บทที่ 15 บอกเป็นนัย
เสียงคนด้านนอกกระโจมดังอื้ออึงขึ้น ฉันยืดตัวตรงช้าๆ รู้สึกเมื่อยสันหลังอย่างที่สุด นั่งคู้พิงเตียงอยู่ทั้งคืนไม่ได้นอนเพื่อเฝ้าอาการขององค์ชายสิบสาม ใจก็คิดถึงใครอีกคนหนึ่งซึ่งร่วมสายเลือดเดียวกับเขา
ฉันคิดจะลุกขึ้นยืนแต่พบว่ามือของฉันยังถูกองค์ชายสิบสามเกาะกุมอยู่ ฉันไม่กล้าเอามือออกเพราะกลัวกวนเขาตื่น เมื่อคืนกว่าเขาจะหลับได้ตั้งนาน ให้เขานอนพักอีกหน่อยดีกว่า ว่าแล้วฉันก็ขยับเปลี่ยนท่าเอาหลังพิงขอบเตียงและแหงนหน้ามองยอดกระโจม
เสี่ยวเวย! ตงเหลียนเลิกผ้าม่านเข้ามาเห็นฉันก็ตะลึง
ฉันยิ้มเจื่อนให้ เธอค่อยๆ ย่องมาก้มมองมือที่กุมแน่นของเราทั้งสองแล้วก็หันไปหยิบข้าวของบางอย่างเดินไปหน้าประตู ฉันมองตามแบบไม่คิดอะไร เธอเลิกม่านเตรียมออกไปแต่ก็ชะงัก หันกลับมาพูดกับฉันเสียงค่อย
เจ้าดูแลองค์ชายสิบสามเถอะนะ ข้าจะไปทางองค์ชายสี่...เจ้า...เฮ้อ... ตงเหลียนถอนหายใจจ้องมองตาฉันแล้วก็เดินจากไป
ในที่สุดก็มีวันนี้จนได้ ฉันมองไปที่ม่านประตูกระโจม เมื่อคืนตงเหลียนก็เลิกม่านมาดูฉันด้วยแววตาสงสารเหมือนเมื่อกี้
สายลมยามเช้าแทรกผ่านช่องโหว่เข้ามาด้านใน ฉันสูดลมหายใจเข้าทางปากอย่างคนกระหายน้ำ แล้วก็หันกลับมาด้วยความดีใจเมื่อองค์ชายสิบสามกำลังยิ้มมองฉัน สีหน้าสดชื่นขึ้นเป็นกอง ฉันไม่สนใจที่เขาบีบมือฉันจนเจ็บ เอาแต่มองเขาแน่วนิ่ง...และยิ้มให้
องค์ชายสิบสามเห็นฉันยิ้มดีใจก็ไม่พูดไม่จาดึงฉันเข้าหาอย่างแรง ฉันถูกดึงไปนั่งบนเตียงอย่างไม่ทันตั้งตัว รู้สึกเก้อๆ เขินๆ เหมือนกันเลยรีบถอยห่าง แต่ก็ไม่กล้ารุนแรงเพราะกลัวจะทำให้เขาเจ็บแผล แค่เขาเห็นท่าทางฉันเป็นแบบนี้ก็ทำท่าจะลุกขึ้นนั่งให้ได้ ฉันตกใจรีบเข้าไปประคอง
เจ้าอย่าเพิ่งลุกสิ แผลของเจ้า...โอย... พูดยังไม่ทันจบฉันก็ต้องร้องออกมาเพราะรู้สึกหน้ามืดกะทันหัน รอจนสายตากลับมาเป็นปกติอีกครั้งก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอิ้นเสียงประชิดใบหน้าของฉันพอดี ฉันหันข้างหลบวูบ ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความอาย มือหนึ่งเผลอผลักเขาออก
ซี้ด... องค์ชายสิบสามขมวดคิ้วเจ็บ
ฉันรีบชักมือกลับ สวรรค์! ลืมไปเลยว่าเขาบาดเจ็บตรงหน้าอก ฉันคิดจะยื่นมือไปสำรวจดู แต่เขากลับจับมือฉันดึงลงไปนอนที่เตียงแทน ปล่อยให้เขาลูบไล้ใบหน้าอย่างแผ่วเบา
ฉันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเขาอย่างไม่รู้ตัว นัยน์ตานั้นอ่อนละมุนดังคลื่นทะเลที่คล้ายกับจะกลืนฉันให้หายไป
ตัวของฉันถูกทับจนรู้สึกถึงน้ำหนักที่หนักอึ้งแทบหายใจไม่ออก ฉับพลันนั้นฉันก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยแล้ว
เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่ เจ้ารู้ไหม เมื่อวานข้าตกใจแทบแย่ที่เห็นเจ้าโผล่มาเช่นนั้น... เสียงขององค์ชายสิบสามแหบพร่า
ฉันกะพริบตาปริบๆ เห็นแววตาที่แฝงด้วยความหวาดวิตก ฉันยิ้มแล้วยิ้มอีกยื่นมือไปจัดผมที่ยุ่งเหยิงให้เขา
ข้าก็ตกใจแทบแย่เหมือนกัน ดีเหลือเกินที่ไม่มีใครเป็นอะไร
อิ้นเสียงจับมือฉันขึ้นไปจูบเบาๆ
อย่าทำอย่างนี้อีกนะ อย่าทำให้ข้าตกใจอีก อย่าห่างจากข้าอีก... เขาหยุดมองฉันครู่หนึ่ง มีเพียงข้า...ได้หรือไม่
เสียงขององค์ชายสิบสามเบาแสนเบา แต่กลับชัดเจนที่ข้างหู ฉันจ้องลึกเข้าไปในดวงตาดำขลับคู่นั้นของเขา ในใจแวบภาพดวงตาอีกคู่ขึ้นมา...โอ๊ย! เจ็บเหลือเกิน! หัวใจเหมือนถูกมีดทื่อๆ เฉือนเอาเนื้อชิ้นหนึ่งออกไป...ฉันหลับตาลงรอให้ความเจ็บปวดนั้นผ่านไป
เสี่ยวเวย? เสียงองค์ชายสิบสามดังขึ้นอย่างไม่มั่นใจ
ฉันผ่อนลมหายใจออกทางปาก ลืมตาขึ้นช้าๆ มองใบหน้าวิตกกังวลของเขา ดวงตาของเขาดูเฝ้ารอและหวาดหวั่น ฉันรู้สึกปวดร้อนที่ตาขึ้นมาทันที เขากลัวคำปฏิเสธมากขนาดนี้เชียว คนฉลาดอย่างเขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าฉันลังเล
ได้ ฉันตอบเบาๆ แต่ชัดเจนแน่วแน่อย่างที่สุด!
องค์ชายสี่ยังมีแผ่นดินที่ปรารถนา แต่องค์ชายสิบสามผู้นี้มีเพียงฉัน ไม่ว่าวันข้างหน้าเหตุการณ์จะไปในทางไหน ในเมื่อฉันไม่เห็นอนาคตก็ขอทะนุถนอมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดละกัน ฉันชัดเจนในใจ ต่อไปภายหน้าฉันอาจจะอาลัยอาวรณ์องค์ชายสี่ อาจจะห่วงใยเขา หรืออาจถึงขั้นทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเขา แต่ฉันจะอยู่เคียงข้างกายขององค์ชายสิบสามเพียงคนเดียวจวบจนวันที่ฉันต้องจากไป
ความคิดผ่านเข้ามาในหัวมากมายเพียงชั่วพริบตา ตรงหน้าของฉันมีเพียงภาพความดีใจที่ปิดไม่มิดขององค์ชายสิบสามเท่านั้น ฉันเลยอดดีใจไปด้วยไม่ได้ ฉันตัดสินใจไม่ผิดหรอก ไม่ผิด...
