“นี่เป็นลูกสาวของคุณป้าปัทมาไงจ้ะลูก หนูปลายฟ้า นี่พี่ธันย์จ้ะ” นางภารดา มารดาของธันย์ในวัยห้าสิบห้าปีผายมือแนะนำปลายฟ้าให้ได้รู้จักกับผู้เป็นลูกชาย ปลายฟ้ายกมือไหว้อีกฝ่ายตามธรรมเนียม

“สวัสดีค่ะพี่ธันย์ ยินดีที่ได้พบค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงใส ใบหน้าขาวเนียนประดับไปด้วยรอยยิ้มสวยหวาน ธันย์อดยิ้มตอบกลับไปไม่ได้ หญิงสาวงดงามและน่ารัก ดูเปราะบางประหนึ่งลูกแก้วใสอันมีค่า ส่งแสงแวววาวล่อตา ชวนให้คนมอง แต่ธันย์ก็หารู้ไม่ว่าภายในสองตากลมเล็กที่จ้องมองเขาอยู่นั้นอัดแน่นไปด้วยความปราถนารุนแรงในตัวชายหนุ่ม

ธันย์ยืนคุยกับเธอได้สักพัก เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับหญิงสาวอย่างบอกไม่ถูก ความสดใสร่าเริงและน้ำเสียงอันก้องกังวานฉะฉานทำให้เขาแอบชื่นชมเธอในใจ นอกเหนือจากความงามทั้งใบหน้าและรูปร่าง แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างของพงศกรที่เดินนำหน้าผู้เป็นเพื่อนที่เดินตามมาข้างหลังนั้น ชายหนุ่มเลยต้องจบบทสนทนากับปลายฟ้า รีบเดินดุ่มๆ ตรงไปต้อนรับเพื่อนใหม่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ปลายฟ้ามองตามร่างสูงสง่านั้นไปอย่างไม่คลาดสายตา พอเห็นหน้าผู้ชายคนที่ธันย์กำลังเดินไปหาเป็นชายหนุ่มที่มากับหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้นเมื่อวันก่อนเธอก็บังเกิดโทสะขึ้น ก่อนที่ทั้งร่างจะร้อนวูบวาบขึ้นมาราวกับถูกไฟเผาเมื่อร่างปราดเปรียวของพิมพ์วารีในชุดเดรสสีเขียวเข้ม เดินออกมาจากด้านหลังของพงศกร และประจันหน้ากันกับธันย์ รัตนเวคินทร์


“คุณพิมพ์สวยจังครับ...” ชายหนุ่มเจ้าของงานบอกตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจขณะนี้ ใบหน้าสวยคมคายแบบไทยๆ ของพิมพ์วารีดูโดดเด่นและมีเสน่ห์เมื่อได้รับการแต่งแต้มโดยเครื่องสำอางฝีมือของเพื่อนหนุ่มมากฝีมือ คอนแท็คเลนส์สีเขียวน้ำทะเลที่ใส่ยิ่งขับให้ใบหน้าเธอดูสวยลึกลับน่าค้นหามากยิ่งขึ้น

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวก้มหน้าน้อยๆ อย่างเขินอาย หัวใจดวงน้อยเต้นโครมครามอยู่ในอก พอช้อนสายตาขึ้นประสานสายตากับเขา ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโลหะที่กำลังถูกหลอมละลาย หากเธอไม่คิดไปเอง หวังว่าสายตาที่เขามองมาคงซ่อนความหมายลึกซึ้งเอาไว้

เมื่อทักทายกันได้ครู่หนึ่ง ธันย์ก็เดินนำหน้าทั้งสองไปยังซุ้มเครื่องดื่มด้านข้างเวที ขณะที่ปลายฟ้ารีบก้าวขาฉับๆ ตรงมาหาด้วยสีหน้าเครียดขรึม หญิงสาวปราดเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมกับห่อของขวัญสีชมพูสด สองตาจ้องตรงไปที่พิมพ์วารีอย่างไม่กระพริบตาในขณะที่อีกฝ่ายก็ยืนนิ่งค้างอย่างตกใจราวกับหุ่นที่ไร้ชีวิต

“อ้าวน้องฟ้า... นี่เอาของขวัญมาให้พี่เหรอจ้ะ” ธันย์ผายยิ้มกว้าง มองลงมายังห่อของขวัญที่หญิงสาวอุ้มไว้ขณะที่ปลายฟ้ายังคงจ้องหน้าพิมพ์วารีอย่างเอาเรื่อง ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะกริ่งเกรงเลยแม้แต่น้อย

