Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๔ : ธวัชที่ปลิดปลิว (ท่อนจบ) ติดต่อทีมงาน

+++ โฮ่ย ยอมรับว่าบทนี้เหนื่อยเอาการค่ะ เขียนจากสัญญาเดิม (สัญญาทางธรรมนะคะ ไม่ใช่สัญญาทางโลก หุหุ) ที่หลงเหลืออยู่ ก็ออกมาประมาณนี้ล่ะค่ะ ภาพฉากรบเขาให้มาแค่นี้จริงๆ  

บ่นมากแล้ว มาอ่านกันดีกว่านะคะ แหะๆ+++



บทที่ ๔ : ธวัชที่ปลิดปลิว


ร่างสูงลงจากม้าได้ก็เดินลิ่วเข้าไปในกระโจมทันใด เพลานี้จอมทัพโกสัมพีไม่อาจทนสู้หน้าผู้ใดในกองทัพได้อีก สิ่งที่ขุนจายแก้วกระทำไปด้วยความหวังดีเป็นที่ตั้งนั้น มาบัดนี้ได้ทำความอับอายมาให้อย่างเหลือที่จักกล่าว อันว่าชาตินักรบนั้นยอมตายด้วยมือศัตรูดีกว่าจักหนีออกจากการศึกเยี่ยงนี้ ขุนจายแก้วมองตามผู้เป็นนายไปด้วยสายตารู้สึกผิดใช่น้อย ด้วยรู้ดีว่าตนกระทำพลาดไปเสียแล้ว อารามเป็นห่วงจึงกระทำลงไปโดยไม่ทันคิด กว่าจักรู้ก็ทำให้เจ้าฟ้าสิทธิราชเสื่อมเสียเกียรติในการประลองไปเสียแล้ว ขุนพลเฒ่าลงจากหลังม้ายืนชั่งใจอยู่ชั่วขณะก็ตามนายเข้าไปด้านใน เพลานี้จักต้องอาญาทัพเยี่ยงไรก็ยอมสิ้นแล้ว

“ออกไป ข้าไม่อยากเห็นหน้าผู้ใดทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้า ขุนจายแก้ว”

เสียงตวาดดังมาทันทีที่เห็นผ้ากั้นทางเข้าถูกตลบออก พร้อมกับถ้วยดินเผาที่ถูกขว้างมาแตกแทบเท้าของผู้ที่ยืนนิ่งอยู่หน้าทางเข้ากระโจมนั่นเอง  ขุนจายแก้วลดสายตาลงมองเศษถ้วยที่น้ำใสๆ ที่กระเด็นมาถูกเท้าของตนนั้นส่งกลิ่นเมรัยอวลเข้าจมูก

“ข้าเจ้ามาขอลุแก่โทษ”

ขุนพลเฒ่าบอกเสียงเรียบดุจเคย มีแววตาเท่านั้นที่บอกว่าเจ้าตัวรู้สึกดังปากว่า เจ้าฟ้าสิทธิราชแค่นหัวเราะพลางหันไปเทเมรัยจากโตกเตี้ยข้างตัวรินใส่ถ้วยใบใหม่ แล้วยกดื่มรวดเดียวเกลี้ยงถ้วย

“ลุแก่โทษ หึ! มาขอไยเพลานี้ สายไปแล้วขุนจายแก้ว เจ้าทำให้ข้าเสียหน้าเสียเกียรติหนักหนา ป่านนี้คนลวปุระคงหัวเราะดูแคลนข้าจนสาใจ มีอย่างรึ ประดาบกันอยู่พอเห็นว่าจักแพ้ก็มีคนเข้ากันตัวออกมาเยี่ยงนี้”

“ข้าเจ้าขอรับผิดถ้วนทุกสิ่ง มิขอแก้ตัวแต่อย่างใดเลย หากที่ทำไปก็ด้วยห่วงเจ้าฟ้าโดยแท้”

“เรื่องนั้นข้ารู้” เจ้าฟ้าสิทธิราชเสียงอ่อนลง “แต่สิ่งที่เจ้าทำก็ผิดไปจากธรรมเนียมแห่งการประลอง ข้าจำต้องลงโทษเจ้าตามอาญาทัพ”

ขุนจายแก้วไม่ปริปากว่าอย่างไร กลับทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าทางเข้านั่นเอง เจ้าฟ้าสิทธิราชทอดถอนใจยาวก่อนปรบมือเรียกทหารที่ยืนอยู่ด้านนอกให้เข้ามา

“เอาขุนจายแก้วไปจำคาไว้ ศึกใหญ่วันพรุ่งอย่าให้มันติดตามไปด้วยกองทัพ”

