Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผู้ทอแสง [บทที่ 1 ผู้มาเยือน] ติดต่อทีมงาน

บทนำ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12162460/W12162460.html

@คุณปีกเงิน ขอบคุณมากค่ะ ดีใจจังที่ชอบ >/////< มาต่อบทที่ 1 กันเลยนะคะ

------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ผู้ส่งสาส์นจากส่วนกลางมาถึง อาเธลกำลังเก็บกวาดบ้าน บ้านของเขาหลังไม่ใหญ่ เป็นกระท่อมไม้ซุงขนาดอยู่คนเดียวกำลังสบาย ตั้งอยู่กลางป่าลึกในเขตเวสต์วินด์ เมื่อตอนอายุครบสิบห้าและต้องออกจากพระราชวังที่วินด์สอาย เขาบอกพ่อกับแม่ว่าจะย้ายมาอยู่ในป่าเพลงพรายแห่งนี้ และโดนทัดทานเสียหูแทบชา

‘ถึงจะต้องไปอยู่ทางตะวันตก ก็ไม่เห็นต้องไปเสียไกลความเจริญขนาดนั้นเลย’ แม่ของเขา...หรืออีกนัยหนึ่ง องค์ราชินี...บ่นพึม

มันก็ไกลจริง ๆ นั่นแหละ เมืองหลวงของเขตเวสต์วินด์ห่างจากใจกลางวินด์สอายชั่วระยะเดินทางด้วยม้าสามวัน หากเดินเท้าคงใช้เวลาสักสัปดาห์ ทว่าจากเมืองหลวงของเวสต์วินด์มาถึงป่าซึ่งอยู่ตะวันตกไปอีกนั้นใช้เวลาอีกสองวันหากขี่ม้า และห้าวันหากเดินเท้า ซ้ำป่านี้ยังอยู่ติดกับแม่น้ำอลิเซียอันกั้นพรมแดนระหว่างวินเดเมียร์กับเกรซ ไม่แปลกหากพ่อ แม่ รวมทั้งขุนนางอื่น ๆ จะไม่อยากให้เจ้าชายรัชทายาทอันดับสามมาอยู่ที่นี่

'ระวังเถอะ สัตว์ประหลาดที่ถูกขังไว้ในป่าแถวนั้นจะมากินตับน้อง' พี่สาวเขาพยายามขู่ คำขู่นี้อาจใช้ได้ผลหากอาเธลอายุสักห้าขวบ แต่โตจนป่านนี้ เขารู้แล้วว่าเรื่องเล่าที่อเรียนน่ายกขึ้นมานั้นก็แค่นิทานหลอกเด็ก

ต่อให้แม่ พี่ชาย พี่สาว และเสนาอำมาตย์คัดค้านแค่ไหน เด็กหนุ่มก็ยังยืนยันคำเดิม ลงท้ายฝ่ายที่ค้านทั้งหมดก็เหนื่อยแรงไปเอง และต้องยอมอย่างเสียไม่ได้

หลังจากตกลงกันเรื่องตำแหน่งแห่งที่กันได้แล้ว ปัญหาต่อมาคือตัวบ้านที่อยู่อาศัย ขุนนางทั้งหลายยืนยันเสียงแข็งว่าต้องมีการสร้างปราสาททัดเทียมกับที่แปรพระราชฐานแห่งอื่น รวมทั้งมีองครักษ์เฝ้าระวังอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน อาเธลปัดข้อเสนอทิ้งนั้นไปอย่างไม่แยแส ยื่นคำขาดว่า

‘ปราสาทไม่เอา องครักษ์ก็ไม่เอา หากไม่ยอมให้ข้าอยู่บ้านธรรมดาแบบคนธรรมดา ข้าจะแอบหนีออกไปเอง แล้วพวกท่านจะไม่มีวันตามข้าเจออีกเลย’

