บันทึกความทรงจำบทที่ 5 ชายชื่อ คัง ดง อุก
|
 |
บทที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12134405/W12134405.html
บทที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12137466/W12137466.html
บทที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12142609/W12142609.html
บทที่ 4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12155159/W12155159.html
ในที่สุดก็ถึงเวลาเปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง ที่หอของเราก็มีนักศึกษาต่างชาติทะยอยเข้ามาพักจนเต็มแล้ว และที่แฟลตของผมก็มีคนมาพักจนเต็มโควตาจำนวนห้อง นานาชาติมาก มีทั้งเม็กซิกัน ใต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตรุกี บรูไน ไซปรัส กรีซ เวเนซูเอล่า และผมที่เป็นคนไทย ดีตรงที่เรามีคนมาจากหลากหลายเชื้อชาติ ประสบการณ์ต่างๆกัน มาแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นในเรื่องต่างๆกัน และมีความสัมพันธ์กัน (อย่าคิดเป็นอย่างอื่นนะครับ ผมหมายถึงความสัมพันธ์ที่รู้จักจนเป็นแฟนกัน แล้วก็แต่งงานกันหลังจากเรียนจบแล้ว ^__^) แต่ร้อยทั้งร้อยเรามีนักดนตรีคนสวยประจำแฟลต ลี ยุน จี นั่นเอง 5555 หลังจากเปิดเรียน เธอซ้อมเปียโนบ่อยกว่าเดิม อ่านหนังสือพวกทฤษฎีอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ ส่วนผมก็เอาแต่วุ่นกับพวกตำราเหมือนกัน เพราะมีเรื่องให้อ่านเยอะมาก เพื่อเตรียมตัวเข้า class ในแต่ละครั้ง ซึ่งจะมีการ discuss กันในห้องเรียน แล้วเตรียมหัวข้อทำ Course work แต่สิ่งที่พอทำให้ผมผ่อนคลายได้บ้างก็คงจะเป็นบรรดาซีรีย์ที่หาจากในเว็บดูฟรี แล้วก็เสียงเปียโนของ ยุน จี แปลกนะครับ เวลาที่เธอเล่น แทนที่ทุกคนจะหาว่ารบกวน แต่ทุกคนกลับชอบ บอกว่าเพราะดี ผมเองก็ว่าเพราะดี ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอบางช่วงอาจไม่ได้ไปไหนมาไหนกันเหมือนช่วงแรกๆ เพราะต่างคนต่างยุ่ง แต่เราอาศัยเวลาช่วงเย็นทำกับข้าวด้วยกัน แล้วเล่าเรื่องที่เราเจอในแต่ละวันให้ฟังกัน และหลังจากเปิดเรียนได้ประมาณ 1 สัปดาห์ เธอก็พูดขึ้นมาแบบเขินๆ ว่า
"ปิง วันเสาร์นี้ว่างมั้ย" เธอทำท่าเขินๆ
"อื้อ ว่างๆ มีอะไรเหรอ" ผมถามด้วยความอยากรู้ เพราะเห็นเธอทำท่าเขินๆ พลางคิดในใจว่า เธอมีอะไรกับผมรึเปล่า
"คือพอดีจะแนะนำคนๆนึงให้รู้จักน่ะ" พอพูดเสร็จหน้าเธอก็ออกแดงเรื่อๆ คนๆนั้นคงไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆล่ะ!!!
"เพื่อนของเธอเหรอ"
"ก็ไม่เชิงเพื่อนหรอกนะ เค้ามาเรียนที่ลอนดอน เสาร์นี้เค้าจะมาหาชั้น"
"ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ" ผมถามแต่ผมเองก็เตรียมคำตอบไว้ในใจอยู่แล้ว
"เอ่อ......." เธอลังเลที่จะบอก "ผู้ชายน่ะ"
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ ผมเองก็พอจะเดาออกว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเค้าไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ แต่ที่ผมแปลกใจมากๆคือความรู้สึกของตัวผมเอง ทำไมมันรู้สึกว่างเปล่า รู้สึกเหมือนกับมีอะไรกระชากความรู้สึกอย่างรุนแรง ในหัวของผมโล่งไปหมด แล้วมีคำถามเกิดขึ้นในใจของผมว่า ทำไมกัน ผมกับเธอเป็นเพื่อนกัน ไม่มีอะไรเกินเลย แล้วทำไมผมต้องรู้สึกอะไรแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกทรมานใจอย่างบอกไม่ถูก ผมถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาตลอดทั้งวัน ผมรูัสึกกับเธอแค่เพื่อนจริงๆเหรอ พยายามซื่อสัตย์กับตัวเองมากที่สุด หรือว่าผมกำลังหลอกตัวเองว่าผมรู้สึกกับเธอแค่เพื่อน จนในที่สสุดผมก็พบคำตอบ....ผมหลงรักเธอครับ......มันค่อยๆเกิดขึ้นทีละน้อย จนมีสิ่งที่มากระตุ้นความรู้สึกนี้คือ ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นทำให้ผมแน่ใจในตัวเองแล้วว่า ผมรักเธอ เพราะถ้าคนๆนั้นไม่ปรากฎตัว ผมอาจจะยังหลอกตัวเองอยู่ก็ได้ ก็ดีแล้วที่เขาทำให้ผมชัดเจนในความรู้สึกซะที ผมได้แต่นิ่งอึ้ง ซึมทั้งวัน จนไม่อยากให้วันเสาร์มาถึง ผมคงทำใจไม่ได้ครับ
พวกเพื่อนๆสังเกตเห็นอาการซึมเศร้าของผม แต่ละคนแปลกใจเพราะปกติผมจะเป็นคนร่าเริง สนุกสนาน แต่คราวนี้ดูแปลกๆไปก็ได้แต่ปลอบใจว่าถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็ขอให้บอก จะได้ช่วยกันแก้ปัญหา ผมเองได้แต่ขอบคุณในน้ำใจแต่ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง ไม่นานนักผมเองก็พอทำใจได้บ้างและกลับเป็นผมคนเดิมอีกครั้ง ตั้งใจเรียนต่อไป ในที่สุดวันเสาร์ก็มาถึง.......