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม ชายหนุ่มจึงช้อนสายตาขึ้นมองเธอ ใบหน้าเนียนหวานนั้นเรียบเฉย พอมองตามสายตาไปจึงพบว่าเธอกำลังจ้องหน้าเพื่อนใหม่ของเขาอยู่คล้ายกับว่ารู้จักกันมาก่อนยังไงยังงั้น

“อ้อ...นี่คุณพิมพ์วารี ส่วนนี่คุณพงศกรจ้ะ ทั้งสองคนเป็นมัณฑนากรที่ดูแลการตกแต่งบ้านใหม่ของพี่” ธันย์ผายมือไปยังสองหนุ่มสาวที่ต่างก็เอาแต่ยืนมองหน้าปลายฟ้าเช่นกัน

ธันย์หันมาที่ปลายฟ้าพร้อมรอยยิ้มเหมือนเคย “ส่วนนี่น้องปลายฟ้าครับ เป็นลูกสาวของเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ผมเอง...”

หญิงสาวในชุดเดรสสีชมพูยิ้มเย่าะ จิกสายตามองอีกฝ่ายคล้ายเป็นเพียงต้นหญ้าที่ต่ำต้อย “เรารู้จักกันมาบ้างแล้วหละค่ะ แต่ครั้งนี้จะเป็นการรู้จักกันอย่างเป็นทางการ”

“อย่างนั้นเหรอครับ เอ๊ะ...จำได้แล้ว วันนั้นที่ผมพบคุณพิมที่วัด เหมือนว่าเห็นน้องฟ้ายืนอยู่อีกฟากหนึ่ง เป็นน้องฟ้าใช่มั้ยจ้ะ” ธันย์เบิกตากว้าง ทอดมองปลายฟ้าเพื่อรอคำตอบ

“ค่ะ วันนั้นฟ้าตั้งใจไปทำบุญที่นั่น ไม่คิดเหมือนกันว่าจะพบคุณพิมพ์วารี” หญิงสาวเน้นเสียงที่ท้ายประโยคตรงชื่อคู่อริที่เคียดแค้นชิงชัง

ธันย์ผินหน้ามาหาพิมพ์วารี อีกฝ่ายหน้าซีดเผือดลงน้อยๆ แต่ก็พยายามกัดฟันตอบกลับไปเสียงแข็ง “ค่ะ ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้พบคุณ...”

บรรยากาศเริ่มจะเงียบเชียบและตึงเครียดขึ้นมาอย่างที่ชายหนุ่มรู้สึกได้ ธันย์จึงชวนทั้งสองไปนั่งทานของว่างกันที่โต๊ะอาหารหน้าเวที แต่ปลายฟ้าก็ฉุดแขนเขาไว้เสียก่อน

“พี่ธันย์คะ นี่ของขวัญค่ะ ฟ้าตั้งใจซื้อมาให้ ทีแรกฟ้าให้คุณป้าภารดาแล้ว แต่ก็อยากให้กับมือพี่ธันย์มากกว่า”

ธันย์หันกลับมา เพ่งสายตามองเจ้ากล่องของขวัญรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ที่หญิงสาวถือไว้ ก่อนยื่นมือออกไปรับ ด้วยความที่ภายในเป็นกระจกจึงมีน้ำหนักพอสมควร ชายหนุ่มย่นคิ้ว และมองหน้าหญิงสาวคล้ายให้เธอบอกใบ้กับสิ่งของภายในนี้

ปลายฟ้าผายยิ้มกว้าง บอกเสียงกังวานใสคล้ายอยากให้คนข้างหลังได้ยินด้วย “ฟ้าตั้งชื่อมันว่าเจ้าสายรุ้ง คนขายบอกว่ามันเลี้ยงง่าย ไม่ดุ และก็เชื่องมากๆ เลยนะคะ หวังว่าพี่ธันย์คงจะชอบนะคะ”

“น้องฟ้าพูดแบบนี้พี่ชักอยากจะรู้แล้วล่ะสิว่าเจ้าของขวัญที่ว่านี้คืออะไร...” ชายหนุ่มจุดยิ้มมุมปาก ส่งสายตาเจ้าเล่ห์ท้าทายให้หญิงสาว พอได้เห็นกิริยาอาการที่พออกพอใจของปลายฟ้าพิมพ์วารีก็อดที่จะเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่นไม่ได้


