Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บัลลังก์ดอกไม้ บทที่ ๘ คนงานคนใหม่หัวใจเกินร้อย ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๘ คนงานคนใหม่หัวใจเกินร้อย



               เสียงนาฬิกาปลุกเรือนเก่าดังลั่นห้อง เป็นสัญญาเตือนให้คนที่อยู่ใต้ผ้าห่ม ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเองสักที ทว่าร่างหนายังคงนอนนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย มือขาวเรียวยาวเอื้อมไปปัดเครื่องที่กำลังส่งเสียงเต็มที่ตกลงพื้น หยุดการทำงานของมันทันที อนาวินทร์รู้สึกตัวแล้ว แต่เขายังไม่อยากลืมตา จำได้ว่าเขาไม่ได้พกนาฬิกาปลุกมาด้วย? แล้วมันมาจากไหน

               “จะตื่นได้หรือยังคุณวิน” เสียงเข้มของใครคนหนึ่งทำให้เขาสำนึกได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไร่อุ่นรัก ไม่ใช่บ้านสัตยารักษ์อย่างเคย

               “ฮืม...” เขาเอ่ยในลำคอแทบไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร จริงๆเขาก็อยากอ้าปากกว้างกว่านั้นแต่มันยังเหมือนอยู่ในฝัน

               ผ้าห่มที่คลุมตัวในช่วงเย็นจัดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ถูกเลื่อนออกจากตัวจนหายไปจากเตียงในที่สุด อากาศที่เย็นทำให้ชายหนุ่มต้องขดตัวเข้าหากัน

               “ยังไม่ยอมตื่นอีกหรือ ไม่ตื่นคราวนี้ฉันจะเอาน้ำมาสาดจะได้ล้างหน้าไปในตัว เอาไหม”

               “โอเค โอเค” เขาร้องตอบขึ้นมาเสียงดัง มือที่เริ่มกำหมัด

               “ให้เร็วด้วย ภายในสิบนาทีนะ ฉันรอข้างนอก” เธอบอกก่อนจะเดินจากไป

               อนาวินทร์ทุบหมัดลงกับที่นอน ตุบๆ นึกขัดใจอย่างไม่เคยเจอมาก่อน สองขาเริ่มตีไปมาเหมือนเด็ก เขาอยากชักลงกับที่นอนนุ่ม ๆ นี่เลย มันยังมืดอยู่เลย จะรีบตื่นไปทำไม!!! ยายพุดเน่าต้องแกล้งเขาแน่ๆ

               อนาวินทร์เดินสโลสเลออกมาจากห้อง แม้จะได้ล้างหน้าแปลงฟันแต่งตัวใหม่แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนวิญญาณยังไม่เข้าร่าง ทำเอาคนมองสกัดยิ้มของตัวเองไว้ก่อน

               “ดื่มกาแฟไหมคุณวิน” เธอเอ่ยถามพร้อมกับเลื่อนจานขนมปังที่วันนี้มีมากเป็นพิเศษ แม่คงจัดไว้เผื่ออนาวินทร์อีกห้าหกชิ้น

               “เอาสิ” เขากล่าวตอบรับพร้อมกับนั่งลงตรงข้าม พุดชมพูยังนั่งเฉยก่อนจะตบมือใส่หน้าเขาฉาดหนึ่งจนร่างหนาสะดุ้งเฮือก

               “ตื่นสักทีสิ อยากดื่มก็ไปชงเอง โน่นกาต้มกาแฟไว้แล้ว แค่รินใส่แก้ว แล้วนี่นมสดกับน้ำตาลอยู่บนโต๊ะแล้ว ทำเองนะคะ ที่นี่ไม่มีคนใช้”

               เขาถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้น เดินไปยังที่ตั้งของกาต้มกาแฟ รินลงใส่ถ้วยกาแฟซึ่งจัดเรียงไว้ใกล้ ๆ อยู่แล้ว พอนั่งลงที่เก้าอี้ เห็นหญิงสาวนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ขณะที่จิบกาแฟไปด้วย เธอดูมีท่าทีสบายๆ ทั้งที่ตอนไปปลุกเขาเหมือนกับต้องรีบไปเสียเดี๋ยวนั้น ตกลงเธอจะเอายังไงกันแน่

               “นี่รีบไหม”