นั่นเอง เหล่าขุนนางถึงได้เงียบเสียงกันได้ เพราะรู้กันดีว่าเจ้าชายอันดับสามพระองค์นี้ แม้ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ต่างจากเจ้าชายเอธานองค์โต เรียนไม่ค่อยเอาอ่าว ไม่เหมือนเจ้าหญิงอเรียนน่าองค์รอง ทว่าหากเป็นวิชาพรานป่าและอัศวิน อันประกอบด้วยการพรางตัว แกะรอย รวมไปถึงวิชาดาบ วิชารบ และศิลปะป้องกันตัวทั้งหลาย เขามีพรสวรรค์เหนือพี่ ๆ ทั้งสองไปหลายขุม และอาจต้องโทษเหล่าทหารพรานที่เจ้าชายองค์เล็กชอบไปคลุกคลีตีโมงด้วย ที่ไม่รู้ว่าสอนกลยุทธ์กันท่าไหน เจ้าชายถึงเก่งกว่าทหารพรานทั้งหมดในดินแดนไปเสียได้ คราวก่อนเจ้าชายลองวิชา แอบซ่อนตัวอยู่ในพระราชวัง ทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โต ผ่านไปสามวันยังไม่มีใครหาเจอ จนเจ้าชายต้องออกมาจากที่ซ่อนเองเพราะหิวเหลือทน

ดังนั้นเหล่าเสนาอำมาตย์จึงไม่กล้าเสี่ยง เนื่องจากรู้ว่าหากเจ้าชายอาเธลจะซ่อนจริง ๆ พระองค์ซ่อนได้มิดชิดและจะไม่มีใครตามเจอจริงดังที่พระองค์ประกาศ

ด้วยเหตุนี้อาเธลจึงได้อยู่บ้านเล็ก ๆ แบบคนธรรมดาสมใจ ไม่มีคนมาก้าวก่าย บ้านหลังนี้มีเขาอยู่คนเดียว

และด้วยเหตุที่อยู่คนเดียว เด็กหนุ่มจึงไม่เห็นความจำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ่อย ๆ ครึ่งปีจึงเก็บกวาดเสียครั้งหนึ่ง เขาอยู่ในบ้านหลังนี้มาปีหนึ่งแล้ว ครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่สอง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขณะที่อาเธลกำลังกวาดเศษขยะที่กองสุมกันอยู่บนพื้นใส่ตะกร้า เขาวางมือจากตะกร้าชั่วคราว มองไปทางประตูอย่างประหลาดใจที่มีผู้มาเยือน โดยเฉพาะมาเยือนในยามวิกาลเช่นนี้ เมื่อเขายังไม่ไปเปิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างใจร้อน เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจหยิบดาบคู่ใจซึ่งวางพิงกำแพงไว้ขึ้นมาคาดเอว ก่อนเดินไปยังประตู

ทว่าก่อนที่เขาจะเดินไปถึง ประตูกลับเปิดผางออก...หรือควรเรียกว่าพังลง...ด้วยตัวเอง บานพับประตูถูกหลอมจนละลายและหลุดออกจากเนื้อไม้

“อ้าว อยู่บ้านหรือพะย่ะค่ะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ถ้าทรงอยู่แล้วทำไมไม่รีบเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดเสียแต่ทีแรกล่ะพะย่ะค่ะ”
หากหลับตาฟังคงนึกว่าคนพูดกำลังคุกเข่าหมอบกราบอยู่อย่างนอบน้อม ไม่ใช่ยืนแยกเขี้ยวอย่างหงุดหงิดอยู่เช่นนี้ ผู้มาเยือนเป็นเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับอาเธล ทว่าสูงกว่าเกือบครึ่งศีรษะ เขาอยู่ในชุดคลุมเดินทางตัวหนา

“ทีแลน เซฟีร์ เจ้าพังประตูบ้านข้า” คนได้รับการเคารพเป็นอย่างสูงด้วยการถล่มประตูบ้านกล่าวหาทันควัน

“ประตูบานเดียวเอง อย่าทรงขี้เหนียวน่า ฝ่าบาท” คนโดนตั้งข้อหาโบกมืออย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่

“ทำไมไม่รอข้ามาเปิด”

