Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 18 : ลูกหลานเหลือบริ้น ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12142591/W12142591.html

บทที่  18

ในวันที่ชาวบ้านเตรียมการงานทำบุญสังฆทานใหญ่ที่หมู่บ้านนาดีเป็นเจ้าภาพ ไร่ไตรภพก็เตรียมตัวต้อนรับครอบครัวของบุตรชายกับลูกสะใภ้ที่มาจากกรุงเทพฯ เช่นเดียวกัน นายไตรภพสั่งให้คนรับใช้ภายในบ้านปัดกวาดจัดห้องหับให้สะอาดเรียบร้อยสมฐานะนายทุนยิ่งใหญ่เกรียงไกรของหมู่บ้านในต่างจังหวัดที่ถึงแม้เทคโนโลยีและวัตถุนิยมจะเริ่มก้าวหน้าแต่ก็ยังไม่ทัดเทียมเท่าเมืองกรุงที่เขาเกิด ในความคิดของเขาแล้วผู้คนในต่างจังหวัดก็ยังเป็นบ้านนอกที่ไม่มีวันทัดเทียมเขาทั้งทางด้านความรู้สึกนึกคิดและการเงินของสังคมเมืองอยู่ดี

“จัดห้องนี้แล้วก็ไปตลาดซื้อขนมจีนและขนมนมเนยมาเตรียมไว้ทำบุญพรุ่งนี้นะ เอ๊า นี่เงิน”

ไตรภพยื่นเงินเจ็ดพันบาทให้สตรีร่างท้วมที่ชื่อแป ในกรุงเทพฯ เงินเท่านี้อาจเล็กน้อยแต่ที่นี่กลับเป็นเงินจำนวนมากขนาดทำให้แม่บ้านตาโตยามรับเงินมา

“ซื้อมาให้พอแล้วก็ทำให้เยอะๆ เลยล่ะ อย่าให้ฉันอับอายขายขี้หน้าเขานะโว้ย เอาให้สมฐานะหน่อย”

“ค่ะคุณ”

เจ้านายยิ้มอย่างพอใจก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินออกไปดูคนงานที่เขาให้ตัดหญ้าตรงสนามหน้าบ้าน

“นายคร้าบ พี่เติ้งมาคร้าบ” เป็ดวิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของบ้านหลังใหญ่แล้วรายงานเสียงดัง

“เดี๋ยวฉันออกไป แกอยู่แถวนี้แหละรอขับรถพานังแปไปซื้อของทำอาหารไว้ทำบุญวันพรุ่งนี้”

ว่าแล้วก็เดินมุ่งไปสู่สนามหน้าบ้านพลางทำจมูกบิดเบี้ยวให้กับกลิ่นหญ้าตัดใหม่ซึ่งไม่ค่อยโสภานักแล้วตรงไปยังศาลาไม้สีแดงคล้ำที่ตั้งอยู่ข้างต้นกาสะลองขนาดใหญ่ซึ่งเป็นไม้บอนราคาแพงจากร้านขายต้นไม้ในตัวจังหวัด ร่างท้วมก้าวเดินขึ้นศาลาเสียงดังกึงกังจนคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วหันมา

“ว่าไงวะไอ้เติ้ง ไอ้ที่ทำอยู่น่ะเรียบร้อยแล้วหรือยังแล้วจะส่งได้เมื่อไหร่ เร่งๆ มือหน่อยนะโว้ย ฉันไปเปิดทางให้แกแล้ว ถ้าจะส่งเมื่อไหร่ก็ให้มาบอกเดี๋ยวจะประสานงานกับตำรวจที่โรงพักให้” นายทุนใหญ่เอ่ยขึ้นก่อน

“เสร็จแล้วครับนาย ผมว่าจะมาถามนายอยู่พอดีว่าทางโล่งหรือเปล่าพอนายบอกอย่างนี้ผมก็จะส่งของพรุ่งนี้เลย” เติ้งบอกด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงเงินที่จะได้มาเป็นก้อนใหญ่

ไตรภพหัวเราะเอิ๊กๆ อย่างชอบใจ “เออ...ดี ทำบุญเสร็จแกจะทำบาปต่อเลยใช่ไหมไอ้เติ้ง ดีนะเอ็งนี่วันทำบุญกับวันทำบาปวันเดียวกัน”