               “รีบสิ เดี๋ยวตัดดอกไม้ไม่เสร็จ ว่าแต่นั่นชุดทำไร่คุณเหรอ ตกลงจะไปทำงานหรือไปเดินแบบ?” พุดชมพูชี้ไปยังเสื้อยืดสีขาว กับกางเกงขายาวสีครีมของชายหนุ่มที่แลดูเข้าชุดกันดีแต่มันผิดงานเท่านั้นเอง

               “ทำไม หรือว่าไม่เคยเห็นเสื้อดีๆ มีราคา”

               หญิงสาวเบ้ปาก ยังคงเป็นอนาวินทร์คนเดิมอยู่ดี “จะเอาเสื้อดีๆ มีราคาของคุณไปเปื้อนก็ตามใจ”

               “ก็ไม่มีชุดอื่นที่มันพอจะใส่ได้” เขาพูดเสียงเบา

               หญิงสาวพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุผลของอนาวินทร์คืออะไร เธอลืมไปเสียสนิทว่าเขาเป็นคนรวย เสื้อผ้าที่ใส่เล่นก็ยังดูดีมีราคา เธอเกาศีรษะตัวเองเบาๆ เสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากตัวเองขึ้นก่อนจะค้ำคางจ้องชายผู้ดีตรงหน้า...เขาคือ สิ่งมีชีวิตที่ประหลาดเหลือเกินสำหรับเธอ

               “มองอะไร” คิ้วเข้มขมวดหากันพร้อมๆ กับน้ำเสียงห้วนของชายหนุ่ม

               “ฉันกำลังวิเคราะห์ ประมวลผล อีกสักพักจะเริ่มสั่งการ ไม่ได้อยากมองหน้านายนักหรอกคุณวินนี่” เธอทำอย่างที่พูดจริง ๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง ซึ่งอยู่ติดกับห้องของเขา ไม่ถึงห้านาทีเธอก็กลับออกมาพร้อมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตสีเข้มและกางเกงยีนส์วางไว้บนโต๊ะ

               “เปลี่ยนซะ เดี๋ยวตอนไปส่งดอกไม้ในตลาด จะพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ เสื้อน่ะเป็นของฉัน ส่วนกางเกงเป็นของพ่อ คิดว่านายน่าจะใส่ได้”

               อนาวินทร์จับเสื้อและกางเกงออกมาดู กลิ่นอับจากกางเกงทำเอาต้องปิดจมูก “เอาที่ซักแล้วหรือยัง เหม็นจะตาย”

               พุดชมพูทำเสียงจิ๊กจั๊ก หมั่นไส้คนสะอาดจัดตรงหน้า “สะอาดไปหรือเปล่าพ่อคุณ เสื้อฉันก็ต้องซักแล้วสิ กางเกงมันอาจจะเหม็นอับบ้างแหละ เพราะอยู่ในตู้นานแล้ว รักษาดีๆ ด้วยมีตัวเดียวในโลกนะจะบอกให้”

               “กางเกงซีดๆ เก่าๆนี่นะ!? อ้อ...ใช่ มีตัวเดียวในโลกแน่ ตัวเดียวที่ทุเรศแบบนี้น่ะสิ”

               “ตัวอื่นเอาไปบริจาคหมดแล้ว ตัวนี้ตัวเดียวที่เก็บไว้...” หญิงสาวอธิบาย เธอหยุดปากไว้ก่อนจะพูดอะไรออกไปอีก หันไปหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านปกปิดหน้าตาที่อ่อนไหวของตัวเอง ไม่ว่าเวลามันจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้สึกของคนที่สูญเสียมันก็ยังคงอยู่...แค่ความทรงจำเล็กๆ ก็ยังสามารถทำให้เราน้ำตาไหลได้ หากคนที่จากไปนั้นคือ...คนที่เรารัก

               อนาวินทร์เปลี่ยนเสื้อผ้าที่หญิงสาวเอามาให้สีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก เพราะกลิ่นเหม็นอับจากกางเกง โชคดีที่มีแค่กางเกงแต่เสื้อนั้นมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ อยู่บ้าง อาจจะเกิดจากน้ำยาปรับผ้านุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมจากหญิงสาวคนอื่นๆที่เขาเคยเจอมา มันคนละแบบ คนละอารมณ์ ทว่าเขายังอธิบายไม่ได้ว่ามันแตกต่างอย่างไร