ตอนนั้นเป็นช่วงสายๆ ของวันเสาร์ ยุน จี มาเคาะประตูห้องผม พอดีกับที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ ผมมองลอดตาแมวของห้องออกไปเห็นเธอยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายรูปหล่อ รูปร่างสูงใหญ่ ดูเป็นลูกผู้ดีมีตระกูล ผมจึงเปิดประตูออกไป ผมยิ้มน้อยๆ ทักทายทั้งเธอและแขกของเธอ
"ดอง อุก นี่ปิง...เพื่อนสนิทของชั้นที่นี่" เธอแนะนำ
"สวัสดีครับ" เขาทักทายพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตรพลางยื่นมือออกมา
"โอ้ สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ" ผมยิ้มแย้มทักทาย แต่ในใจยังรู้สึกแปลกๆอยู่
"ปิง นี่คือ คัง ดอง อุก เป็น...เป็น....แฟนของชั้นเอง!!!!"
@#$%*& !!!! ผมอึ้งไปอีกครั้ง ตอนนั้นเข่าผมแทบทรุด แต่พยายามฝืนยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในหัวโล่งไปหมด ฟัง ยุน จีพูดไม่ถนัด แต่พอจับใจความได้ว่า ทั้งคู่เป็นแฟนกันตอนอยู่ที่เกาหลี ดอง อุก เป็นลูกเจ้าของบริษัทรถยนต์ของเกาหลี จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมการแต่งตัวของเขาถึงดูผิดแปลกไปจากคนทั่วไป เพราะเขาใช้ของแบรนด์เนมแทบทั้งหมด ทั้งคู่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย คบกันมาได้สามปีแล้ว
ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะแต่ก็ไม่วายสังเกตเห็นสีหน้าของ ดอง อุก ดูแล้วผมว่าเขาคงรู้แล้วล่ะว่าผมรู้สึกยังไงกับแฟนสาวของเขา เขามองผมพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย เป็นเชิงเยาะเย้ย แต่ก็ช่างมันเถอะ ที่ผ่านๆมา เวลาเจอปัญหาผมมักจะชอบพูดกับตัวเองว่า ช่างมันเถอะ!!! คราวนี้ก็ ช่างมันเถอะ!!!!!!
ครับ ท่านผู้อ่าน วันนั้นทำเอาผมเซ็งทั้งวัน เหตุเพราะทำใจไม่ได้ เห็นภาพบาดใจตลอด ตั้งแต่ตอนกินข้าวกลางวัน หลังจากนั้นผมไม่เป็นอันทำอะไร อ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง เพราะทั้งสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน ผมได้ยินเสียงหัวเราะกัน ชายหญิงหยอกล้อ ซักพักนึงก็เงียบไปเป็นเวลานาน ผมกังวลเหลือเกิน เลยต้องทำตัวเหมือนกับในหนัง หยิบแก้วน้ำออกมาใบนึง เดินออกไปนอกห้อง ค่อยๆ ย่อง ไปที่ประตูห้องของเธอ แล้วทาบแก้วลงไปที่ประตูห้องเบาพร้อมกับเอาหูแนบ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ทำอะไรกันอยู่นะ!!!