“นึกว่าไม่อยู่” อีกฝ่ายตอบง่าย ๆ ก่อนบอก "เอ้า ยื่นมือมาหน่อย สองข้างเลย เร็ว อย่ามัวทำเล่นตัว"

อาเธลทำตามด้วยสายตาระแวง

และร่างไร้สติของเด็กสาวคนหนึ่งก็ถูกเพื่อนอุ้มมายัดเยียดใส่อ้อมแขนเขา พร้อมกับเสียงสั่ง

"เอาไปผิงไฟหน่อย ไม่งั้นเดี๋ยวจะแข็งจนม่องไปเสียก่อน"

อาเธลตาโต อยากจะคาดคั้นเพื่อนว่าไปล่อลวงลูกสาวใครมา หากเมื่อเหลือบมองคนที่เขาอุ้มอยู่ เห็นดวงหน้าเผือดไร้สีเลือด และริมฝีปากซึ่งเปลี่ยนเป็นสีม่วงเพราะความหนาวเย็น ก็รีบนำร่างนั้นไปวางลงบนตั่งตัวยาวซึ่งอยู่ติดผนังข้างเตาผิง หาผ้าอุ่น ๆ มาพันตัวให้ และเร่งเข้าครัวไปเอาน้ำร้อนซึ่งเขาต้มไว้เตรียมชงชา มากรอกใส่ถุง และกลับออกมาพร้อมขวดเหล้าในอีกมือหนึ่ง สอดถุงน้ำร้อนเข้าใต้ผ้าห่ม

ทีแลนกำลังใช้เวทมนตร์ซ่อมแซมประตู เด็กหนุ่มหลับตา ร่ายมนตร์เป็นภาษาประหลาดที่อาเธลฟังไม่เข้าใจ ตระกูลเซฟีร์ของทีแลนเป็นตระกูลนักเวทซึ่งใหญ่ติดอันดับหนึ่งในสี่ในวินเดเมียร์ ทายาทของตระกูลจึงถูกฝึกให้ใช้เวทมนตร์มาแต่เด็ก อีกทั้งตัวทีแลนเองก็มีพลังเวทสูงไม่น้อย ดังนั้นเพียงพริบตา ประตูที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นก็กลับตั้งขึ้น บานพับเหล็กซึ่งหลอมละลายเพราะความร้อนถูกดัดกลับเข้าที่ ทิ้งร่องรอยหงิกงอไว้เพียงเล็กน้อย

"อธิบายให้ข้าเข้าใจหน่อยได้ไหม ว่ามันเป็นมายังไงกัน" อาเธลสอบสวนเมื่อเพื่อนตรวจความเรียบร้อยของประตูเสร็จแล้วลงนั่ง คนถูกถามเอื้อมมาคว้าขวดเหล้าจากมืออาเธลไปเปิดและกรอกใส่ปากเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง เสื้อคลุมที่ใส่มามันหนาดีก็จริง แต่เจอลมแรง ๆ หนาว ๆ แบบนี้เข้า ก็เล่นเอาเขาแทบแข็งตายไปเหมือนกัน

“ข้าเก็บนางได้แถว ๆ นี้ เห็นหมดสติกองอยู่ในป่า เลยพามาด้วย” คนตอบถูเนื้อตัวไล่ความหนาวเย็น “เจ้ารู้จักนางหรือเปล่า”

อาเธลพินิจดูเด็กสาว ดวงหน้าขาวแทบไม่มีสีเลือด หากก็ยังน่ามอง เส้นผมหล่อนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ด้านหลังถักเป็นเปียเดี่ยวยาวเกือบเท่าความสูงของตัว ส่วนด้านหน้าปล่อยให้เคลียอยู่ที่หน้าผากมน คิ้วเรียวได้รูป จมูกโด่งปลายรั้นนิด ๆ ริมฝีปากอิ่มเต็ม

“ไม่ แถวนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากข้า นางอาจจะหลงป่ามาจากไหน” อาเธลเปรยอย่างครุ่นคิด “แล้วเจ้ามานี่มีอะไร”