               “เสร็จแล้วใช่ไหม งั้นก็ไปไร่ได้ละ” เธอบอกพร้อมกับเดินนำออกมาหน้าบ้าน สวมรองเท้าบูธสีดำที่วางไว้บนชั้น เธอเหลือบไปมองคนที่ยืนเก้กังๆ อยู่ข้างหลัง

               “สวมรองเท้าสิ ฉันเตรียมไว้ให้แล้วน่ะ” เธอชี้ไปที่รองเท้าบูธสีน้ำตาล “สวมเป็นไหม แค่เอาเท้าหย่อนเข้าไปน่ะ”

               สีหน้าเหมือนคนชั่งใจในการทำอะไรในชีวิตที่สำคัญหนักหนาทำให้หญิงสาวเป่าปาก รำคาญลูกนัยน์ตาเหลือเกิน เลยเดินเข้าไปจับขาของเขามาสวมเข้ากับรองเท้าให้ เขาสะดุ้งในวินาทีแรกที่ถูกดึงขาลงไปสวมกับรองเท้า แต่ท่าทีถัดมาคือย่อตัวลงนั่งกับพื้นเพื่อสวมอีกข้าง

               อนาวินทร์นั้นตอนแรกที่ลังเลในการสวมรองเท้าบูธพลาสติกที่เจ้าของไร่อุ่นรักเตรียมไว้ให้เพราะหวั่นๆว่าข้างในมันจะมีอะไรประหลาดๆ โผล่มาหรือเปล่าเท่านั้นเอง แต่เมื่อเธอเดินเข้ามาสวมให้ความรู้สึกแปลกๆมันแทรกซึมเข้ามาทันที เหมือนเด็กที่รอให้แม่สวมรองเท้าให้!!!???

               “ขอบใจ แต่ครั้งหน้าไม่ต้องหรอก ใส่เองได้แค่กลัวว่ามันจะมีอะไรข้างในเท่านั้นเอง”

               “ฉันไม่ใช่เด็กนะ จะได้แกล้งอะไรแบบนั้น บ้า” เธอบ่นแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาพูด พอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย หน้าใสของเขาอยู่ใกล้ๆ ใกล้มากจนเธอต้องเป็นฝ่ายถอยเสียเอง

               บรรยากาศเมื่อครู่นี่มัน... หญิงสาวสะบัดหน้าตัวเองไปมา ขนลุกชัน ช่างน่าสยดสยองนัก...เธอลุกขึ้นเดินสะบัด ด้วยรับอารมณ์แปลกๆไม่ได้

               ชายหนุ่มเองก็เพิ่งคิดอะไรได้ เขาจ้องหน้าพุดชมพูแบบใกล้ชิด ดวงตากลม ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแต่กลับดูเนียนเรียบ สีผิวที่ไม่ได้ขาวมากแต่มันกลับกลมกลืนไปด้วยความเหมาะเจาะ ริมฝีปากได้รูปดูอิ่มเอิบด้วยสีแดงธรรมชาติ

               แค่แวบเดียวที่ได้สบตา หัวใจที่เต้นแรงขึ้น มันอาการแปลกๆ ...อาจจะตกใจก็ได้ ไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิงอย่างเธอ คนประหลาดอย่างนี้คงไม่เคยเจอมาก่อนเลยตื่นเต้นเป็นธรรมดา...นะ...น่าจะใช่



               พุดชมพูพาคุณชายแห่งบ้านสัตยารักษ์เข้ามาในสวนดอกเบญจมาศของเธอที่ซึ่งมีไฟสว่างจาก หลอดไฟดวงกลมเล็กๆ เรียงเป็นแถวยาว ตามแนวของแถวการปลูก

               “ที่นี่มีเนื้อที่ห้าสิบไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกดอกไม้ โรงเรือน แล้วก็โรงเพาะพันธุ์ไม้อื่นอีกซึ่งอยู่ติดกับโรงเรือนนี่แหละ แบ่งอีกส่วนเป็นพื้นที่ของบ้านและร้านเบเกอรี่”

               “ไม่คิดทำพวกรีสอร์ทหรือ บ้านพักพวกโฮมสเตย์บ้างหรือไง ฉันว่ามันก็โอเคนะ จัดเหมือนที่เธอจัดสวนหลังบ้านน่ะ”

               “อยากทำเหมือนกัน แต่หาเงินก่อนนะเพราะต้นทุนมันค่อนข้างสูง”