อิ้นเสียง... ฉันหลับตาเรียกชื่อของเขาเบาๆ สัมผัสนุ่มละมุนจรดลงบนริมฝีปากของฉัน ขยับเคลื่อนอย่างอ่อนโยนและรุนแรงขึ้นทุกขณะ ฉันรับมันด้วยความตั้งใจ ทั้งตัวถูกโอบล้อมด้วยสัมผัสที่เร่าร้อนจนร่างกายผะผ่าว ทว่าน้ำตากลับไหลหยดออกมาอย่างเงียบเชียบ
เสียวเวย? องค์ชายสิบสามรู้ถึงน้ำตาของฉันแล้ว เขาหยุดชะงักมองฉันด้วยความงุนงง แล้วความเจ็บปวดก็ฉายวาบในดวงตา
ฉันเงยขึ้นมองเขาด้วยดวงตาพร่าเลือน
ทำไม ไม่เคยเห็นคนร้องไห้เพราะความดีใจเหรอ
เขาชะงักก่อนจะหัวเราะแล้วก้มลงมาจูบรอยน้ำตาของฉันด้วยความลุ่มหลง
ฮ่าๆๆ เสี่ยวเวย...เสี่ยวเวยของข้า...
ฉันไม่กล้าคิดเลยจริงๆ ว่าทำไมตัวเองถึงร้องไห้ รู้แต่ว่าหยุดน้ำตาไม่ได้ องค์ชายสิบสามไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเอาแต่จูบลบหยดน้ำตาของฉันจนหมด แต่ใจของฉันกลับร้องไห้...ที่แท้ฉันก็เป็นผู้หญิงเลวๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง ฉันใช้ช่วงเวลานี้ขจัดความทุกข์ในใจออกไปพร้อมกับน้ำตา เหลือเพียงความอบอุ่นที่เขามอบมาให้แทบหมดหัวใจ แล้วฉันก็ลืมตาขึ้นมองดวงตาที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นไว้วางใจของเขา หัวใจพลันแจ่มใสขึ้นมา ฉันยื่นมือไปประคองใบหน้าเขาเข้ามาหาแล้วจุมพิตเขาเบาๆ เขาอึ้งตะลึง แต่แล้วก็หัวเราะออกมา
หึๆๆ! ดูท่าอาการขององค์ชายสิบสามคงจะไม่มีเรื่องให้ห่วงแล้ว! จู่ๆ เสียงเย้ยเยาะกระแทกกระทั้นก็ดังขึ้น
ฉันตกใจรีบผละออกจากองค์ชายสิบสาม ที่แท้องค์ชายสิบสี่กำลังยืนมองหัวเราะคิกคักอยู่ตรงประตูกระโจม ในมือเขาอุ้มลูกหมาที่เพิ่งเกิดเพียงไม่กี่เดือนมาด้วยตัวหนึ่ง หน้าของฉันแดงระเรื่อขึ้นมาทันที รีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อทำความเคารพ
หม่อมฉันถวายบังคมองค์ชายสิบสี่! ทรงพระเกษมสำราญเพคะ! ในใจพะว้าพะวังเต็มที่ เฮ้อ...ฉันก้มหน้ายิ้มเยาะตัวเอง มีหวังชื่อเสียงของฉันจะได้กระฉ่อนขึ้นไปอีกแน่
อืม ลุกขึ้นเถิด องค์ชายสิบสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบสุดๆ
เพคะ ฉันรีบหันตัวไปหลบยืนอยู่ด้านหนึ่งด้วยท่าทางสำรวม หน้าของฉันก้มมองพื้นอยู่ตลอด แต่ก็รู้สึกได้ว่าแววตาวาวโรจน์ขององค์ชายสิบสี่ยังคอยจ้องตัวฉันอยู่
น้องสิบสี่ ลำบากเจ้าต้องคอยห่วงแล้ว องค์ชายสิบสามกล่าวเสียงดังกังวาน ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า ในน้ำเสียงนั้นแฝงความขุ่นเคือง
หึๆๆ เห็นท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เมื่อวานเสี่ยงภัยมากจริงๆ มาเจอกับแม่หมีที่ไม่ได้จำศีลเสียได้ องค์ชายสิบสี่วางท่าผึ่งผาย