แหม...ทำยังกับว่าตัวเองจะไม่ได้รับส่วนแบ่งบาปด้วย เติ้งนึกในใจอย่างหมั่นไส้เจ้านายผู้บงการและเปิดทางให้ถนนบาปสว่างสดใส

“บาปกับบุญมันคนละเรื่องกันครับนาย” เติ้งโวไม่มีความเกรงกลัวบาปเลยแม้แต่น้อย

“เออ แกไม่กลัวบาป แต่รู้จักกลัวตำรวจบ้างก็ดีทำอะไรปรึกษากันก่อน หน็อย...เล่นขโมยในหมู่บ้านเดียวกันเลยนะเอ็งไม่รู้จักกลัวบ้างเลย นี่ถ้ามีตำรวจคนไหนสงสัยและมาขอตรวจโกดังฉันล่ะก็คงยุ่งตายห่าหรือไม่ก็มีเคลียร์กันยกใหญ่ ถ้าเป็นตำรวจหิวเงินล่ะก็ยังพอว่ากลัวไอ้พวกตงฉินนี่ล่ะ”

ไตรภพบ่นเสียงฉุนๆ คนเป็นมือเป็นเท้าคอยทำเงินให้เพิ่มเติมอย่างอดไม่ได้หลังจากบ่นไปแล้วเป็นกระบุงโกยในคราวก่อนที่ดอดไปขโมยรถยนต์ของลุงพลในหมู่บ้านนาดีเพราะเป็นรุ่นที่มีความต้องการมาเยอะ

“กลัวทำไมครับตำรวจ นายไตรภพของผมมีเงินเป็นกระสอบเอาไปแบ่งปันพวกข้าราชการจนๆ ไว้ให้เมียเล่นไพ่เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดอยู่แล้ว”

ไตรภพแยกเขี้ยวพร้อมกับชี้หน้าเติ้ง “เอ็งมันก็ดีแต่คิดว่าฉันจะคุ้มกะลาแกได้อยู่เรื่อยเลย ฉันขอเตือนไว้ก่อนว่าอย่าประมาทเรื่องแบบนี้ถ้าถูกจับได้ล่ะก็มีแต่เสียกับเสีย ไหนจะเสียเงินไหนจะเสียหน้าไหนจะเสียเกียรติ”

กลัวเสียเยอะขนาดนั้นแต่ก็ยังทำ อุวะ เจ้านายไอ้เติ้ง วิทยาเกาหัวแกรกๆ

“แล้วที่สำคัญยุคนี้ถ้าเอาเงินอุดไม่อยู่มีสิทธิ์เข้าไปนอนฟรีติดคุกหัวโตกินข้าวแดงถูกแทงตูดไม่รู้ตัวนะโว้ย”

เติ้งสะดุ้งวาบ เสียวตูดแว๊บ ดูนะ...ขนาดอาศัยเราทำเงินให้ยังจะมาพูดเป็นลางน่ากลัวชวนสยิวผิดที่ผิดทางอีก ตูดใครๆ ก็รัก หากไม่ชอบป่าไม้เดียวกันก็ไม่อยากถูกทายทักรูนั้นหรอก อึ๋ย

“นายพูดเสียจนผมใจไม่ดี” คนเป็นลูกน้องบ่นอุบเสียงหวาดๆ

“ฉันก็พูดให้แกกลัวไว้ก่อนจะได้ระวังตัวไม่ให้พลาดได้”

“ครับนาย อ้าว นั่นรถใครมาครับ” เติ้งถามเมื่อเห็นรถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์สีดำแล่นเข้ามาในบ้าน

“ไหน” ไตรภพเขม้นมองตามสายตาของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มออกมา “อ๋อ...นั่นรถของลูกชายฉันเองเขาพาญาติพี่น้องทางเมียมาทำบุญ แกจะไปไหนก็ไปไป๊ พรุ่งนี้เสร็จงานบุญที่วัดแล้วค่อยนัดแนะกันอีกที”

“ครับนาย”

พอคล้อยหลังเติ้งแล้วไตรภพจึงพาร่างท้วมไปยังหน้าบ้านที่ขณะนี้รถยนต์ราคาแพงจอดนิ่งสนิทและคนในรถเปิดประตูลงมากันครบทุกคนแล้ว