               “นั่นสินะ แค่ตัดดอกไม้ขายไปวัน ๆ จะได้สักเท่าไหร่กันเชียว แล้วนี่เปิดไฟไว้ทำไมเยอะแยะ ไม่กลัวค่าไฟพุ่งหรือไง เธอออกจะประหยัด”

               “ที่เปิดไฟไว้นี่นะคะ ไม่ได้ให้ดอกไม้มันอ่านหนังสือนะ แต่เป็นการทำให้ต้นของเบญจมาศโตขึ้นค่ะ ลำต้นมันจะสูงขึ้นเพื่อให้ไว้สำหรับตัด ถ้าไม่ทำอย่างนี้ มันจะเตี้ยเกินไป ขายไม่ได้ราคาแถมไม่ตรงตามที่ตลาดต้องการ”

               “เอาละ เราเริ่มตัดดอกไม้กัน นี่กรรไกรค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นกรรไกรตัดดอกไม้ให้ แล้วเริ่มอธิบายวิธีการตัดให้ชายหนุ่มฟังอย่างละเอียด

               “ตัดนับจากดอกลงมาเจ็ดสิบเซนติเมตรนะ จากโคนสิบเซนติเมตร กะเอาก็ได้ แล้วพอได้สักกำก็เอามารวมกันช่างน้ำหนักที่ตาชั่งนี่ มัดหนึ่งน้ำหนักจะอยู่ที่หนึ่งกิโลกรัม พอเสร็จแล้วห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ลักษณะ ให้เป็นกระดาษโผล่พ้นออกมาด้วยค่ะ มันจะได้ช่วยไม่ให้ดอกช้ำ ตอนที่เราขนส่ง จริง ๆ ตัดมาก่อนแล้วค่อยชั่งแล้วก็ห่อค่ะ แต่อยากเล่าตัวรายละเอียดให้ฟังเฉยๆ” อนาวินทร์มองตามและค่อยๆทำตามแต่ด้วยความที่ไม่เคยจับลำต้นแล้วก็สะบัดนิ้วเกรงความสกปรกเป็นปฏิกิริยาแห่งความเคยชิน

               “ทำไหวไหมเนี่ย มันไม่มีเชื้อโรคชนิดร้ายแรงหรอกคู๊ณ ถ้าทำไม่ได้ก็กลับไปเลยไป ผู้ชายอะไรเนี่ย” เธอบ่นเสียงดังฟังชัด

               อนาวินทร์จ้องคนพูดพาลไม่สบอารมณ์แต่เรื่องอะไรเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ ทำตามที่หญิงสาวสอนอีกครั้งจนเริ่มทำเองได้ ด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ทำให้เกือบเช้าอนาวินทร์เพิ่งตัดได้แค่สี่หอบใหญ่ ส่วนเจ้าของไร่ที่ชำนาญการณ์มากกว่าทำไปเกือบสิบห้ามัดใหญ่

               “อีกมัดหนึ่ง” เธอตะโกนบอกพร้อมกับเดินไปนั่งรอที่ท้ายกระบะ มองหน่วยก้านของคนงานใหม่อย่างอามรณ์ดี ผิวที่ขาว ๆ ของเขาเริ่มมีสีแดงปะปนอยู่บนใบหน้า ส่วนลำคอเริ่มแดงเถือกอาจจะด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาทำให้เขาคอยปาดเช็ดบ่อยๆ

               “เอ้า!! เสร็จแล้ว แค่นี้เองทำไมจะทำไม่ได้” ชายหนุ่มอวดอ้างผลงานของตัวเอง พุดชมพูหัวเราะออกมาเพราะอดไม่อยู่ วางดอกไม้บนตาชั่งแล้วมัดอย่างปราณีต ขนขึ้นไปวางไว้เป็นแนวเดียวกันกับมัดอื่นๆ

               “แค่ห้ามัดทำเป็นคุย ฉันทำสิบกว่าไม่เห็นจะอวด ไปเปลี่ยนรองเท้าก่อนแล้วมาขึ้นรถเราจะไปส่งดอกไม้ที่ตลาดกัน” เธอบอก รอยยิ้มสดใสก่อนจะปิดท้ายกระบะเดินอ้อมไปยังด้านคนขับ

               ชายหนุ่มหน้ามุ่ย อย่างน้อยก็น่าจะบอกว่าดีแล้ว มือไม้เจ็บไปหมดอย่างนี้แต่กลับไม่ได้แม้แต่คำชม

               “เอ้า!! เร็วๆ เข้าสิ ยืนทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ดอยู่ได้”