ฉันเหลือบเห็นองค์ชายสิบสามคิดจะลุกขึ้นนั่ง จึงรีบเข้าไปประคองเขาพร้อมจัดหมอนให้เขาเอนพิงได้สบาย แต่พอฉันจะถอยเขาก็กลับจับข้อมือฉันไว้ ฉันยิ้มพลางเหลือบตาไปมองเขา แต่พอเจอเข้ากับสายตาจ้องจับผิดขององค์ชายสิบสี่ รอยยิ้มบนใบหน้าก็มลายหายไปทันที รู้สึกเหมือนสายตาขององค์ชายสิบสี่วาวขึ้นด้วยความโกรธ ลูกหมาในมือถูกบีบจนส่งเสียงร้องออกมา แต่เพียงแวบเดียวเขาก็หันไปยิ้มพูดกับองค์ชายสิบสามต่อ
องค์ชายพวกนี้นี่! ฉันแอบขมุบขมิบปากบ่นขณะเดินหลบไปอีกข้างเพื่อจะหยิบเหยือกบนลังถึงแล้วจัดนมอุ่นสองแก้วมาให้พวกเขา ขณะที่กำลังจะหันตัวเดินกลับไป องค์ชายสิบสี่ก็เรียกขึ้น
เสี่ยวเวย เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาเรียกแบบนี้ รู้สึกไม่คุ้นเลย แต่ก็ต้องหันกลับมามอง
อยากจะถามเจ้าสักหน่อย เมื่อวานเจ้าทำเช่นไรให้หมีตัวนั้นผละออกจากองค์ชายสิบสามได้ องค์ชายสิบสี่ยิ้มแฉ่งถาม องค์ชายสิบสามก็ทำท่าสนใจ
ฉันกลืนน้ำลายไม่อยากบอกความจริง แต่คิดหาคำอ้างดีๆ ไม่ออกเลยเลือกเล่าให้รวบรัดที่สุด พอพูดจบฉันก็ก้มหน้างุดรอรับปฏิกิริยา แต่รออยู่พักใหญ่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นดู เห็นองค์ชายสิบสี่มองฉันด้วยท่าทางครุ่นคิด องค์ชายสิบสามก็กลับมองฉันด้วยท่าทางภาคภูมิใจ เอ๋...มีอะไรน่าพอใจเหรอ
เจ้าฉลาดแท้ องค์ชายสิบสี่ค่อยพูดออกมา ใบหน้าดูสงบนิ่ง แต่แววตากลับลุกโชนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ฉันก้มหน้าไม่กล้าสบตาองค์ชายสิบสี่
หม่อมฉันมิกล้า เพียงเพราะร้อนใจวู่วาม อีกทั้งยังบังเอิญเพคะ
เสี่ยวเวย เจ้าไปเถอะ ไปทูลพระนางเต๋อเฟยว่าข้าค่อยยังชั่วแล้ว พระนางจะได้ไม่ทรงวิตกกังวล และให้คนทำสำรับมาด้วยนะ จู่ๆ องค์ชายสิบสามก็สั่งขึ้น
เพคะ ฉันทำท่าคารวะแล้วค้อมหัวถอยออกมา
พอเดินไปถึงประตูก็ได้ยินเสียงองค์ชายสิบสี่พูดกลั้วยิ้ม เสด็จพ่อทรงเป็นห่วงยิ่งนัก เมื่อวานตรัสถามเสด็จแม่เป็นการใหญ่ ซ้ำยังทรงส่งให้ท่านหมอใหญ่ซุนเซิ่งขุยแห่งสำนักแพทย์หลวงมาดูท่านด้วย ดูเหมือนวิชาแพทย์ของเขาจะดียิ่ง ต่อให้กระดูกท่านไม่แข็งเท่านี้ เพียงชั่วข้ามคืนก็กลับมาหน้าชื่นตาบานได้เช่นกัน
ลำบากเสด็จพ่อต้องทรงกังวลพระทัยไปด้วย อีกประเดี๋ยวคงต้องส่งคนไปถวายพระพรพระองค์ องค์ชายสิบสามกล่าวด้วยความเคารพยกย่อง
ฉันเปิดม่านออกไปเงียบๆ กำลังจะปล่อยม่านลงก็ได้ยินองค์ชายสิบสี่พูดขึ้นอีก
ดูเหมือนพี่สี่ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อครู่ยังมาเยี่ยมท่านด้วย
ฉันตะลึงยืนค้างอยู่นอกกระโจม ได้ยินเสียงองค์ชายสิบสามพูดเสียงตื่นตระหนก
พี่สี่หรือ! เขาไม่ได้มานี่!