“ช่วงนี้ข้ารับงานพิเศษเป็นผู้ส่งสาส์น”

“สาส์นด่วนอะไรต้องให้เจ้าเป็นคนส่ง ทำไมไม่ให้ม้าเร็วมาแจ้ง” อาเธลเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ตามปกติการติดต่อระหว่างเขากับส่วนกลางนั้นเป็นไปโดยใช้ม้าเร็วหรือพิราบสื่อสารเป็นส่วนมาก การใช้นักเวทนำสาส์นมานั้นไม่ใช่เรื่องปกติ แปลว่าต้องเป็นเรื่องด่วนจริง ๆ จนรอให้ม้าเดินทางไม่ไหว ทั้งยังเป็นเรื่องลับที่ยอมให้มีจดหมายเป็นลายลักษณ์อักษรหลงเหลือไว้ไม่ได้ ต้องบอกกล่าวด้วยปากเปล่าเท่านั้น

“ทั้งด่วน ทั้งสำคัญ และเจ้าก็ควรรีบเก็บข้าวของเสียแต่ตอนนี้ เตรียมไปกับข้า" ทีแลนว่าพลางลูบเนื้อตัวไล่ความหนาวเย็น และขยับเข้าไปใกล้เตาผิง มีทีท่าคล้ายลังเลนิดหนึ่งก่อนจะบอกช้า ๆ "เมื่อชั่วยามก่อนมีการแจ้งมาจากหัวหน้านักบวชที่หอแสง...ผู้ทอแสงหายตัวไป"

อาเธลหันขวับไปมองเพื่อนด้วยสายตาคล้ายไม่เชื่อหู แต่พริบตาเดียวดวงตาสีม่วงคู่นั้นก็สงบลงราวไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น

"ไอ้นักบวชเฒ่านั่นน่ะหรือจะแจ้งมา" เขาถาม "ข่าวไม่พลาดแน่นะ"

"แน่ ตอนที่นักบวชแจ้งมา พ่อข้าบังเอิญอยู่ในวังด้วย เลยโดนสั่งให้ไปตรวจดู ก็หน้าที่นักเวทหลวงจับฉ่ายนั่นแหละ งานหนัก เงินน้อย โคตรจะไม่คุ้ม" ทีแลนพูดราวกับตำแหน่งนักเวทหลวงซึ่งสงวนไว้เพื่อนักเวทอันดับหนึ่งในแผ่นดินเป็นงานกรรมกรแบกหามก็ไม่ปาน "พ่อไปดูมาแล้ว ผู้ทอแสงหายไปจริง ๆ คือถึงปกติผู้ทอแสงก็ดูจะชอบเล่นซ่อนหาเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว ทำตัวลึกลับ หน้าตาก็ไม่เคยยอมเปิดเผยให้ใครเห็น แต่ทุกครั้งพ่อใช้เวทมนตร์จับการมีอยู่ได้ชัดเจน แต่นี่หายไป หายแบบไม่มีร่องรอยเลยด้วย เท่าที่พ่อพอจะสาวกลับไปจากไอมนตร์ที่ตกค้างได้ คือผู้ทอแสงเพิ่งเก็บเครื่องปั่นด้ายแสง กำลังจะเข้านอน แล้วจู่ ๆ ก็หายตัวไป"

"แล้วไอ้นักบวชนั่นว่ายังไง"

"ยืนยันตรงกับที่พ่อเจอ มันว่าเห็นผู้ทอแสงเข้าไปในห้องนอน แล้วพอไปเคาะห้องเพราะมีธุระ ก็พบว่าผู้ทอแสงไม่อยู่ในห้องแล้ว ไม่รู้จะตามรอยกันยังไง สงสัยอยู่ว่าอาจมีใครใช้เวทมนตร์ลักพาตัวไป" ทีแลนยักไหล่ "ถ้าเช้าแล้วยังหาตัวผู้ทอแสงไม่เจอ ประชาชนคงแตกตื่นกันใหญ่ และถ้าไม่หาให้พบโดยเร็ว ได้เดือดร้อนกันไปเป็นแถบ ๆ แน่ ไม่มีแสงสว่างก็ทำอะไรไม่ได้กันพอดี แถมนี่หน้าหนาว มืดตลอดก็หนาวจัดทั้งวันทั้งคืน"

