Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนตราปาหนัน บทที่ ๗ : ปั๊บสาผูกที่สอง ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๗ : ปั๊บสาผูกที่สอง


“อาจารย์คะ อาจารย์อติรุทธ์คะ”

คนกำลังอยู่ในภวังค์ถึงกับสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงของเด็กสาวเรียกชื่อตนเอง ทั้งที่นั่งอยู่ห่างกันเพียงโต๊ะทำงานคั่น เกือบจะถามแล้วว่าทำไมต้องเรียกเขาเสียดังขนาดนี้ ดีที่เห็นสีหน้างุนงงของคนตรงหน้าเสียก่อน จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตลอดเวลาเขาไม่ได้ฟังในสิ่งที่ลูกศิษย์อธิบายถึงเรื่องหัวข้อวิจัยที่จะทำเลยสักนิด

“อาจารย์เป็นอะไรคะ หนูถามตั้งสองสามครั้งแล้ว อาจารย์ก็ไม่ตอบหนูสักคำ”

เด็กสาวต่อว่านิดๆ พร้อมกับทำหน้ากระเง้ากระงอด เพราะเจ้าตัวก็อธิบายมาเสียยาวเหยียด แต่คนฟังกลับไม่ได้สนใจเลย อติรุทธ์ยิ้มเจื่อนเป็นเชิงขอโทษ ความที่ภาควิชานี้อาจารย์และลูกศิษย์อยู่กันแบบคนในครอบครัว ทำให้การแสดงออกต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายเป็นไปอย่างเป็นกันเองเสียมากกว่าจะเป็นทางการเหมือนภาควิชาอื่นๆ  

“ขอโทษทีระริน พอดีผมมีเรื่องงานต้องคิดนิดหน่อย เมื่อกี้คุณถามว่ายังไงนะ”

“ค่ะ หนูถามว่า...”

อติรุทธ์เรียกสติและสมาธิให้คืนกลับมาจดจ่อกับนักศึกษาของตนเองอีกครั้ง จนกระทั่งการให้คำปรึกษาจบลงด้วยดี เขาลุกขึ้นเดินไปส่งระรินที่หน้าประตูห้องตามมารยาท อาจารย์หนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อลูกศิษย์เดินลับสายตาไปแล้ว พอเหลือบมองนาฬิกาบนผนังเห็นบอกเวลาสี่โมงเย็น จึงหับประตูไว้ก่อนก้าวยาวๆ มาเก็บของเพื่อจะลงไปหาสินธุ ยังไม่ทันเสร็จก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ความที่คิดว่าเป็นระรินย้อนกลับมาอีกรอบจึงร้องบอกออกไป

“ยังสงสัยอะไรอีกหรือระริน เปิดเข้ามาเลยผมไม่ได้ล็อคห้องหรอก”

“ระรินไม่สงสัย แต่รันตีสงสัยค่ะ”

ชายหนุ่มเงยหน้าขวับ พอเห็นเจ้าของเสียงก็ทำหน้าหน่ายโดยไม่ปิดบังความรู้สึก กิริยานั้นทำให้มิรันตีหน้าตึงทันที

“รันตีน่าเบื่อมากหรือยังไง พบกันทีไรรุทธ์ถึงทำท่าอย่างนี้ใส่รันตี แล้วไหนจะเรื่องที่คอยหลบหน้ารันตีอีก ทำไมคะรุทธ์”

“ทำไมน่ะหรือ คุณน่าจะรู้คำตอบนะ”

“รันตีไม่รู้ค่ะ”

หล่อนตีหน้าตาย ทำเป็นไม่เข้าใจขึ้นมาเสียดื้อๆ อติรุทธ์รวบกองหนังสือและเอกสารบนโต๊ะยัดเข้าไปในกระเป๋าเป้อย่างลวกๆ รูดซิปปิดโดยไม่สนใจว่าของข้างในจะเป็นอย่างไร เพราะต้องการจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไปก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดลง

“ทียายยุวดีนั่นคุณยังยอมให้มันเข้าใกล้คุณได้เลย”

“ยุเป็นเลขาภาควิชาอยู่แล้ว และทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย”

“อ้อ รันตีเพิ่งรู้ เลขาภาควิชามีหน้าที่กันผู้หญิงทุกคนออกห่างจากอาจารย์อติรุทธ์ด้วย”

เคราะห์ดีที่บนภาควิชาวันนี้มีอาจารย์อยู่เพียงไม่กี่คน และห้องพักอาจารย์ทางปีกซ้ายก็มีเพียงเขากับมิรันตีเท่านั้น แม้จะมีประตูกระจกกั้นกลางตรงทางเดินก็ตาม แต่นั่นก็ยังไม่ปลอดภัย เพราะหน้าต่างห้องที่เปิดเอาไว้ก็ทำให้เสียงลอดออกไปภายนอกได้อยู่ดี ทั้งคำพูดของผู้หญิงตรงหน้าก็ชวนให้คนที่ได้ยินเข้าใจผิดยุวดีได้ง่ายๆ เสียด้วย