หลังจากรับของขวัญมาแล้วชายหนุ่มก็เดินนำหน้าแขกไปยังโต๊ะอาหาร เมื่อทั้งสามนั่งลงยังเก้าอี้แล้วธันย์จึงเดินนำกล่องของขวัญจากปลายฟ้าไปตั้งไว้ที่โต๊ะเล็กๆ ข้างเวทีที่มีกล่องของขวัญอีกหลายสิบกล่องตั้งอยู่ พงศกรและพิมพ์วารีอดเสียดายไม่ได้ที่ไม่ได้เตรียมของขวัญมาให้ชายหนุ่ม ไม่นานนักพิธีก็เชิญเจ้าของงานขึ้นไปกล่าวต้อนรับแขกและกล่าวทักทายรวมทั้งขอบคุณผู้ที่มาร่วมงาน จากนั้นจึงเป็นคราวของญาติพี่น้องขึ้นไปกล่าวแสดงความรู้สึกที่ชายหนุ่มได้เดินทางกลับมาเมืองไทย

จนเมื่อธันย์เดินลงจากเวทีและตั้งใจว่าจะกลับมานั่งเป็นเพื่อนกับปลายฟ้าและสองเพื่อนใหม่ ปลายเท้าก็พลันไปสะดุดเข้ากับขาโต๊ะตัวเล็กที่ใช้วางห่อของขวัญที่แขกนำมามอบให้กับชายหนุ่ม

โต๊ะตัวเล็กล้มคว่ำลงกับพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องหน้า กล่องของขวัญหลายสิบกล่องหล่นลงเกลื่อนพื้นระเนระนาด ในขณะที่ชายหนุ่มได้ยินเสียงคล้ายแก้วแตกดังพร้อมกับที่โต๊ะล้มลง ร่างสูงสง่าก้มลงเก็บห่อของขวัญด้วยความตกใจขณะที่ปลายฟ้าและเพื่อนคนอื่นๆ รีบสาวเท้าเดินมาช่วยชายหนุ่ม

“เราไปช่วยคุณธันย์ด้วยกันเถอะพิม” พงศกรเอ่ยพร้อมหยัดกายลุกขึ้น พิมพ์วารีไม่รอช้าเช่นกัน สองร่างเดินดุ่มๆ เข้าไปช่วยเก็บห่อของขวัญที่หล่นเกลื่อนกลาดมาตั้งไว้ยังโต๊ะอาหารที่ว่าง แต่จู่ๆ หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยื่นมือไปหยิบห่อของขวัญสีชมพูก็ต้องกรีดร้องเสียงหลง

“งูค่ะ งู...มีงูอยู่ในนี้” พอได้ยินดังนั้นกลุ่มคนที่นั่งก้มลงช่วยกันเก็บของขวัญต่างก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมกัน ก่อนแตกกระเจิงวิ่งหนีกันคนละทิศละทาง จนมีหญิงคนหนึ่งชนพิมพ์วารีจนล้มคว่ำลงกับพื้น เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวน้อยเคลื่อนกายอุ้ยอ้ายออกมาจากตู้กระจกใบเล็กที่แตก เกล็ดสีน้ำตาลเข้มกระทบกับแสงนีออนเปล่งแสงสีรุ้งแวววาว

ปลายฟ้าหันไปมองพิมพ์วารีที่กำลังดันตัวลุกขึ้นยืนโดยมีพงศกรคอยประคองร่าง ก่อนหันมาจ้องมองงูน้อยคล้ายจะหยั่งลึกเข้าไปในดวงจิตของมัน

เจ้าสายรุ้งชูหัวขึ้น ลิ้นสองแฉกแลบเข้าออก ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองตรงไปยังหญิงสาวชุดเขียวที่อยู่ตรงหน้า ก่อนเลื้อยเข้ามาใส่จนพงศกรต้องร้องขึ้น