"ก็เลยจะตามข้ากลับไปแกะรอยหรือ" อาเธลโคลงศีรษะ "ถ้ามันเกี่ยวกับเวทมนตร์ ข้าจะทำอะไรได้ ถ้าวัดค่าพลังเวทเป็นตัวเลข พลังเวทข้าคงติดลบ เจ้าก็เคยบ่นไม่ใช่หรือว่าข้าอยู่ใกล้ ๆ ทีไร ผลของเวทมนตร์มันออกมาแย่กว่าที่ควรจะเป็นทุกที"

"ก็ไอ้ติดลบนั่นแหละที่พ่อข้าอยากได้ เจ้าน่ะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่ดูดเวทมนตร์เข้ามาในตัวได้ พูดง่าย ๆ คือมีอำนาจล้างเวทได้บางส่วน พ่อก็เลยอยากให้เจ้าไปกลิ้ง ๆ ในห้องนอนมั้ง เผื่อใครลงอาคมพรางตาขั้นแรงกล้าอะไรไว้ มนตร์มันจะได้คลาย" ทีแลนพูดทีเล่นทีจริง "แล้วข้าว่าเจ้าคงไม่พ้นต้องแกะรอยจริง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้ท่านมหาปราชญ์กำลังหารือกับพวกขุนนางอยู่ เพราะบางคนเห็นว่าเมื่อยังคาดเดาไม่ได้ว่าเป็นฝีมือใคร เจ้าก็ไม่ควรไปเสี่ยงอันตราย แต่ข้าว่าแนวโน้มที่เจ้าต้องออกโรงมีสูง"

"เพราะเป็นข้าล่ะสิ"

อีกครั้งที่ทีแลนไหวไหล่คล้ายไม่มีความเห็น หากดวงตาสีฟ้าอมเขียวนั้นอ่อนแสงลงนิดหนึ่ง

"คงงั้น" เขายอมรับ ก่อนถามกลับ "แล้วแม่สาวน้อยนี่จะเอายังไง รอดูกันอีกสักเดี๋ยวไหม ถ้าอีกสักครึ่งชั่วยามนางยังไม่ฟื้น ค่อยพาไปที่เมืองหลวงกับเราด้วย"

"ช้าไป ครึ่งชั่วยาม ข้าเริ่มเตรียมการแกะรอยได้ไปถึงไหนแล้ว"

"เจ้าอย่าเพิ่งขยันมาก ผิวข้ายังไม่หายแข็งเลย" ทีแลนบ่น "เป็นนักเวทภูตลมนี่ไปไหนมาไหนทีโคตรลำบากเพราะต้องไปกับลม มันเร็วดีก็จริง แต่อากาศแบบนี้มันหนาวเกิน ไอ้ครั้นจะทำลมอุ่น ๆ มาห่อตัวมันก็ยุ่งยากเสียเวลา"