"ทำอะไรน่ะ!!!" เสียงๆนึงลอยมาปะทะหูผมอย่างจัง หันกลับไปผมถึงกับต้องถอนใจยาวๆ ทาเคชิ เพื่อนญี่ปุ่นที่อยู่ห้องตรงข้ามผมนั่นเอง เฮ้ออออ นึกว่าใคร พอดีทาเคชิเพิ่งออกมาจากครัว เพราะไปชงกาแฟ ขากลับมาคงเห็นผมทำลับๆล่ออยู่หน้าห้องของ ยุน จี เลยถาม
"5555 เปล่าๆ ไม่มีอะไรๆ" ผมหัวเราะแก้เขิน
ทาเคชิมองผมแล้วหัวเราะพร้อมกับบอกว่า "นายนี่มันบ้าจริงๆ คงอยากรู้ล่ะสิว่าสองคนนั่นทำอะไรกันอยู่" แหม ช่างพูดแทงใจดำดีแท้
"เอาน่าๆๆๆ ดูก็รู้แล้วว่าสองคนนั่นเป็นแฟนกัน ทำใจซะเถอะ เพื่อนก็คือเพื่อนวันยังค่ำล่ะ ไว้วันไหนชวนพวกเพื่อนๆเราไปดื่มกันที่ผับละกัน เผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น" เขาพูด นี่แสดงว่าพฤติกรรมของผม รวมทั้งเรื่องราวของเธออยู่ในสายตาชาวแฟลตนี้ทั้งหมดเลยเหรอเนี่ย คงเอาไปนินทากันให้แซดเลยสิท่า!!!
เขาก็ไม่ว่าอะไรต่อ แล้วก็กลับเข้าไปอ่านหนังสือในห้องของตัวเองต่อไป
ผมที่ยังทำใจไม่ได้เลยต้องออกไปวิ่งรอบๆทะเลสาบระบายความเครียด อากาศฤดูใบไม้ร่วงสำหรับคนไทยนี่เย็นเอาเรื่องนะครับ แถมช่วงนั้นอากาศก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ใบไม้สีสวยร่วงลงมา ยังกับว่า ใจผมมันจะร่วงหล่นตามมันอย่างงั้นแหละ ผมวิ่งไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย ไล่ตั้งแต่ริมทะเลสาบ ลัดตัดพื้นหญ้ากว้างๆ สุดลูกหูลูกตาภายในมหาวิทยาลัย ธรรมชาติรอบๆตัวมันชวนให้อารมณ์ของผมค่อยๆ ผ่อนคลายลงทีละน้อย ผมจึงกลับหอพัก ตอนนั้นจำได้ว่าเข้าช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว พอไปถึงแฟลต เห็นเธอและเขากำลังจะเข้าเมืองไปหาข้าวเย็นกิน
"ไปไหนมา...ดูสิเหงื่อแตกซีกเลย" เธอถามพลางมองแสกนผมทั้งตัว ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ดูกระทัดรัด สวมแจ็กเก็ตสีดำทับ น่ารักดี ส่วน ดอง อุก มองผมแล้วอมยิ้ม เหมือนกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ บอกตรงๆ ผมไม่สบอารมณ์เลย ขอซักเปรี้ยงเถอะ แต่ไม่ทำตามที่ใจคิด เพราะเจ้านี่ตัวใหญ่มาก ขืนทำไปคนที่โดนเปรี้ยงคงเป็นผม
"เอ่อ....ไปวิ่งเล่นไล่จับกระต่ายมาน่ะ!!!" ท่านผู้อ่านอย่าหาว่าผมบ้านะครับ คือที่มหาวิทยาลัยของผมล้อมรอบด้วยธรรมชาติสวยงาม มีกระต่ายเยอะมาก แถมบางทีวิ่งจ็อกกิ้งตอนเช้าๆ ยังเจอหมาจิ้งจอกเลย มันกำลังคาบกระต่ายอยู่ในปาก!!! เรื่องการไล่จับกระต่ายจึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ถึงไม่แปลกใจว่าจากการสำรวจอันดับมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของอังกฤษในด้านวิชาสิ่งแวดล้อม (Environmental Science) มหาวิทยาลัยของผมคืออันดับหนึ่งของอังกฤษ!!!
"อ้าว...เหรอ แล้วนี่อ่านหนังสือจบแล้วเหรอ ถึงได้ออกไปวิ่งผ่อนคลาย"
"อืมมม ทำนองนั้น แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะ"
"จะพา ดอง อุก ไปเที่ยวในเมือง แล้วกินข้าว เย็นนี้ไม่ต้องรอกินข้าวนะ"
หลังจากทั้งคู่เดินออกไป ผมได้แต่ถอนใจ กลับเข้าห้อง รีบอาบน้ำอาบท่า ความผ่อนคลายเมื่อครู่หายไปแล้ว ผมพยายามที่จะไม่คิดอะไรมาก แล้วเดินอย่างเหงาหงอยเข้าไปทำอาหารในครัว ระหว่างที่ทำอาหารอยู่หน้าเตา ผมเองก็ไม่ทันสังเกต ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนๆ นึงกระโจนขึ้นมาขี่หลัง หัวเกือบทิ่มเข้าไปในเตา ตกใจแทบสิ้นสติ หันกลับมากลับเห็นผุ้หญิงคนนึง ยืนฉีกยิ้มอย่างเบิกบาน............"Hello my Pinggggggggggggggggg" เธอลากเสียงยาว หลังจากนี้เป็นต้นไป ความหายนะปนคราบน้ำตาก็เกิดขึ้นกับตัวผม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! T^T
จากคุณ |
:
Red Boomer
|
เขียนเมื่อ |
:
29 พ.ค. 55 06:47:05
|
|
|
|