พิมพ์วารีเบิกตาจ้องมองเจ้าอสรพิษร้าย รู้สึกราวกับว่าได้รับพลังอำนาจอะไรบางอย่าง จิตใจหยิ่งผยองและฮึกเหิมขึ้นเมื่อเห็นความกล้าหาญของงูตัวน้อยที่กล้าเลื้อยเข้ามาหมายจะฉกกัดซึ่งผิดวิสัยของงูชนิดนี้
ปลายฟ้าเม้มริมฝีปากแน่น ส่งแรงอาฆาตที่มีไปยังงูน้อย สั่งให้เลื้อยต่อไป เลื้อยไปกัดนังผู้หญิงคนนั้นให้มันเจ็บ ให้มันอับอาย แต่จู่ๆ งูตัวน้อยก็หยุดนิ่ง หัวที่ชูขึ้นนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น สายตาของมันประสานกับสองเนตรกลมโตของหญิงสาวที่ยืนเด่นอยู่ตรงหน้า สายลมเย็นๆ พัดผ่านร่างเพรียวบางของปลายฟ้า พร้อมกับเสียงแว่วๆ ของใครบางคนที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท ผ่านดวงจิตเจ้างูน้อยที่ถูกพิมพ์วารีไล่ด้วยความองอาจ

“ไปให้พ้น...ไปให้ไกลๆ”

ปลายฟ้ากัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ งูตัวน้อยผงกหัวลงหมอบแทบพื้น ดวงตากลมรีเงยขึ้นเบิกมองใบหน้าคมคายของพิมพ์วารีที่จ้องหน้าเธอแน่นิ่ง

“ขอทางหน่อยครับ...” แต่ท่ามกลางความวุ่นวายและลุ้นระทึกนั้น จู่ๆ เสียงแหบห้าวของบุรุษหนุ่มก็ดังขึ้น วิศรุตแหวกร่างผ่านผู้คนที่ยืนออกันอยู่จนมาหยุดอยู่เคียงข้างพิมพ์วารี

ชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ใบหน้าขาวสะอาดนั้นมีเคราดำรกครึ้มขึ้นปกคลุม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มดุจพญาเหยี่ยวทอดมองไปยังเจ้างูน้อยที่เริ่มขดกายเป็นวง ร่างสมส่วนในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงเดินเข้าไปหามันก่อนย่อตัวลงต่ำคล้ายว่ากำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

วิศรุตช้อนมือลงไปจับงูน้อยไว้ในมือพร้อมร้องบอกให้หากล่องสักใบเพื่อมาใส่มัน พอจัดการทุกอย่างเสร็จสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ ทุกคนต่างปรบมือให้อัศวินหนุ่มด้วยความดีใจ ก่อนแยกย้ายกันกลับไปนั่งประจำโต๊ะดังเดิม
วิศรุตหันซ้ายขวา เมื่อพบเจ้าของงานหนุ่มแล้วจึงเดินเข้าไปหาก่อนหยิบกล่องของขวัญเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ดวงตาอันคมกริบดุจพญาเหยี่ยวจ้องมองธันย์พร้อมกับจุดยิ้มเรียบๆ

“ยินดีต้อนรับกลับสู่บ้านเกิดนะครับคุณธันย์... คุณคงยังไม่เคยเห็นหน้าผม ผมเป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของพ่อคุณน่ะครับ ชื่อวิศรุต” แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ยังฟังดูมีอำนาจน่าเกรงขาม ธันย์ค่อยๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสกับอุ้งมืออีกฝ่ายตามธรรมเนียม เมื่อทั้งมือได้ถูกอีกฝ่ายยึดไว้ ความรู้สึกเจ็บร้าวก็ทำให้ธันย์ต้องขบกรามแน่นหากแต่ก็ยังเก็บซ่อนอาการไว้ และชั่วพริบตานั้นเอง จู่ๆ ภาพของสัตว์ร่างใหญ่ยักษ์ที่กระพือปีกโผบินอยู่บนฟ้า โฉบบินลงมาขยุ้มร่างกายเข้าไว้ด้วยกรงเล็บอันแหลมคมก็ทำให้สีหน้าของธันย์ซีดเผือดลง
วิศรุตค่อยๆ ปล่อยมือออก ก่อนย่นคิ้วถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณธันย์...”

