ล่องกัลปาลัยบทที่ 17 มาแล้วครับ ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ คุณ รพิชา, แก้วกังไส, GTW, npuiy, สุชาดาวดี, นารีจำศีล, mimny, รัญช์, Hermosa, เรียวรุ้ง, wor_lek, อินทรายุธ, เพชรรุ้งพราย, kdunagin, คุณ กาแฟเย็นเพิ่มช็อต และทุกๆท่าน ครับ
สำหรับตอนที่ 16 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12120609/W12120609.html
บทที่ 17
แสนสงสาร หุ่นพยนต์ ศลภะ ต้องสูญสิ้น อิสระ กลางสมร พันธนา ด้วยเชือกมนตร์ บนขื่อมรณ์ กลางแดดร้อน แผดเผา น่าเศร้าใจ
แม้มิได้ "รู้สึก" แต่"นึกคิด" ถึงชีวิต เสรี ที่สดใส ปราศจาก ฆ่าฟัน ห้ำหั่นใคร ฤาอยู่ใต้ บัญชา แห่งสามานย์
ในความฝัน ถึงดินแดน แสนสงบ เกินพานพบ และกว้างใหญ่ สุดไพศาล เสียงกระซิบ พร่ำหา อยู่ช้านาน เมื่อเหลียวผ่าน กลับไม่เห็น คล้ายเร้นกาย
ความร้อนแห่งดวงสุริยันอันแผดกล้า หาได้ทำอันตรายใดๆแก่หุ่นโลหะพิเศษที่ถูกเสกสร้างขึ้นเป็นหุ่นพยนต์อย่างศลภมาณพได้ไม่ ระหว่างวันและคืนที่ผันผ่าน มันรู้ดีถึงความทรมานที่สิงหเมฆินทร์ต้องการกระทำต่อมัน
นั่นก็คือการปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยปราศจากดวงตาสำหรับการมองเห็น!
เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว หุ่นพยนต์ที่ทรงฤทธานุภาพอย่างพวกมันก็แทบไม่ต่างกับเศษโลหะที่ไร้ประโยชน์ และไม่จำเป็นต้องมีค่าอันใดอยู่บนโลกใบนี้...
รอไว้ให้ข้ากลับออกมาจากวิเทหะเสียก่อน ดวงตาอีกข้างของเจ้า จะถูกควักออกมาแน่นอน ศลภมาณพ อีกราตรีเดียวเท่านั้น!
หากจนบัดนี้ สิงหเมฆินทร์ก็หาได้กลับออกมาไม่ กี่วันกี่คืนกันแล้วเล่า? ในความทรงจำที่ถูกกำหนดมา มันพยายามคำนวณด้วยตนเอง ระหว่างการสังเกตการณ์คล้อยเคลื่อนของดวงตะวันและจันทรา
ณ เพลานี้ แสงแห่งทิวาวารเริ่มราแสงอ่อนล้าลงเรื่อยๆ ดับความร้อนระอุให้คลายลง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเข้มของผืนฟ้ายามรัตติกาล เสียงครางกระหึ่มดังขึ้น กลางลานโล่งของสมรภูมิรบที่มีแต่ซากศพของทหารหาญชาววิเทหะ นอนตายกันกลาดเกลื่อน
นัยน์ตาข้างเดียวที่เหลืออยู่หลับลง มันสดับถึงเสียงกระซิบประหลาดที่แผ่วเบาเรื่อยๆ เหมือนย้ำเตือนถึงตัวตนที่แตกต่างจากหุ่นพยนต์ไร้ชีวิตจิตวิญญาณพวกนั้น ศลภมาณพลืมตาขึ้น ทว่าทุกอย่างก็ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่สักเพียงผู้เดียว นอกจากกลุ่มทหารหุ่นพยนต์ไร้ชีวิตที่ยืนคุมเชิงรอบด้าน
แล้วชั่วขณะ ในความดำทะมึนของขอบฟ้า แสงวิชชุก็สว่างวาบแปลบปลาบ เป็นแฉกหงิกงอ ไม่ต่างกับกรงเล็บของอสูร
เปรี้ยง!!
คำรนก้องกังวานสะท้านสะเทือนแม้กระทั่งเสาหลักกลางลานมรณะยังสั่นไหว ก่อนที่สายพิรุณจะโปรยปรายลงมาเป็นสีขาวพร่างพรู อาบร่างของมันจนชุ่มโชก
ศลภมาณพเพ่งมองผ่านม่านฝนด้วยดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียว คล้ายเงาวับไหวไปมา มันเข้าใจว่านั่นคงจะเป็น หุ่นพยนต์รับใช้ตนใดตนหนึ่งของสิงหเมฆินทร์กำลังตรงดิ่งเข้ามาใกล้ทุกขณะ
ใคร??