อย่างนั้นหรือ แต่ตอนที่ข้ามาเห็นพี่สี่ยืนอยู่หน้ากระโจมได้พักใหญ่ ครั้นเดินมาใกล้จะเรียกเขาก็กลับผละไป
ฉันไม่ได้ฟังต่อแล้วว่าเขาพูดอะไร เดินกำมือห่างมาจากกระโจมโดยไม่รู้ทิศทาง สุดท้ายก็ทนไม่ไหวทรุดนั่งลงตรงข้างกระโจมหนึ่ง
เขามาแล้ว เขาได้ยินอะไรบ้าง แต่เขาก็ไปแล้ว... ความคิดวนเวียนเหมือนผึ้งแตกรัง แถมยังบินหวึ่งๆ รอบตัวฉัน ในใจฉันเหมือนกำลังโบกไม้โบกมือไล่ปัดพวกมันไปให้พ้น แต่ก็กลับถูกมันต่อยจนเจ็บ ฉันนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น อดกลั้นความเจ็บปวดในใจ ฉันให้สัญญากับองค์ชายสิบสามไป แต่กลับผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับองค์ชายสี่...
อีกประเดี๋ยวจะกลับมาเพคะ...
เสี่ยวเวย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เล่า
ตงเหมยร้องทัก ฉันเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง เธอรีบเดินเข้ามาหา
ตงเหลียนบอกว่าเจ้าอยู่กับองค์ชายสิบสาม พอข้าไปหา พระองค์ก็ว่าเจ้าออกมาคารวะพระนางตั้งนานแล้ว ข้าร้อนใจจนไฟจะลุก แต่เจ้ากลับมานั่งเอ้อระเหยอยู่กลางทาง!
ตงเหมยพูดรัวราวกับปะทัด
ฮึๆ ฉันอดหัวเราะไม่ได้
ยังจะหัวเราะอีก
ฉันลุกขึ้นยืน ยิ้มพูดขัดจังหวะเธอ เจ้ามาหาข้ามีอะไรเหรอ
ตงเหมยชำเลืองมองด้วยหางตา
มัวแต่เคืองเจ้าจนเกือบลืมธุระเลยเชียว พระนางทรงให้หาเจ้าน่ะสิ รีบไปเถอะ!