                            ******************

หลังจากเตวิชให้กชกรผู้เป็นภรรยาพาแม่กับยายของเธอเข้าไปพักผ่อนในบ้านแล้ว ชายหนุ่มวัยสามสิบปีในชุดโปโลสีครีมกับกางเกงทรงทหารขาสั้นสวมรองเท้าแตะยี่ห้อดีก็ชวนบิดาออกมาเดินเล่นข้างนอก ชายหนุ่มสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดก่อนจะบิดขี้เกียจ

“เย็นๆ อย่างนี้อากาศดีจริงๆ นะครับพ่อไม่มีควันพิษด้วยพ่อไม่เหมือนในกรุงเทพฯ สูดฝุ่นและควันตั้งแต่เช้ายันเย็น นี่แหละน้าเดี๋ยวนี้เขาถึงบอกว่าคนรวยมีที่ในบ้านนอก”

“แหงอยู่แล้ว ไม่งั้นฉันจะออกมาซื้อที่ดินในบ้านนอกเรอะ ถึงแม้ว่ากลางวันมันจะร้อนไปหน่อย แต่ถ้าปลูกต้นไม้ขึ้นเยอะๆ รับรองว่าน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง ยิ่งลมชายทุ่งพัดโกรกอย่างนี้มันน่าทำรีสอร์ตจริงๆ เชียว ว่าไหมเต้”

ไตรภพเห็นด้วย ในขณะที่เตวิชพยักหน้าพร้อมกับพาร่างกะทัดรัดสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรก้าวไปยืนใกล้ต้นปีบเส้นรอบวงลำต้นเกือบเท่าท่อนขาของเขา นิ้วมือขาวสะอาดเพราะไม่เคยเจองานหนักวางบนเปลือกสีดำของมันแล้วเคาะมันช้าๆ คิ้วเฉียงเหมือนกันกับบิดาย่นเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ริมฝีปากบางเม้มแล้วอ้าออกเหมือนจะพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด

“ตอนนี้พ่อกำลังให้คนงานเอารถไปปรับที่ดินที่เพิ่งซื้อมาอยู่ตรงโน้น”

บอกราวกับจะอวดแล้วชี้นิ้วอวบๆ ไปยังทิศทางที่ตั้งของป่าชุมชนบ้านนาดีที่มองเห็นรถแบ็คโฮลกับรถแทรกเตอร์และรถบรรทุกจอดอยู่ พูดถึงที่ดินเตวิชก็เบิกตากว้างให้ความสนใจทันที

“พ่อซื้อที่ได้อีกแล้วเหรอ ดีจังเลย ผมกำลังอยากได้อยู่พอดีเลย ที่งามๆ เป็นเนินสูงอย่างนั้นเอามาทำอะไรได้หลายอย่างเลย”

ผู้สูงวัยกว่าไม่นำพาว่าลูกชายจะสื่ออะไร “ใช่แล้วเต้เอ๊ย เพียงแต่ว่าตอนนี้มันกำลังมีปัญหานิดหน่อยพ่อเลยพักเอาไว้และรอจัดการกับพวกต่อต้านก่อน” ไตรภพนึก คนต่อต้านก็มีอยู่คนเดียวในตอนนี้แถมยังเป็นผู้หญิงเสียด้วย

“เห็นที่ดินตรงนั้นไหม นั่นพ่อก็กำลังจะซื้ออยู่”

“ตรงนั้นเหรอพ่อติดกับเราเลยไม่ใช่เหรอ” เตวิชถามพลางกวาดตามองที่ดินอย่างตื่นตา

“ประมาณร้อยกว่าไร่เลยนะนั่น ที่สำคัญติดแม่น้ำด้วย” ไตรภพตอบยิ้มๆ ทำราวกับเป็นที่ดินของตัวเองไปแล้วเสียอย่างนั้น

คนอ่อนวัยกว่าตาโตดีดนิ้วเปาะ

“อย่างนี้แหละเหมาะนักที่จะทำรีสอร์ตหรือไม่ก็โรงงานนะพ่อ ห่างจากเมืองอย่างนี้ทำอะไรก็สะดวกไม่มีใครมาโวยวายให้ปวดหัวหรือถ้ามีใครหัวหมอมาโวยล่ะก็เราเก๊าะเอาเงินปิดปากขี้คร้านไม่ถึงอาทิตย์เรื่องก็เงียบ” หนุ่มนักธุรกิจจากเมืองกรุงเอ่ยอย่างหมายมาด

พอบิดาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มหมายมาด ลูกชายนายทุนซึ่งทำธุรกิจมามากแต่ไม่เคยประสบผลสำเร็จสักทีก็ยิ้มกริ่มเริ่มต้นฉอเลาะ “ผมอยากได้ที่ตรงนั้นแล้วสิพ่อ นี่ถ้าได้มานะผมอาจจะมาอยู่ที่นี่มากกว่ากรุงเทพฯ เลยก็ได้นะจะได้ช่วยงานพ่อด้วยไง”

ไตรภพหุบยิ้มฉับ ตาเรียวเล็กยิ่งหรี่เล็กลงไปอีกเช่นเดียวกับปากที่ดูจะบิดๆ เบี้ยวๆ ชอบกล “แกคิดไกลไปถึงเป็นเจ้าของทั้งๆ ที่เจ้าของที่ดินยังไม่ขายให้ฉันเนี่ยนะ”

“อ้าว พ่อก็รีบเอาเงินฟาดหัวเลยสิ เงินหนาอย่างพ่อ แค่นี้ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก คนแถวนี้มันบ้านนอกจนๆ ทั้งนั้นเงินแสนเงินล้านคงไม่เคยเจอะเคยเจอเงินหมื่นเคยจับหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าพ่อหว่านเข้าไปไร่ละแสนขี้คร้านจะตาโตเท่าไข่ห่านกระโดดตะครุบเงินจนเราปล่อยแทบไม่ทัน”

เตวิชทำเสียงดูถูก ถึงจะเคยมาเที่ยวบ้านพ่อที่บ้านนาดีแต่ด้วยความที่ถือว่าเป็นลูกชายนายทุนใหญ่ซึ่งอีกหน่อยหากพ่อม้วยมรณาเขาก็อาจได้รับมรดกทั้งหมดคนเดียวเขาเลยไม่สนใจจะไปผูกมิตรชิดเชื้อกับชาวบ้านให้กลิ่นโคลนสาบควายติดมา แต่ที่มาคราวนี้ก็เพราะมีเป้าหมายบางอย่าง ไม่ได้คิดจะมาทำตัวเป็นพระเอกเรียกคะแนนจากชาวบ้านอะไรหรอก

“ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ เจ้าของมันหวงที่จะตายไปขนาดพ่อเคยหยั่งเชิงว่าเท่าไหร่เท่ากันมันยังไม่ถามถึงราคาเลยแถมยังตอกกลับเอาเสียหน้าหงาย ผู้หญิงอะไรหยิ่งเป็นบ้า”

เตวิชขมวดคิ้ว “เจ้าของเป็นผู้หญิงด้วยเหรอพ่อ ยิ่งไม่น่าจะยากนา” ชายหนุ่มยกมือลูบคางไปมาก่อนจะเอ่ยว่า “ของอย่างนี้ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกลนะพ่อ”

“แกพูดเหมือนแกอยากได้มากกว่าฉันอีกนะไอ้เต้ ถ้ามีปัญญาแกเอาเงินมาซื้อเลยไป” คนเป็นพ่อท้าลูกชาย

“พูดเรื่องนี้แล้ว เฮ้อ !” เตวิชถอนใจ มองไปยังทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวไปหมดแล้วก่อนจะสูดลมหายใจเตรียมตัวเข้าเรื่อง “คือว่า...ผม...จะกำลังทำธุรกิจอย่างหนึ่งอยู่น่ะครับพ่อ แล้วตอนนี้เงินก็ขาดแคลน...”

ยังไม่ทันที่เตวิชจะพูดจบ ไตรภพก็แหวขึ้นมาหน้าตึงเป็นหนังกลองทาทับด้วยไข่ขาวที่พอแห้งแล้วขยับนิดก็แตกเปรี้ยะ