ตราบจนเงานั้นปรากฏชัดเจนขึ้นต่อหน้ามัน ศลภมาณพพยายามตรึกนึกด้วยมันสมองที่เป็นหน่วยความทรงจำที่มีอยู่
ไม่ใช่หุ่นพยนต์สังหาร หรือแม้แต่สิงหเมฆินทร์ผู้โหดเหี้ยม แต่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งที่มันไม่เคยรู้จักมาก่อน
เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นบุรุษผู้นั้น ร่างสูงใหญ่ผึ่งผายแทบไม่ต่างกับสิงหเมฆินทร์ หากบนใบหน้าอันคร้ามเข้มคมคายนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปรานีและอ่อนโยน อย่างที่ไม่เคยพานพบกับผู้ใดมาก่อน
ข้าจะมาช่วยเจ้าเอง หุ่นพยนต์ศลภะ
ในหยาดฝนอันพร่างพรูรอบด้าน ศลภมาณพเพ่งสายตาข้างเดียวนั้น มองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยความฉงนฉงายยิ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนผสานผสมด้วยความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
ท่านคือใคร?
รอยยิ้มปริศนาที่มันไม่อาจหาความหมายได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่คมคายสมบุรุษเพศของอีกฝ่ายพร้อมเสียงทุ้มห้าวที่กังวานขึ้นเป็นคำตอบ
ข้ามีนามว่าเศาร์
**************************
การจรดลหรือล่องกัลปาลัย เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่รู้ตัว หลวงอนุรักษ์วนาดรรู้สึกถึงพลังใจอันแรงกล้าที่ต้องการช่วยเหลือหุ่นพยนต์ตนนั้น อาจเป็นเพราะเขาไม่สามารถปล่อยตัวละครเอกที่สร้างขึ้นในจินตนิทานของตัวเอง ให้ดำเนินไปตามโชคชะตากรรมที่ตัวละครเหล่านั้น กำลังกำหนดขึ้นเอง โดยไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ นอกจากการยืนมองเหตุการณ์ไม่ต่างกับเป็นคนนอก
วูบนั้นที่เขานึกอธิษฐานกับตนเองอยู่ในใจ
ด้วยเจตนาที่ต้องการจะช่วยเหลือหุ่นพยนต์ตนนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้สามารถผ่านขอบเขตปราการของกัลปาลัยนี้เข้าไปด้วยเถิด!
แล้วปรากฏการณ์มหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เพียงพริบตา เมื่อเผลอตัวโผร่างตรงไปเบื้องหน้า แล้วรู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างสามารถพุ่งทะลุผ่านกำแพงแก้วผลึกที่มองไม่เห็นออกไปได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
จากนั้นแรงผลักอันมหาศาลก็นำพาให้ร่างของเขาเคลื่อนผ่านออกมาสู่บริเวณลานสมรภูมิรบเบื้องหน้า ในเพลาแห่งสายัณหกาลพอดี สายฝนพร่างพรูลงมาจากผืนฟ้าที่เริ่มคล้ำทะมึนเป็นฉากอำพรางกายได้เป็นอย่างดี
เมื่อนั้น เศาร์จึงเริ่มมองเห็นว่าผิวกายตัวเอง มีลักษณะใสบางสามารถมองทะลุผ่านออกไปได้เหมือนสร้างขึ้นด้วยกระจกแก้ว แล้วจากนั้นอย่างช้าๆ... อณูในเรือนกายก็เริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมันกำลังรวมตัวกันเป็นผิวเนื้อ เพื่อกลับคืนเข้าสู่สภาพเดิมก่อนการก้าวข้ามอีกครั้งหนึ่ง
ในขณะนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาทั้งสิ้น เมื่อสามารถเดินผ่านกลุ่มทหารหุ่นพยนต์ที่เรียงรายอยู่จำนวนหนึ่งเข้าไปสู่กึ่งกลางลานอันเป็นสถานที่จองจำศลภมาณพได้ในที่สุด
แล้วสายฝนที่โปรยปรายก็ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ม่านฝนหนาหนักไม่ต่างกับฉากม่านอำพรางที่ช่วยให้เขาปลดปล่อยหุ่นพยนต์ผู้มีจิตสำนึกแห่งความมนุษย์ได้สำเร็จ
เมื่อนั้นเอง คุณหลวงหนุ่มก็มองเห็น เส้นแบ่ง ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ตำแหน่งที่เขาผ่านเข้ามาได้สำเร็จ
มันเหมือนกับภาพถ่ายที่ถูกถ่ายซ้อนทับกันไม่สนิท มีเหลื่อมเงาเกิดขึ้นเป็นรอยแยกเล็กน้อย ที่ริมด้านหนึ่งของฝั่งลานกว้างแห่งนั้น เขาลากหุ่นพยนต์ผู้พิการนัยน์ตาตรงดิ่งไปทันที ในขณะที่สายฝนหนาหนักแต่แรก เริ่มโรยตัวบางเบาลงเรื่อยๆ แฉกประกายวิชชุวาบขึ้นในจังหวะหนึ่ง และนั่นเองที่พวกกองทัพหุ่นพยนต์มองเห็นการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
ไอ้ศลภมาณพมันหลบหนีไปแล้ว!