นั่นคือโทษสถานเบาที่สุดแล้ว ขุนพลเฒ่ายกมือขึ้นไหว้สานายเหนือเกล้าอย่างตื้นตัน แท้แล้วความผิดนี้ถึงขั้นต้องโทษประหารเสียด้วยซ้ำ หากเจ้าฟ้าท่านยังปรานีเลือกโทษเบาที่สุดให้ เจ้าฟ้าสิทธิราชไม่พูดว่าอย่างไร นอกจากยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงไล่เท่านั้น ขุนจายแก้วไหว้สาลาอีกคำรบแล้วลุกขึ้นเดินตามทหารออกไปโดยมิพักรอให้คนทั้งสองต้องเข้ากุมตัวแต่อย่างใด ทว่าก่อนที่จักเดินพ้นไปนั้น เขาหันมามองผู้เป็นนายอีกคำรบ แลครานี้เองที่ทำให้น้ำตาบุรุษชาตินักรบถึงกับเอ่อคลอ สองขาอ่อนยวบจนถึงกับทรุดลงตรงนั้นเอง สองมือยกขึ้นพนมแล้วกราบลงบนผืนดิน เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ภาพตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปรไปจากเดิม

เจ้าฟ้าสิทธิราชยังนั่งอยู่ที่เดิมในลักษณะที่มองตรงมาทางขุนพลเฒ่า แต่ร่างนั้นไร้ส่วนอันเป็นศรีษะ ครั้นหลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่จึงเห็นทุกอวัยวะถ้วนสมบูรณ์ นัยน์ตาที่ทอดตรงมาทางเขามีแววหมองดุจรู้ถึงชะตาตนเอง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏในดวงหน้าก่อนจักเบือนหลบ พร้อมๆ กับที่ทหารสองนายช่วยพยุงท่านผู้เฒ่าให้ลุกขึ้นแลพาออกไปจากกระโจม กระนั้นขุนจายแก้วก็ยังยินคำสั่งของจอมคนโกสัมพีดังตามหลังมา

“ผู้ใดอยู่ข้างนอก เร่งไปตามหัวศึกทั้งปวงมาพบข้าโดยพลัน”

การยุทธนาครั้งสุดท้ายบังเกิดในวันพรุ่งแน่แล้ว ขอแลงดอนแลเทวาทั้งหลายจุ่งช่วยปกปักเจ้าฟ้าสิทธิราชด้วยเถิด ขอให้สิ่งที่ข้าเห็นจุ่งเป็นเพียงภาพเงาอันลวงตาด้วยเถิด ขุนจายแก้วภาวนาอยู่ในใจ ขณะที่เบื้องหน้านั้นดวงตะวันดวงใหญ่กำลังเคลื่อนลงลับแนวเขา แลไม่นานนักแสงตะวันลำสุดท้ายก็ลาลับหายจากชายฟ้า


  “.........................บุกบั่นไปเอาชัย.............สุดแรงใจแลแรงกาย
 ............บ่พรั่นแม้ชีพวาย.........................เลือดเนื้อพลีเพื่อแผ่นดิน
 .........................ดาบต่อดาบประจัน..........รบโรมรันเลือดหลั่งริน
 ............ถมทับดับชีวิน.............................บ่ห่อนเกรงตะลุยไป
 ........................เสียงม้าคะนองก้อง..........เสียงโห่ร้องดุจยาใจ
 ............ฝ่าทัพหักธงชัย............................มาถวายจอมนารี”


เสียงขับลำนำเป็นทำนองครึกครื้นแว่วมาตามจุดต่างๆ กระจายทั่วทั้งค่ายลวปุระ ชัยชำนะที่ได้มาเป็นยาดีที่ช่วยบำรุงขวัญแลกำลังใจให้คนเหล่านั้นฮึกเหิมขึ้นเป็นอันมาก เจ้าหญิงจามเทวีปล่อยให้ทหารไพร่ราบจัดงานรื่นเริงได้ แต่ห้ามขาดมิให้นำสุรามาบำรุงเลี้ยงกันโดยเด็ดขาด ซึ่งคนเหล่านั้นก็ยึดถือคำสั่งเคร่งครัดเป็นอันดี ขณะที่ประดานายกองแม่ทัพทั้งหลายมิได้ร่วมวงด้วย  แต่มารวมกันอยู่ที่กระโจมกลางเพื่อหารือเรื่องการศึกในวันพรุ่ง จอมทัพสาวที่กำลังคิดวางกลศึกอยู่ ครั้นยินลำนำนี้เข้าก็อดถามมิได้

“ผู้ใดขับลำนำนี้ เรามิเคยได้ยินมาก่อน”

ปวงแม่ทัพทั้งหลายอมยิ้มไม่มีผู้ใดยอมตอบคำ เสียงขับลำนำบอกมิได้แน่ชัดว่าเป็นทหารนายใด เจ้าหญิงจามเทวีขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทีนั้น

“ไยไม่มีผู้ใดตอบเรา”

“เจ้าถามว่าผู้ใดขับมิใช่ฤๅ จักตอบได้เยี่ยงไร ในเมื่อทหารขับกันทั้งค่าย”