"นี่ถ้าเจ้ายอมหัดใช้เวทอัญมณี ชีวิตคงลำบากน้อยกว่านี้" อาเธลว่าพลางส่ายหัว

"ลำบากกว่านี้สิไม่ว่า" เด็กหนุ่มนักเวทเถียงทันที

อันว่านักเวทในวินเดเมียร์นั้นมีด้วยกันหลายสาย เชี่ยวชาญเวทแต่ละแขนงแตกต่างกันไป หากแบ่งได้เป็นสองแขนงใหญ่ ๆ หนึ่งคือสายอัญเชิญภูต ซึ่งแยกย่อยไปเป็นภูตตามธาตุต่าง ๆ นักเวทคนหนึ่งมักมีคุณสมบัติในการอัญเชิญภูตที่แตกต่างกันไป คุณสมบัตินี้เป็นคุณสมบัติจำเพาะตัวส่วนหนึ่ง และเป็นคุณสมบัติที่ตกทอดมาตามสายเลือดอีกส่วนหนึ่ง ตระกูลของทีแลนนั้นมีความสัมพันธ์กับภูตพระพายแห่งลมมายาวนาน เล่ากันว่าต้นตระกูลเซฟีร์บางคนเป็นภูตพระพายด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้สายเลือดภูตพระพายของทีแลนจึงเข้มข้น อัญเชิญภูตพระพายและควบคุมสายลมได้เป็นอย่างดี อีกอย่างหนึ่งที่ทีแลนใช้ได้ดีลดหลั่นลงมาคือธาตุพระเพลิงอันเป็นคุณสมบัติประจำตัว อาเธลเคยนึกสงสัยว่า อาจเพราะเป็นลมผสมไฟ...คือทั้งแปรปรวนและร้อนแรง...นี่เอง ที่ทำให้เพื่อนเป็นมนุษย์จำพวกลมเพลมพัด เอาแต่ใจและเอาแน่เอานอนไม่ค่อยจะได้

อีกแขนงหนึ่งของเวทมนตร์ในวินเดเมียร์นั้นคือสายเวทอัญมณี ซึ่งโดยมากจะใช้ร่วมไปกับอักขระเวท โดยอัญมณีนั้นใช้ในการขีดเขียนอักขระเวท ก่อให้เกิดเวทมนตร์ขึ้นมา  ผู้ใช้เวทสายนี้มักเป็นผู้ที่เกิดมาเป็นคนไร้เวทมนตร์ หากมีความสามารถพื้นฐานและมีอันจะกินมากพอที่จะซื้อหาอัญมณีเวทมนตร์ซึ่งราคาสูงลิบลิ่วมาเป็นของตัว ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้เวทอัญมณีจึงเสียเปรียบผู้ใช้เวทอัญเชิญภูตตรงที่ภูตนั้นอัญเชิญที่ไหนเมื่อไรก็ได้เพราะความสามารถอยู่ในสายเลือด ทว่าหากผู้ใช้เวทอัญมณีไม่มีอัญมณีติดตัวเมื่อไร ก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภูตประจำธาตุจะทำได้นั้นก็มีจำกัด เช่น ภูตน้ำไม่สามารถจุดไฟได้ และการอัญเชิญภูตพระเพลิงมาก่อกองไฟก็ไม่คุ้ม ซ้ำยังไม่ทันใจ นักเวทอัญเชิญภูตบางคนจึงใช้เวทอัญมณีควบคู่ไปด้วย หากทีแลนนั้นยืนยันเด็ดขาดว่าจะไม่ใช้เวทอัญมณี เพราะ...

'แค่จำเวทที่ใช้อัญเชิญกับควบคุมภูตก็หัวจะแตกแล้ว ทั้งเยอะทั้งยาว ถ้าให้ข้าไปจำอักขระเวทอีก ข้าไปผูกคอตายใต้ต้นผักร่มดีกว่า' ผักร่มนั้นเป็นไม้เถา เติบโตและเลื้อยอยู่บนพื้น ชูเพียงใบกลมสีแดงซึ่งมีก้านติดอยู่ตรงกลางขึ้นพ้นพื้นดูคล้ายร่ม จึงได้ชื่อเช่นนั้น หากใบของมันก็เตี้ยนิดเดียว พูดง่าย ๆ ว่าเอาเข้าจริงทีแลนก็ไม่ได้คิดว่ามันลำบากยากเข็ญถึงตายเพียงนั้น เพียงแต่คงจะขี้เกียจเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นอาเธลจะทำอะไรได้...นอกจากสมน้ำหน้าคนที่นั่งถูตัวอยู่ตรงหน้าในขณะนี้

"งั้นระหว่างนี้เจ้าก็ทำลมอุ่นอะไรนั่นของเจ้าไปด้วยแล้วกัน ข้าก็ไม่อยากหนาว" เพื่อนถอนใจ รู้ว่าต่อให้เขายืนกรานจะรีบไป แต่ถ้าคนพาไปยังขี้เกียจ ให้ตายมันก็ไม่ทำตาม เขาจึงเพียงแต่สั่งอย่างเคยนิสัย "ถ้าจะให้ดีก็ทำลมอุ่นนั่นคลุมตัวเด็กสาวคนนี้ด้วย"