               “ตูดเป็ดบ้านเธอสิ หล่อขนาดนี้” เขาตวาดกลับ นึกโมโหคนว่าให้ ก้าวฉับๆ เข้าไปในบ้านรีบเปลี่ยนรองเท้าเป็นผ้าใบแล้ววิ่งกลับมาที่รถ

               รถกระบะคันเก่าของไร่อุ่นรักแล่นออกไปแล้ว ภัทราที่ยืนแอบมองอยู่ในตัวบ้านได้แต่ถอนใจ หวังว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอด อย่าได้มีเรื่องที่ไม่สบายใจเข้ามาอีกเลย แค่นี้ลูกสาวเธอก็ทำงานหนักเกินไปแล้ว

               “คุณอาทิตย์ต้องการจะทำอะไรกันแน่หรือคะ อย่าทรมานหลานชายตัวเองเลย ช่วยดูแลคุ้มครองเขาจะดีกว่านะคะ เธอเป็นคนในเมืองจะมาทำตัวเป็นชาวไร่อย่างนี้ได้อย่างไร” เธอยกมือขึ้นประนมกล่าวถึงบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว นึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง หากเรื่องเป็นแค่อยากดัดนิสัยหลานชายคนโปรดเท่านั้น คงไม่ให้พุดชมพูเข้าไปช่วยในบริษัทเป็นแน่ คนมองผ่านโลกมานานเช่นเธอก็อดห่วงไม่ได้ ห่วงทั้งลูกสาว ห่วงทั้งหลานชายของนายอาทิตย์



               เจ้าของไร่อุ่นรักจอดรถเทียบไว้ข้างตลาดซึ่งเป็นที่ส่งของประจำของเธอ ตลาดเริ่มคึกคักมากกว่าทุกครั้งอาจจะด้วยวันนี้เธอมาส่งสายกว่าทุกวัน เป็นเพราะต้องหัดคนงานใหม่เลยล่าช้า อนาวินทร์ลงจากรถได้ก็ยืนนิ่ง กวาดสายตามองตลาดสดด้วยสีหน้าแหยงๆ ตาคมมองน้ำแฉะๆ บนพื้น กลิ่นคาวจากร้านขายปลาที่อยู่ใกล้ๆ จนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก

               “อ้าว คุณชายจะยืนเก๊กท่าถ่ายแบบหรือค่ะ มาขนดอกไม้เร็วเข้าสิ”

               เขาทำหน้าขมขื่นเสียเต็มประดาหันขวับกลับมาทำตามที่เจ้านายสาวบอก พุดชมพูกลั้นยิ้มไว้ก่อนจะหอบดอกไม้เดินนำไปที่แผงดอกไม้ในตลาดส่งไปทีละแผงจนครบ

               “นายพุด กลับมาแล้วหรือ ไม่เห็นหน้านานคิดถึง”

               “ป้าน้ำใจปากหวานจริงๆ มาแล้วจ้า” หญิงสาวตอบยิ้มๆ

               “นี่ไง พอดีเลย หลานชายป้ามาส่งป้า ตาเกียรติมานี่เร้ว มารู้จักนายพุดที่ป้าเล่าให้ฟังไง” ป้าน้ำใจกวักมือเรียกหลานชายเข้ามาหา พร้อมกับแนะนำให้รู้จักหญิงสาว

               “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มหลานชายของป้าน้ำใจนั้นดูคม ผิวเข้ม รูปร่างกำยำล่ำสัน สมกับที่บอกไว้ว่าเป็นนายทหารมาหลายปี

               “สวัสดีค่ะ” พุดชมพูไม่ได้ตั้งตัวมาก่อนว่าป้าน้ำใจจะจริงจังกับเรื่องนี้ ทว่าดูไปหลานชายเธอก็หล่อเหลาใช่เล่น แถมลักษณะภูมิฐานอีกต่างหาก

               “หล่อไหมนายพุด” ป้าน้ำใจเข้ามาเกี่ยวแขนกระซิบกระซาบ พุดชมพูหัวเราะออกมาทันที

               “พุดว่าพุดหล่อกว่านะป้า” เธอกล่าวติดตลก เหลือบมองคนหล่อของป้าน้ำใจ เขายังยิ้มแป้นเห็นฟันขาวๆเรียงกันเป็นระเบียบ