“อย่าบอกนะว่าไอ้โครงการบ้านจัดสรรของแกกับเมียที่มาขอเงินฉันไปลงทุนน่ะมันเจ๊งแล้ว ไอ้เต้เอ๊ย ที่ผ่านๆ มาฉันไม่เคยเห็นแกจะทำอะไรแล้วรุ่งโรจน์กับเขาสักอย่าง พอใกล้เจ๊งแล้วก็มาขอเงินฉันไปทำโครงการอันใหม่ ดีนะที่ยังมีคนโง่ บื้อ ซื้อธุรกิจร่อแร่ของแกไปถึงจะได้ไม่เท่ากับที่ลงทุนก็ยังดีกว่าไม่ได้คืนเลยสักบาท ฉันว่าแกอยู่เฉยๆ เหมือนไอ้หมาที่นั่งตาปริบๆ อยู่ข้างรั้วนั่นยังดีกว่าหาเรื่องทำโน่นทำนี่ให้มีแต่จมลงจมลงอย่างทุกวันนี้”

พูดจบแล้วก็หอบแฮ่กๆ ในขณะที่เจ้าตัวสี่ขาลายด่างซึ่งถูกพาดพิงนั่งทำตาปริบๆ ลิ้นห้อยอยู่ข้างรั้วมองมาคล้ายกับจะค้อน

หากมันพูดได้มันคงจะย้อนเอาว่า ขนาดหมานั่งเกาเห็บเกาหมัดรอแทะกระดูกอยู่ยังไม่เว้นถูกดึงไปเปรียบเทียบกับความตกต่ำ พ่อลูกคู่นี้มันอะไรกันนักกันหนา อีด่างเซ็ง โฮ่ง!

ในขณะที่คนถูกเปรียบเทียบถึงจะยังไม่เรียกได้ว่าเดือดดาลแต่ก็ใกล้เคียงเพราะการพูดเรื่องธุรกิจทุกครั้งของบุตรชายจะจบลงด้วยประโยคชี้แนะแบบบอกปัดให้พ้น

“แกอยากได้ก็ไปขอทางแม่ยายแกสิ ไปอยู่กับเขาแล้วยังจะมาขอสมบัติพัสถานเอากับฉันอีก”

“แล้วพ่อจะเอาไว้ทำไม มีผมเป็นลูกชายคนเดียวแล้วทำไมต้องหวงด้วย น่า...ขอหน่อย” เตวิชเล่นบทออดอ้อนปะเหลาะ

“ฮึ ไม่ต้องมาอ้อนหรอกไอ้ลูกหน้าด้าน ทำมาหากินอะไรไม่ขึ้นสักอย่างพอจะล่มจมล้มละลายล่ะก็มาขอเอากับคนแก่หน้าตาเฉย อย่างนี้จะเลี้ยงเมียไหวเร้อ” ไตรภพขึ้นเสียงสูง

“โธ่...ผมจะเลี้ยงเมียไม่ไหวก็เพราะพ่อไม่ช่วยนี่แหละ”

“แล้วแกจะเอาทำไมวะเมียเนี่ยถ้าเลี้ยงไม่ไหว” คนเป็นพ่อย้อนอีก

ลูกชายไม่ยอมลดราวาศอกเหมือนกัน “ก็คนมันอยากได้นี่พ่อ”

เถียงไปเถียงมาคนสูงวัยกว่าก็จนปัญญาจะเถียงได้แต่หน้าแดงก่ำทำเสียงฮึมๆ อยู่ในลำคอ

ไอ้ลูกเทวดา! เกิดมาพร้อมกับใบมีดหรือไงนะถึงได้ขูดรีดเขาตั้งแต่เล็กกระทั่งโตจนเลือดออกซิบๆ หล่อสู้พ่อก็ไม่ได้แล้วสมองก็ยังเทียบไม่ถึงครึ่งของเขา เบื่อจริงวุ๊ย รู้อย่างนี้ไปแต่งงานกับนางงามจักรวาลทั้งสวยทั้งฉลาดดีกว่าแต่งกับนางงามลำไยแม่ของมันที่สวยใสแต่ไร้สมอง เฮ้อ...ไม่น่าเลย

                                *****************

ในขณะที่เตวิชกำลังกล่อมบิดา ฟากกชกรก็หาโอกาสกล่อมผู้เป็นยายเหมือนกัน พอล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็เข้าไปในห้องรับรองที่หญิงชรากำลังนอนหงายเหยียดยาวบนเตียงนอนขนาดหกฟุตให้แก้วบีบนวดเฟ้น

“แกจะไปไหนก็ไปไป๊นังแก้ว เดี๋ยวฉันจะนวดให้คุณยายเอง ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณยายเป็นการส่วนตัวด้วย”