เสียงอื้ออึงของพวกมันดังขึ้นแล้วขยายเสียงต่อเนื่องกันไปราวกับเสียงก้องกังวาน ที่ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในอุโมงค์ถ้ำ และแน่นอน สัญญาณนั้นจะส่งตรงไปยังผู้บัญชาการของพวกมัน ภายในวิเทหนคร...
สิงหเมฆินทร์!
ช้าไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มหันมามองหุ่นพยนต์ศลภะผู้มีนัยน์ตากระจ่างเพียงข้างเดียวแล้วตัดสินใจในฉับพลัน ไม่ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ใดเหนือกว่าความคาดหมายก็ตามที เขาต้องตัดสินใจในบัดนี้แล้ว
บทเพลงแห่งปัจฉิมมนตราบรรเลงขึ้นเองโดยอัตโนมัติ เมื่อนั้นเส้นแบ่งพรมแดนแห่งจินตนาการปรากฏเพียงเงาคว้า ใกล้เข้ามาทุกขณะของการขยับเคลื่อนไหว แต่แล้วศลภมาณพก็เสียหลักสะดุดล้มลงและพลอยดึงให้ร่างของเขาล้มติดตามลงมาด้วย
เสียงกองทัพหุ่นพยนต์ไร้ชีวิตพวกนั้น ใกล้เข้ามาทุกขณะ และเสียงคำรนของพวกมันก็แทบไม่ต่างกับเสียงสวดมนตราของปวงปีศาจอันน่าสะพรึงยิ่ง มันทำให้เศาร์ ตระหนักขึ้นเป็นครั้งแรกว่า พลังแห่งจินตนาการของตัวเอง ที่สร้างมันขึ้นมาจะมีความน่ากลัวอำมหิตสักเพียงใด
จินตนาการที่อาจจะมาจากด้านมืดภายในจิตใจของมนุษย์!
และเขาอาจจะไม่มีวันได้กลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้อีก
คุณหลวงหนุ่มแห่งพระนคร ขยับกายยันตัวลุกขึ้น อาการเสียดเจ็บหน้าอกประดังขึ้นจากการเสียหลัก ร่างกระแทกกับกองศิลาบนทุ่งลานดินอันกว้างใหญ่ไพศาล หรือสนามรบด้านหน้ากรุงวิเทหนครนั่นเอง เขาอาจจะไปไม่ทันเสียแล้ว เมื่อหันมองกลับไปและมองเห็นทหารหุ่นพยนต์กลุ่มแรกกำลังควบขี่อาชาอย่างเร่งร้อนตรงดิ่งเข้ามาโดยไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนแต่ประการใด
แล้วร่างหนึ่งในกลุ่มของพวกมัน ก็ยกคันธนูขึ้นมา ก่อนจะล้วงหยิบลูกดอกโลหะจากกระบอกที่สะพายเอาไว้ด้านหลังขึ้นมาน้าวเต็มแรงแขน เพื่อส่งธนูสังหารออกไป
โดยเป้าหมายทั้งสองกำลังรอคอยอยู่เบื้องล่าง!
เขามองเห็นลูกธนูมรณะถูกปล่อยออกเมื่อน้าวจนสุดแรงเล็ง เสียงกรีดลั่นของหัวลูกศรที่เสียดแหวกผ่านอากาศตรงดิ่งมาอย่างซื่อสัตย์โดยไม่บ่ายเบนไปในทิศทางใด
หลวงอนุรักษ์วนาดร ไม่อาจแม้แต่ขยับกาย หากกระนั้นชายหนุ่มผู้พลัดหลุดเข้าสู่อีกมิติแห่งจินตนาการ ก็มองเห็น...