“มิรันตี ระวังปากคุณหน่อย อย่าพูดจาไม่ให้เกียรติยุวดีอย่างนั้น”

“จำเป็นต้องให้เกียรติด้วยหรือคะ เป็นแค่เลขาแต่คอยวิ่งกันท่าผู้ชาย”

มิรันตีเอ่ยเยาะๆ ขณะที่คนฟังนัยน์ตาวาวด้วยความไม่พอใจจนถึงที่สุด นี่หรือคำพูดคำจาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ อติรุทธ์ลุกขึ้นยืนพร้อมกับคว้าเป้ขึ้นสะพายไหล่ คนปากกล้าถึงกับถอยห่างไปก้าวหนึ่งอย่างเกรงๆ กับสายตาของคนตรงหน้า

“จำเอาไว้มิรันตี ยุวดีเป็นผู้หญิงที่ดีกว่าคุณเป็นร้อยเท่าพันเท่า เธอไม่ได้ว่างพอที่จะวิ่งตามผู้ชาย หรือทำอะไรอย่างที่คุณคิด จะบอกให้เอาบุญนะ ผมเป็นคนวานให้ยุวดีทำอย่างนั้นเอง”

“โกหก รันตีไม่ได้ยินรุทธ์สั่งมันอย่างนั้นสักนิด”

หล่อนขึ้นเสียงสูงด้วยความโกรธปนอายที่ถูกผู้ชายว่าใส่หน้าอย่างไม่เกรงใจ ชายหนุ่มยิ้มหยันๆ ความสวยของเจ้าหล่อนหายวับไปกับตาพร้อมคำพูดนี้เอง หายไปพร้อมกับเส้นด้ายความอดทนของเขาขาดผึงลง

“ผมยอมรับว่าไม่ได้สั่งตรงๆ บอกแล้วไงยุวดีฉลาด พูดอ้อมๆ ก็รู้ว่าต้องทำยังไง ผิดกับบางคนที่ต่อให้พูดตรงแค่ไหนก็ไม่เข้าใจ แบบนี้จะเรียกว่าโง่หรือหน้าด้านดีล่ะ”

เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนฝูงและคนสนิทว่า คนอย่างอติรุทธ์ไม่เคยด่าทอใคร อาจมีบ้างที่ไม่พอใจ แต่ก็ไม่เคยโกรธใครจริงจัง นี่เป็นครั้งแรกที่มิรันตีเห็นอีกฝ่ายในมุมมองที่ต่างไป หล่อนมองเขาราวกับคนไม่เคยรู้จัก คำพูดรุนแรงชนิดนี้หล่อนไม่เคยได้ยินเขาพูดกับใครมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเคยมีแต่แววอบอุ่นอ่อนโยน มาตอนนี้มันเป็นประกายกร้าวไม่ผิดกับนักรบมองดูศัตรู น้ำเสียงกร้าวกระด้างที่สำทับมาทำให้เจ้าหล่อนยืนตะลึงอยู่กับที่

“จำไว้นะมิรันตี อย่ายุ่งกับยุวดีเด็ดขาด และอยู่ให้ห่างจากผม ต่างคนต่างอยู่”

พูดจบก็เดินกระแทกไหล่คนที่ยังยืนขวางทางอยู่ออกไปอย่างไม่แยแส ทั้งยังเปิดประตูกระจกที่จะออกไปสู่ห้องกลางเอาไว้เสียด้วย ทิ้งให้มิรันตียืนอึ้งอยู่ที่เดิมเพียงคนเดียว ลับร่างของอดีตคนรักไปไม่ถึงอึดใจ หล่อนก็แว่วเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจอยู่ใกล้ๆ

“แม่ดาวเรืองเอ๋ย อย่าพยายามอีกเลย ยิ่งหล่อนเข้าหาพี่โมกมากเท่าใด เขาก็จักยิ่งชังหล่อนมากขึ้นเท่านั้น หล่อนมันเจ้าชู้มากชายไปเสียทุกภพทุกชาติ เยี่ยงนี้แล้วยังหมายว่าพี่โมกจักเลือกหล่อนอีกหรือ”

“ใครน่ะ นั่นใคร”

เจ้าของเสียงหัวเราะเย็นเยือกแทนคำตอบ มิรันตีเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดกลัว นัยน์ตาเบิ่งค้างเมื่อเห็นผู้หญิงลึกลับคนหนึ่งสวมเพียงสไบสีตองและผ้านุ่งพื้นน้ำเงิน ในมือถือดอกลำเจียกส่งกลิ่นหอมตลบ ยืนพิงโต๊ะทำงานของอติรุทธ์มองตรงมาที่หล่อนอยู่ก่อนแล้ว ทั้งที่ในห้องเมื่อครู่นี้ไม่มีใครอยู่เลย ลำเจียกไม่ตอบอะไรเพียงแค่แสยะยิ้มแล้วเลือนหายไปต่อหน้าต่อตามิรันตี อาจารย์สาวกรีดร้องลั่นแล้วล้มฟุบลงหมดสติไปทันที เสียงร้องของหล่อนเรียกให้ยุวดีที่กำลังทำงานอยู่ที่ห้องกลาง พร้อมกับอาจารย์อีกสองสามคนที่นั่งคุยเล่นกันอยู่ลุกพรวดวิ่งเข้ามาด้านในอย่างตกใจ


หญิงสาวลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พอเห็นคนที่รายล้อมอยู่ก็งุนงงอย่างคนที่ยังตั้งสติไม่ได้ กระทั่งใครคนหนึ่งถามขึ้นว่าหล่อนเป็นอะไร เพราะอยู่ดีๆ หล่อนก็กรีดร้องขึ้น เมื่อเข้าไปดูก็เห็นหล่อนหมดสติอยู่หน้าห้องทำงานของอติรุทธ์แล้ว มิรันตีที่นึกทบทวนเหตุการณ์ตามจึงนึกออก หล่อนเหลียวมองรอบตัวอย่างผวา ก่อนจะตอบว่า

“ดิฉันเจอผีในห้องทำงานรุทธ์ค่ะ”

คำตอบนั้นทำให้ทุกคนหันมามองหน้ากัน แล้วหัวเราะออกมาอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก ทำให้คนเล่าถึงกับหน้าเสีย รีบละล่ำละลักยืนยัน

“จริงๆ นะคะ ดิฉันเห็นจริงๆ”

“ตาฝาดแล้วครับอาจารย์มิรันตี พวกเราเคยอยู่กันดึกๆ ไม่เห็นเคยเจออะไรเลย” อาจารย์ชายคนหนึ่งบอกกลั้วหัวเราะ

“ผีผู้หญิงห่มสไบสีตองอ่อนค่ะ ดิฉันเห็นอย่างนั้น แล้วเธอยังถือดอกอะไรไม่รู้ด้วยค่ะ กลีบใหญ่ๆ สีนวลๆ กลิ่นหอมมาก”

อาจารย์ชายคนหนึ่งนิ่งฟังคำของมิรันตีแล้วก็หัวเราะ พร้อมกับบอกว่า

“งั้นผมนึกออกแล้วครับ มาสิครับอาจารย์มิรันตี เราไปดูห้องเจ้ารุทธ์กัน แล้วคุณจะรู้ว่าที่คุณเห็นนั่นคืออะไร”

สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนนั้น คือภาพวาดสีน้ำขนาดเท่าคนจริงของผู้หญิงลักษณะตรงตามที่มิรันตีบอกไปเมื่อครู่ก่อน แขวนอยู่ที่ผนังด้านหลังของโต๊ะทำงานเจ้าของห้องนั่นเอง ส่วนที่มาของกลิ่นหอมนั้น อาจารย์คนเดิมชี้ไปบนโต๊ะซึ่งมีดอกลำเจียกวางอยู่

“นี่ไงครับอาจารย์ ผู้หญิงที่คุณว่ากับกลิ่นดอกไม้ที่คุณบอก วันนี้ไม่รู้ว่าเจ้ารุทธ์ไปเอาดอกปาหนันที่ไหนมา ท่ามันจะลืมเอากลับไปด้วย”

มิรันตียืนงง นี่หล่อนตาฝาดไปได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ รูปนั้นไม่ได้เล็กๆ เลย ทำไมหล่อนถึงไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อน แล้วยังจะดอกปาหนันอะไรนี่อีก ห้องทำงานก็อยู่ตรงข้ามกันแค่นี้ แถมหล่อนยังอยู่ในห้องเกือบตลอดทั้งวันจะไม่ได้กลิ่นมาก่อนหน้าเลยหรือ เหมือนอาจารย์คนเดิมจะรู้ความคิดหล่อน จึงบอกต่อไปว่า

“เจ้ารุทธ์ชอบเก็บดอกไม้ไทยๆ มาไว้ในห้องครับ ช่วงเช้ามันเข้ามาแป๊บเดียว แล้วหายยาวเลย ดอกนี่คงเพิ่งเอามาช่วงบ่ายนี่แหละครับ แล้วคงลืมเอากลับไปด้วย ส่วนรูปนี่ มีมานานแล้ว เพียงแต่เจ้ารุทธ์มันชอบเอาลังเอกสารเอาหนังสือมาสุมไว้แถวนี้เลยไม่ค่อยเห็น พอดีสองสามวันก่อนมันหอบงานกลับไปทำที่บ้าน ห้องก็เลยโล่งขึ้นแล้วพลอยเห็นรูปนี่ด้วย”

มิรันตีทำหน้าไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่ก็ไม่อยากโต้แย้ง เพราะสิ่งที่หล่อนพบเจอไม่ใช่แค่นี้ หากยังมีเสียงด้วย แน่นอน พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ อีกอย่างที่หล่อนรู้ดี ใบหน้าของผู้หญิงในภาพกับที่หล่อนพบนั้น ไม่ใช่คนคนเดียวกันแน่นอน


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 19:44:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com