“จะให้แก้วไปไหนล่ะคะคุณกุ้งถ้ามีรถเครื่องให้บิดก็ว่าไปอย่าง” สาวรับใช้จากแดนอีสานย้อนถาม

“งั้นก็ลงไปข้างล่างไปหาพี่เต้แล้วบอกว่าฉันให้ไปซื้อของใช้ส่วนตัว ให้หารถเครื่องให้ด้วย”

แก้วกระโดดผลุงลงจากเตียง ยิ้มแก้มปริจนเห็นโหนกแก้มสูง แบมือออกมาตรงหน้าหญิงสาว

“อะไรของแก”

“เงินค่าน้ำมันรถค่ะ เผื่อว่าได้รถแต่ไม่มีน้ำมัน”

กชกรค้อนขวับก่อนจะเปิดกระเป๋าถือที่ติดมือเข้ามาด้วยยื่นธนบัตรสีแดงให้หนึ่งใบ พอลับร่างผอมแห้งแรงช้างของแก้วแล้วกชกรก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงแทน จากนั้นก็เริ่มบีบนวดให้พลางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยว่าปวดเมื่อยตรงไหนบ้าง

“วันนี้นึกใจดียังไงถึงได้มาเอาใจยาย” หญิงชราเขม้นมองใบหน้าหลานสาวอย่างจับผิด

“แหม...คุณยายรู้ทันกุ้งไปเสียทุกเรื่องเลยนะคะ” เจอดักคอตรงๆ หลานสาวเลยไม่คิดจะอ้อมค้อมให้หลงประเด็น

“แสดงว่ามีจริงๆ”

ก่อนมากชกรได้ปรึกษากับเตวิชแล้วว่าจะแก้ปัญหาเงินทุนสร้างบ้านจัดสรรที่ธนาคารไม่อนุมัติยังไง สุดท้ายก็แยกกันเป็นสองฝ่ายโดยให้เตวิชไปอ้อนพ่อส่วนเธอมาอ้อนย่า แต่เรื่องที่จะไปอ้อนมารดานั้นเป็นอันตัดไปเพราะธุรกิจของแม่ก็ร่อแร่เต็มที

“เอ่อ...คือกุ้งมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือกับยายค่ะนิ๊ดนึงค่ะ”

นพวรรณถอนใจเฮือก นึกหวั่นใจและคิดไปเองว่าคงไม่พ้นเรื่องเงินเพราะกชกรเคยมาทาบทามเรื่องเงินโดยอ้างว่ายืมไปทำธุรกิจและเธอก็เห็นว่าเป็นลูกเป็นหลาน ความเจริญรุ่งเรืองในการงานเป็นสิ่งที่คนเฒ่าคนแก่ย่อมดีใจและควรสนับสนุน แต่เมื่อให้ไปแล้วคนได้รับกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้คนแก่ที่ตั้งใจช่วยก็อดไม่ได้ที่จะเสียความรู้สึก เงินน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ลูกหลานเคยพูดถึงไหมว่าจะเอามาคืนเมื่อไหร่?

“เรื่องอะไรล่ะ”

“ยายก็รู้ใช่ไหมคะว่ากุ้งกับพี่เต้ทำธุรกิจบ้านจัดสรรอยู่โดยมีคุณพ่อของพี่เต้ช่วยออกเงินทุนให้” เธอเริ่มด้วยความเป็นมาของโครงการอ้อนยืมเงิน ก่อนจะตามด้วยความเป็นจริงและยิงไปยังเป้าประสงค์ “มันกำลังไปได้ดีเลยค่ะ คนมาจองเยอะแล้ว แต่ว่า...ธนาคารไม่อนุมัติเงินในรอบหลังให้ ก็เลย...”

“จะมายืมยาย”

เกลียดนักคนรู้ทัน กชกรนึกในใจ “ค่ะยาย”

“เท่าไหร่ล่ะ”

กชกรยิ้มกว้าง ถามอย่างนี้แสดงว่าจะให้ชัวร์ “สิบล้านค่ะคุณยายขา เอาแค่ได้สร้างในส่วนที่คนจองไปก่อนแล้วค่อยขยาย...”