ธันย์ก้าวขาถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว ท่าทีตื่นกลัวของเขานั้นทำเอาวิศรุตต้องหัวเราะน้อยๆ ความรู้สึกกริ่งเกรงชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่แวบแรกที่เห็นทำให้ธันย์รู้สึกสับสน เป็นความกลัวที่ก่อตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาด แต่เท่าที่รู้คือมันส่งผลให้เขามิอาจกล้าสบตากับอีกฝ่ายได้เลย เป็นความกลัวที่ติดค้างมาจากชาติภพที่แล้ว ภพชาติที่ธันย์ตกเป็นเหยื่อชายหนุ่มตรงหน้านี้



ปลายฟ้ารู้สึกชาไปทั่วใบหน้าทันทีที่ได้เห็นหน้าวิศรุตอีกครั้ง นับแต่เลิกรากันไปได้สามปี เขากับเธอก็ไม่เคยได้ติดต่อหรือทราบข่าวของกันและกันอีกเลย ทราบแต่เพียงว่าชายหนุ่มเดินทางไปดูแลกิจการธุรกิจของครอบครัวที่ต่างประเทศ ส่วนเธอก็ทำงานในบริษัทของพ่อแม่ ปมเหตุที่ทำให้ทั้งสองเลิกรานั้นมาจากการที่วิศรุตมีผู้หญิงอื่นมาข้องแวะ ในขณะที่ปลายฟ้าเองก็ไม่จริงใจกับความรัก เธอไม่แคร์เขาหากแต่ตัวเองก็ติดต่อคบหากับชายอื่นเช่นเดียวกัน เมื่อความอดทนของทั้งสองดำเนินมาถึงจุดสูงสุด มันจึงระเบิดออก ความไม่พอใจในกันและกัน ก่อเกิดเป็นความบาดหมางและเจ็บแค้น เป็นรอยร้าวที่มิอาจจะประสานให้กลับมาเป็นดังเดิมได้

แต่วันนี้... วันที่เธอกำลังจะมีความรักใหม่ เขากลับปรากฏตัว และเหมือนจะกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตเธออีกครั้ง เขามาในงานคืนนี้และรู้จักธันย์ คงเป็นเพื่อนห่างๆ หรือลูกหลานของกรรมการในบริษัทของชายหนุ่มแน่ แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้นขึ้นมา หากเขาเกิดบอกเรื่องราวระหว่างเขากับเธอในอดีตให้ธันย์ได้รับรู้ ชายหนุ่มยังจะรักและเสน่หาในตัวเธออีกมั้ย ? ความไม่แน่ใจนี้ได้ก่อเกิดเป็นความกังวลและกลัวขึ้นในใจของปลายฟ้า เธอรู้ว่าตอนนี้ในใจของวิศรุตกำลังคิดเช่นไร เขาเป็นผู้ชายเจ้าเล่ห์ ชอบเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นความสุขของตัวเอง และในคืนนั้นเองปลายฟ้าก็ได้รับโทรศัพท์ของชายหนุ่มตามที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด

“คุณต้องการอะไร...” น้ำเสียงขาดห้วนเอ่ยถาม วิศรุตทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนสีเลือดนกก่อนถอนหายใจ

“ผมก็แค่คิดถึงคุณ ก็เลยโทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบแค่นั้น”

“เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน”

“แล้วถ้าผมอยากจะยุ่งล่ะปลายฟ้า...” ชายหนุ่มลากเสียง ดวงตาทอประกายวาววับ “ถ้าผมจะบอกว่า...ผมอยากให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมล่ะ...”

“เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้วิศรุต ฉันเกลียดคุณ...และจะเกลียดไปจนวันตาย” หญิงสาวกัดฟันแน่น เธอไม่มีวันที่จะลบภาพอดีตอันแสนเจ็บปวดออกไปได้ หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดเช่นนั้น วิศรุตเห็นปลายฟ้าเป็นเพียงของเล่น เหมือนตุ๊กตาผ้าที่จะจับวางไว้ตรงไหนก็ได้ เขาคือผู้กุมชะตาชีวิตของคนที่เขาหมายตา

“ผมจะทำให้คุณกลับมาเป็นของผมให้ได้....คอยดูสิ” สิ้นประโยคนั้น มือเรียวสวยของปลายฟ้าก็ฟาดโทรศัพท์มือถือลงกับพื้นห้องจนชิ้นส่วนกระเด็นแตกออกจากกัน ภายในความโกรธแค้นขุ่นเคืองที่บังเกิดขึ้นนั้นเจือปนไปด้วยกลิ่นไอของความกลัวที่หญิงสาวอยากจะกำจัดมันให้พ้นจากจิตใจแต่ก็มิอาจทำได้

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 55 12:22:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com