เงาบางอย่างกระเพื่อมไหว คล้ายท้องฟ้าเบื้องบนแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นกลางมหาสมุทร และเมื่อนั้นเอง เขาจึงรับรู้ว่ามันเป็นแผงปีกมหึมาที่แผ่ขยายกว้างออกจนแทบบดบังผืนฟ้า แล้วทอดผ่านคลี่คลุมลงมาอย่างนุ่มนวลปรกอยู่เหนือศีรษะ
ก่อนประกายสีทองแฉกวาบจะปรากฏขึ้น
นั่นเป็นครั้งแรก ที่เขาได้พบกับตัวตนของมันอย่างแท้จริง
องค์สุวรรณชตุกา... หรือค้างคาวทอง!!
************************ แสงสุวรรณ สาดสาย ประกายกล้า กระจ่างฟ้า จับห้วง โพยมหน เมื่อสุวรรณ ชตุกา มาบินบน หุ่นพยนต์ ยืนนิ่ง มิติงกาย
กระหยับปีก เกิดมหา วาตะกล้า เบี่ยงศัสตรา เบนทิศ ผิดเป้าหมาย ในท่ามกลาง กลุ่มควัน อันรอบราย พาหนึ่งชาย จรดล ข้ามพ้นไป...
ไม่มีเวลาครุ่นคิดอีกต่อไป แรงกระตุกมือของศลภมาณพ ทำให้เขาได้สติ เงามืดที่ฉวับวูบอยู่เบื้องบน ก่อให้เกิดกระแสลมอื้ออึง และพลังอันรุนแรงแห่งวาตะที่ส่งแรงกระเพื่อมของผืนอากาศเข้าปะทะลูกศรเหล็กของหุ่นพยนต์อันเป็นเป้าหมาย
เสียงเปรี๊ยะ ดังขึ้น แล้วลูกธนูเหล็กก็ถูกแรงกระแทกจนหักสะบั้น เสมือนมือพระกาฬจับมันหักเป็นสองท่อนด้วยพลกำลังอันมหาศาลกลางผืนนภากาศ ก่อนที่จะปล่อยให้หลุดร่วงลงกระทบพื้นพสุธาแทบจะในทันที และเป็นจังหวะเดียวที่เขาออกแรงวิ่งพร้อมกับหุ่นพยนต์ศลภะ เข้าสู่ขอบเขตของ โลกจริงที่ปรากฏเหลื่อมซ้อนและขยายช่องว่างออกจากกันเรื่อยๆราวกับอุโมงค์ที่ช่องปลายทางออกขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามเสียงสังวัธยายที่เริ่มแผ่วหายลงจนจางลับไปในที่สุด...
ภาพห้องพักส่วนตัวในเขตพระนคร ปรากฏเต็มสายตาเพียงชั่วมือเอื้อมคว้า และแทรกซ้อนอยู่ระหว่างกลางของภาพพื้นที่กลางสมรภูมิรบแห่งวิเทหนคร ยิ่งขยายขนาดแจ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเขามองเห็นเตียงนอนของตนเอง เก้าอี้และโต๊ะไม้สำหรับนั่งทำงาน ปรากฏอยู่ริมหน้าต่าง เห็นแม้กระทั่งดวงจันทร์ส่องแสงสุกสกาวผ่านม่านลูกไม้ปลิวไสว...
ศลภะ!
ร่างของหุ่นพยนต์หนุ่มฉกรรจ์ตนนั้น ก้าวผ่านเข้าสู่ปราการโปร่งแสงคล้ายผืนกระจกมหึมาทอดตัดดิ่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วทะลุผ่านวูบเข้าไปในอุโมงค์แห่งกาล เขาได้ยินเสียงร้องของอีกฝ่ายดังขึ้น ก่อนจะเงียบหายเข้าไปในอีกฟากด้านหนึ่งของปลายฝั่งแห่งการจรดล และเมื่อนั้นเองหลวงอนุรักษ์วนาดร ก็ตัดสินใจพุ่งตัวเลื่อนผ่านตามเข้าไปเป็นลำดับที่สอง ในกำมือของตนเองมีเพียงเศษก้อนหินที่ฉวยคว้าติดมือตอนล้มคว่ำลงไปเท่านั้น
เสียงลั่นเปรี๊ยะ กัมปนาทขึ้นกังวานก้องไปในแก้วหูทั้งสองข้าง ราวแก้วหูจะแตกละเอียด แล้วร่างทั้งร่างก็หลุดผ่านเข้ามาสู่ห้องพักด้านใน อันเป็นห้องทำงานในบ้านพักส่วนตัวของเขาเอง ในเขตพระนคร กลางความเงียบสงัดของรัตติกาล ปราศจากเสียงกระหึ่มโห่ร้องใดๆของกองทัพหุ่นพยนต์
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่ววิบตาฝัน การหลอมรวมร่างจาก โลกฝัน สู่ โลกจริง เกิดขึ้นโดยแทบไม่รู้สึกตัว และที่สำคัญที่สุด...