หญิงชราตาโตรีบเอ่ยโดยไม่รอฟังการสาธยายโครงการอันยิ่งใหญ่

“สิบล้าน โอย...จะเป็นลม ยายไม่ใช่เศรษฐีพันล้านนะจะได้เอาเงินมาหว่านให้ลูกหลานต่อให้อ้างว่าทำธุรกิจก็เถอะ”

คนที่บอกจำนวนเงินและกำลังจะร่ายแนวทางการดำเนินโครงการเพราะคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะให้ถึงกับอ้าปากค้าง

“เงินทุกบาททุกสตางค์มีคุณค่าสำหรับยาย เพราะยายได้มาจากมรดกของรุ่นพ่อรุ่นแม่รวมทั้งได้มาจากการทำงานรับราชการ”

“โธ่ ยายก็...กุ้งยืมนะคะไม่ได้ขอซักหน่อย” กชกรทำเสียงกระเง้ากระงอด

แม้ในใจจะอดละอายไม่ได้ที่เคยยืมไปแล้วแต่ทำเป็นลืม ความจริงไม่ได้ลืมหรอกแต่พี่เต้สามีเธอกำลังแย่เพราะธุรกิจไปไม่รอดต่างหาก นึกแล้วก็ไม่พอใจพ่อสามี ไตรภพงกเกินไปมีเงินมากมายก่ายกองแต่ไม่ยอมแบ่งปันมาให้ลูกชายบ้างเอาแต่นอนกอดเงินอยู่นั่นแหละไม่รู้จะงกไปถึงไหน ที่ลงทุนให้ในครั้งแรกก็บ่นแล้วบ่นอีก นี่ถ้าไม่มีเป้าหมายเธอก็ไม่อยากมาที่นี่หรอกนะ

เสียงประตูห้องเปิดออกตามด้วยร่างของนิภาพร หญิงชราปรายตามองผู้มาใหม่นิดหนึ่งแล้วเอ่ยต่อกับหลานสาวแต่เจตนากระทบให้มันทั่วถึง

“ยายรู้ว่ากุ้งยืม ยายอยากช่วยอยู่หรอกเพราะความจริงที่หามาไว้นอกจากเอาไว้ยามเจ็บป่วยแล้วก็หวังจะเอามาช่วยลูกช่วยหลานเวลาลำบากเพราะเวลายายลำบากหรือเจ็บป่วยลูกหลานจะได้นึกถึงคนแก่คนเฒ่าที่หมดเรี่ยวแรงไม่มีปัญญาหากินคนนี้บ้าง แต่ยายเห็นแล้วว่าที่ผ่านมาคนที่ดูแลคือคนที่ไม่มีสายเลือดเดียวกันเลยอย่างนังแก้ว ดูสิ...มันเป็นแค่คนรับใช้แต่พอเห็นยายเป็นอะไรมันรีบตาลีตาเหลือกหาหยูกยาและมาบีบนวดพัดวีให้ แต่ลูกหลานแท้ๆ กลับบอกว่างานยุ่ง”

“ก็หนูทำงานหาเงินนี่คะ” ประโยคของมารดาทำให้นิภาพรรู้ว่าก่อนหน้านี้ย่าหลานคุยอะไรกัน แต่เมื่อเธอเข้ามาแล้วมีเรื่องพาดพิงก็ต้องรีบแก้ตัว

“ถ้าแม่นิป่วยแล้วหนูกุ้งพูดอย่างนี้และปล่อยทิ้งอย่างนี้บ้าง แม่นิจะว่ายังไง”

เจอวาจายอกย้อนตรงไปตรงมานิภาพรถึงกับอึ้งพูดไม่ออกได้แต่เม้มปากแน่น นึกในใจว่ามารดาช่างคิดเอาแต่ใจตัวเองไม่นึกถึงสภาพความเป็นจริงที่เธอต้องเจอบ้างว่า ถ้ามัวแต่ไปดูแลคนแก่ที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้คงไม่ต้องทำงานทำการกันพอดี แค่นี้ก็ย่ำแย่พออยู่แล้ว

“นี่ดีนะที่แม่มีนังแก้ว” เสียงมารดายังลอยมาอีก กชกรนั้นหน้ามุ่ยเงียบเสียงไปแล้ว นิภาพรถอนใจเฮือก นึกว่าเข้ามาแล้วจะสบายใจที่ไหนได้เข้ามาแล้วหน้าแก่ไปอีกหมื่นปี

                            *******************

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:00:22




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com