เจ้าชายนเรนทรบอกยิ้มๆ พลางปรายตาไปทางคนผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมในการหารือด้วย เจ้าตัวหลบวูบกับสายตานั้น เสมองแผนที่ชัยภูมิแทนแลทำเป็นมิได้ยินคำเย้านั้น

“เจ้าต้องถามว่าผู้ใดแต่งลำนำต่างหาก”

“เช่นนั้นผู้ใดเล่าพี่ท่าน วานบอกข้าทีรึ”

“จักมองไกลไปไยเล่าน้องข้า คนผู้นั้นก็อยู่ข้างเจ้านั่นแล้ว”

เจ้าหญิงจามเทวีเหลียวซ้ายแลขวา ผู้ใดกัน ในเมื่อคนที่อยู่ข้างตนในเพลานี้นอกจากเจ้าชายรามราชแล้วก็มีพี่เลี้ยงทั้งสอง เจ้าชายวิษณุ แลสิงห์ เจ้าชายรามราชอมยิ้มก่อนบอกว่า

“มิใช่พี่แน่ อ้าวเฮ้ย! ผู้ใดแต่งก็บอกแม่นายไปสิวะ จักมาก้มหน้าทำเหนียมเป็นหญิงอยู่อีก”

จอมนารีมองตามสายตาของคู่หมั้นก็เห็นสิงห์เงยหน้าขึ้นมาพร้อมหัวเราะแหะๆ

“ข้าเองแม่นายท่าน ไม่ชอบฤๅไม่ไพเราะกระนั้นรึ”

“ตรงข้าม มันไพเราะนัก เราเห็นสิงห์ชาญเชิงรบนัก มิคิดเลยว่าจักแต่งเป็น”  

ครานี้สิงห์ไม่ทันตอบเพราะมัวแต่ยิ้มเขินที่ได้รับคำชม หากเป็นเจ้าชายวิษณุที่บอกขึ้นมาแทน

“นักรบก็อ่อนโยนได้ หัวใจนักรบกับหัวใจกวีมันก็ดวงเดียวกันนั่นแหละ สุดแต่ว่าจักพลิกใช้ด้านใดเพลาใดเท่านั้นเอง นักรบใช่ดุดันแลกระด้างเยี่ยงคนทั่วไปคิดหรอก” เจ้าชายแห่งรัตนปุระหรี่ตาลงน้อยๆ อย่างเจ้าเล่ห์ “เอ แต่พี่ว่าความข้อนี้เจ้าน่าจักแจ้งใจกว่าผู้ใดนะ จามเทวี”

ใช่เพียงเจ้าหญิงจามเทวีที่วางหน้าไม่ถูก เจ้าชายรามราชเองก็พลอยเก้อไปอีกคนหนึ่ง สุดท้ายจอมทัพสาวจึงแก้เก้อด้วยการเรียกถุงเบี้ยจากพี่เลี้ยงมามอบให้สิงห์ แลเร่งเปลี่ยนเรื่องกลับมาสู่การศึกแทน

“ถึงเพลานี้ฝ่ายเราได้เปรียบแล้วก็จริง แต่ข้าก็ยังไม่คลายใจ หากเรายื้อศึกกันอยู่เยี่ยงนี้ กำลังคนที่น้อยกว่าอาจทำให้เราเสียเปรียบอีกคำรบ   ข้าคิดว่าฝ่ายโกสัมพีเองก็คงคิดไม่ต่างกัน ฝ่ายนั้นยิ่งรบนานไปเสบียงอาหารก็ยิ่งร่อยหรอ ข้าคิดว่าอย่างไรวันพรุ่งโกสัมพีก็ต้องเปิดศึกใหญ่เป็นแน่ เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ข้าคิดว่าวันพรุ่งจักทำศึกให้เด็ดขาดลงไปเสียที”

เจ้าหญิงจามเทวีเว้นระยะนิดหนึ่ง เห็นคนฟังตั้งใจฟังเป็นอันดีก็กล่าวสืบไปว่า

“แต่เราจักไม่ทุ่มกำลังทั้งหมดเข้าโจมตีในทุ่งยุทธ์ ข้าจักแบ่งกำลังเป็นสามส่วน ส่วนหนึ่งยกไปซุ่มอยู่ด้านหลังค่ายโกสัมพี รอเพลาตีตลบทัพอีกชั้นหนึ่ง ขอให้รอดูสัญญาณที่ทัพใหญ่จักส่งไปนั้นเถิด ส่วนที่สองคอยซุ่มอยู่ตามรายทางคอยโจมตีทหารที่แตกทัพ แลถ้าเราพลิกตกเป็นรอง ให้ตีล่อพวกมันมาที่ช่องเขาขาด พวกท่านทั้งหลายเห็นควรเยี่ยงไร”


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 27 พ.ค. 55 20:00:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com