อืม ฉันเดินตามตงเหมยไป เธอหันมามองฉันแวบหนึ่ง
เจ้าไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือ สีหน้าไม่ชวนมองเลย...ได้ฟังจากองครักษ์เล่าเรื่องเมื่อวานมาบ้าง เจ้า...เจ้ามิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่ เธอถามด้วยความห่วงใย
ฉันยิ้ม รีบเร่งฝีเท้าตามแล้วจับมือตงเหมยเดินไปด้วยกัน
ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง ข้าน้อยปกติดีทุกอย่าง
ฮึๆๆ! ตงเหมยหัวเราะพรืด เจ้านี่นะ จริงๆ เชียว
ฉันเดินตามตงเหมยมาถึงกระโจมที่เมื่อคืนมาดูแลองค์ชายสี่จึงเผลอหยุดเท้า ตงเหมยชะงักไม่เข้าใจ
เมื่อคืนพระนางท่านบรรทมไม่หลับทั้งคืน พอเช้าก็รีบเสด็จมา จริงๆ ทรงคิดจะเสด็จเยี่ยมองค์ชายสิบสามด้วย แต่ตงเหลียนว่าเจ้าอยู่ที่นั่น จึงทรงให้ข้าไปตามเจ้ามา เจ้ามีอะไรหรือ
ไม่มีอะไร เข้าไปกันเถอะ ฉันรู้สึกเหมือนขาหนักเป็นพันชั่ง แต่ก็ยังเร่งเท้าเดินเข้าไป
เสี่ยวเวย
ฉันกำลังจะเข้าไปตงเหลียนก็เรียกฉันไว้อย่างสงสัย ฉันหันไปมอง เห็นเธอทำท่าละล้าละลัง
ทำไมเจ้าจึงยิ้มเช่นนั้นเล่า
ฉันกะพริบตายิ้มกว้างขึ้นอีกแล้วก็เลิกม่านเข้าไป ทำไมถึงยิ้ม? เหอะๆๆ ฉันหัวเราะขมขื่นในใจ...ก็เพราะฉันไม่อยากร้องไห้น่ะสิ
ฉันเข้ามาในกระโจม สิ่งแรกที่ทักทายฉันก็คือกลิ่นหอมของต้มเห็ดหูหนูขาว พระนางเต๋อเฟยประทับบนขอบเตียง กำลังป้อนอาหารให้องค์ชายสี่ทีละคำๆ พระพักตร์ของพระนางอบอุ่นละมุนละไมเปี่ยมด้วยความรักทะนุถนอม ฉันตะลึงงัน ไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของพระนางมาก่อน ส่วนใหญ่พระนางจะแสดงความรักเอ็นดูแต่กับองค์ชายสิบสี่ ดูทีคนเป็นแม่ยังไงก็ต้องรักลูกของตัวเองทั้งนั้น ฉันค่อยๆ ก้าวเข้าไปอย่างแผ่วเบาแล้วถวายความเคารพด้วยความนอบน้อม
หม่อมฉันถวายบังคมพระราชชายาและองค์ชายสี่ ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ
อืม ลุกขึ้น พระนางไม่ได้ทรงหันมามองฉัน เพียงแต่ตรัสเสียงอ่อนโยนพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากให้องค์ชายสี่
ฉันแอบมองดูเห็นองค์ชายสี่ยังคงหลับตาเหมือนเดิม แต่สีหน้าแดงก่ำผิดปกติ หัวคิ้วก็ขมวดกันหน่อยๆ
เสี่ยวเวย...
อ๊ะ เพคะ ฉันมัวแต่มององค์ชายสี่ พระราชชายาทรงหันมามองทางฉันแล้ว
เมื่อวานให้เจ้ามาปรนนิบัติองค์ชายสี่ไม่ใช่หรือ เหตุใดไปทางองค์ชายสิบสาม หืม... พระนางตรัสเสียงเรียบ แต่กลับแฝงอำนาจกดดัน
ฉันสะอึก ก้มหน้าลงอย่างอัตโนมัติ จะให้ฉันพูดยังไงล่ะ บอกว่าห่วงองค์ชายสิบสามก็เลยทิ้งองค์ชายสี่ไปเหรอ สมองฉันหมุนติ้ว ลองคิดหาถ้อยคำโกหกแต่ก็กลัวไปไม่รอด เพราะองค์ชายสี่เป็นพยานยืนยันได้ ส่วนตงเหลียนก็คงทูลเล่าแต่ความจริง คิดแล้วคิดอีก เหมือนพูดอะไรก็ไม่ถูกไปหมด แป๊บเดียวเหงื่อก็ผุดซึมเต็มหน้าผาก ฉันกัดฟันในใจกำลังจะอ้าปากพูด...