เขาสามารถพา ตัวละครตัวหนึ่งข้ามเข้าสู่อาณาจักรของโลกจริงจากโลกในจินตนาการได้สำเร็จแล้ว!!
หลวงอนุรักษ์วนาดร รีบยกปกกัลปาลัยมหัศจรรย์เล่มนั้นปิดกลับเข้าหากันในทันที ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวอักษราที่กำลังดำเนินผุดขึ้นมาบนผืนกระดาษหยุดชะงักลงเหมือนถูกตรึงเอาไว้อยู่กับที่ และแสงเรืองรองที่ส่องผ่านออกมาจากภายในนั้นก็ดับวูบลงไปพร้อมกัน จนกลายเป็นเพียงหนังสือธรรมดาเล่มหนึ่งเท่านั้น
เขาพยายามทรงกาย เดินย้อนกลับไปเปิดโคมกระจกเหนือโต๊ะทำงาน สดับเสียงหัวใจตนเองเต้นโครมครามราวกับจะปะทุออกมานอกทรวงอก ทั้งด้วยความตื่นเต้นระทึกใจ และมหัศจรรย์ใจกับปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในชีวิต
นี่คือการเดินทางอย่างที่วิศวามิตรพราหมณ์ทำนายไว้ไม่แผกผิดกัน
ข้ารู้ ข้าเห็น ในอนาคตกาล ชีวิตของเจ้าจะต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆอีกมากมายเหลือเกินกว่าจะคณานึกนัก สิ่งนี้อาจจะนำพาเจ้าไปสู่ปลายทางที่ปรารถนานั้น
บัดนี้หลวงอนุรักษ์เข้าใจแล้วโดยเฉพาะคำว่า อาจจะของอีกฝ่าย
ทุกอย่างที่จารจรดลงไปด้วยหัวใจ จักได้รับการตอบรับด้วยหัวใจเดียวกัน จำไว้ว่า ทุกอย่างจะเกิดขึ้นจากการเลือกของเจ้า... เพียงผู้เดียวเท่านั้น! เจ้าคือผู้เลือกมรรคาของตัวเองด้วยการจรดล...
มรรคาอันมหัศจรรย์เกินกว่ามนุษย์ผู้ใดจะมีโอกาสได้พานพบ ผ่านการจรดลเข้าไปในกัลปาลัย โลกหรือดินแดนสมมติในจินตนาการในวรรณกรรม!
ศลภมาณพ
เมื่อนั้น หลวงอนุรักษ์วนาดรจึงเริ่มได้สติกลับคืนมา เขามองก้อนศิลาในกำมือ สิ่งนั้นแปรเปลี่ยนสภาพเป็นทองคำไปแล้ว เฉกเช่นกับที่เขาเคย ทดลอง ในการจรดลครั้งก่อนหน้า
หลวงอนุรักษ์ละความสนใจ แล้วรีบหันกลับมามองร่างที่นอนคว่ำคู้กายอยู่บนพื้นห้องด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย
ร่างนั้นเหมือนปราศจากชีวิต มิไหวติงกายใดๆ ชายหนุ่มจึงค่อยๆก้าวเดินตรงเข้าไปหา แตะมือลงที่บ่ากว้างของอีกฝ่ายเบาๆเพื่อเรียกขาน หากร่างนั้นก็ยังมิขยับ หลวงอนุรักษ์วนาดรจึงตัดสินใจออกแรงพลิกให้ร่างศลภมาณพหงายขึ้น
สภาพของอีกฝ่ายที่ปรากฏเบื้องหน้า แทบจะทำให้คุณหลวงหนุ่มถึงกับยืนตะลึงงันโดยไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ไปชั่วขณะ...
********************* ติดตามต่อตอนที่ 18 ในสัปดาห์หน้าครับ
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
27 พ.ค. 55 12:07:26
|
|
|
|