"ขอร้าบ" ทีแลนรับคำเพื่อนผู้สูงศักดิ์กว่าอย่างล้อเลียน

อาเธลรีบจัดการเก็บข้าวของเครื่องใช้จำเป็น หากใช้เวลาไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย เขาจึงมานั่งใจลอยมองทีแลนซึ่งหลับตาทำปากขมุบขมิบยืดยาว คิ้วสีทองขมวดน้อย ๆ มือทั้งสองยื่นออกมาด้านหน้า ครู่หนึ่งเขาก็พลิกข้อมือให้ฝ่ามือทั้งสองหงายขึ้นและเปิดตา

พร้อมกับที่เสียงหวีดร้องดังมาจากตั่งด้านหลังเก้าอี้ของอาเธล

เจ้าของบ้านหันขวับไปตามเสียง มือเลื่อนไปที่ด้ามดาบโดยอัตโนมัติ หากที่อยู่ตรงนั้นก็มีเพียงเด็กสาวซึ่งคงเพิ่งได้สติ เธอลุกขึ้นนั่งแล้ว หากถดตัวไปจนเบียดชิดผนังกระท่อม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโต ริมฝีปากอ้าค้างและสั่นน้อย ๆ

"นั่นมัน...นั่น...สัตว์ประหลาด" เด็กสาวคราง ชี้นิ้วไปที่มือของทีแลน...ซึ่งอาเธลมองอย่างไรก็ว่างเปล่า

เด็กหนุ่มนักเวทเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

"เจ้าเห็นภูตข้าด้วยหรือ"

อาเธลจึงแปลกใจขั้นมาอีกคน ทีแลนเคยเล่าให้ฟังว่าตัวเขามีภูตสองตัว ตัวหนึ่งเป็นภูตไฟ อีกตัวเป็นภูตลม แต่ไม่มีใคร แม้แต่คนในครอบครัวหรือนักเวทอัญเชิญด้วยกัน เคยเห็นภูตเหล่านั้น คนที่อัญเชิญภูตมาเท่านั้นจะเห็นตัวภูต นั่นคือกฎ ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้ที่มองเห็นภูตของผู้อื่นได้มีเพียงสองหรือสามคนเท่านั้น

แต่เด็กสาวผู้นี้กลับมองเห็น

ไม่มีคำตอบจากคนที่หน้าซีดเผือด แนบร่างเข้ากับผนังกระท่อม สีหน้าคล้ายกำลังกลัวสุดชีวิต อาเธลเห็นท่าทางนั้นก็ออกจะสงสาร จึงปลอบ

"ไม่ต้องกลัว สองตัวนั้นไม่มีอะไรน่ากลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเห็นภูตหรือ"

ดวงหน้าได้รูปส่ายดิก สีหน้ายังคงตระหนก

"ถ้าเคยเห็นแล้วแต่ยังตกใจ ข้าก็พอจะเข้าใจ"

อีกครั้งที่เด็กสาวส่ายหน้าวืด ๆ อาเธลไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ลองถามขึ้นใหม่

"เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรแถวนี้"

คำตอบจากเด็กสาวยังคงมีแต่อาการส่ายหน้า

"ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากส่ายหัวเป็นไหม แม่คุณ" ทีแลนส่งเสียงลอยลมมา เขาร่ายเวทเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้รอบตัวคนทั้งสามมีสายลมอุ่นสบายโอบล้อมอยู่อย่างอ่อนโยน

"เจ้าชื่ออะไร" อาเธลพยายามถามอีกครั้ง

"อย่าส่ายหัวอีกนะ" ทีแลนแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงขัน ๆ

แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 55 05:42:58

แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 55 02:49:16

จากคุณ : พลอยฟ้าปรายฝน
เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 55 02:35:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com