               “นี่!! จะกลับได้หรือยัง ส่งเสร็จหมดแล้วก็รีบกลับมามัวยืนคุยอะไรอยู่” น้ำเสียงเหมือนฟ้าคำรามของอีกคนหนึ่งที่ยืนข้างหลังทำเอา พุดชมพูและป้าน้ำใจสะดุ้งเหลือบไปมองต้นเสียง

               “ใครกันหรือนายพุด”

               “อ๋อ...คนงานใหม่น่ะป้า งั้นเดี๋ยวพุดกลับก่อนนะคะ อีกสองวันมาส่งใหม่ถ้าจะเอาเพิ่มก็โทร.ไปบอกนะป้า”

               “จ๊ะ” หญิงแก่รับคำ เหลือบมองชายสูงขาว หน้าตาหล่อเหลาที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างหลัง ‘นายพุด’ ด้วยความแปลกใจ ส่วนหญิงสาวนั้นโล่งอกที่หลุดรอดมาจากการหาคู่ดูตัวนั้นได้ทันท่วงที

               “ยิ้มหวานอย่างนี้ ชอบไอ้ล่ำนั่นหรือไง สเปคเธอแปลกไปแล้วนะ”

               “แปลกตรงไหน”

               “อ้าว ตัวอย่างกับตึก หน้าก็เหมือนไก่ มันเข้ากันเสียที่ไหน”

               “พูดเหมือนตัวเองดูดีเสียเต็มประดา ไปหาเสื้อผ้าใส่ทำงานกันก่อนเถอะ” เธอตัดบทเดินนำเขาไปยังฝั่งที่ขายเสื้อผ้า มีสองสามร้านที่ขายเสื้อผ้าผู้ชาย

               “อ้าวนายพุดมาซื้อเสื้อเหรอคะ มีของใหม่เยอะเชียว” เจ้าของร้านเสื้อกล่าวสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับชี้ไปที่เสื้อผ้าผู้ชายที่เพิ่งลงใหม่ พุดชมพูยิ้มรับ เธอหยิบเสื้อเชิ้ตสีเข้มสองสามตัวขึ้นมาทาบตัวของอนาวินทร์  เขายืนทำตัวเป็นหุ่นมากกว่ากว่าจะเป็นคนมาเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเอง ทีท่าไม่ได้ใส่ใจทำให้หญิงสาวต้องเป็นฝ่ายเลือกให้ทุกอย่างแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูด

               “คิดว่าคงไม่ชอบลายพร้อย เสื้อสีเดียวนายน่าจะชอบมากกว่า”

               “อืม...” คำตอบที่ไม่ได้เล็ดลอดมาจากริมฝีปากของชายหนุ่มเลย หญิงสาวตวัดตามอง

               “พี่คะ ขอดูกางเกงยีนส์...นายใส่ไซด์ไหน” เธอหันมาถาม อนาวินทร์ตอบสีหน้าเหมือนไม่ได้สนใจนักแต่สายตาก็ยังแอบเหล่ตามที่เธอเลือกๆ ไว้ไห้ หญิงสาวค่อนข้างเลือกได้ถูกใจเขาพอสมควร เสร็จจากการซื้อเสื้อผ้าเธอเดินออกมาที่หน้าตลาดร้านกาแฟโบราณเจ้าเก่า

               “อ้าว นายพุดเป็นไงบ้างไม่เห็นหลายวันเลย ได้ยินว่าเข้ากรุงเทพฯไปทำไมเหรอ”

               “ไปเรื่องงานน่ะน่ะค่ะลุง ขนมมีอะไรจะเอาเพิ่มไหมคะ”

               “เอาสิ บอกจิตมันมาส่งเพิ่มอีกสองโหลนะ”

               “ได้ค่ะ แล้วจะมาส่งนะคะ”

               “อ้าว แล้วนั่นใคร แฟนนายพุดเหรอ” ชายแก่เจ้าของร้านกาแฟเอ่ยถามด้วยความสงสัย ลักษณะท่าทาง ผิวพรรณก็ดูไม่เหมือนคนงานในไร่ หน้าตาคมอย่างอย่างนี้คงเป็นแฟน เพื่อนหรือไม่ก็ญาติๆกัน

               “โอ้ย!! ไม่ๆ ไม่ใช่ลุง คนงานใหม่น่ะ อย่าพูดอย่างนั้น เดี๋ยวพุดขายไม่ออกพอดี”

               “ออกอยู่แล้วนายพุดน่ะ เห็นแม่น้ำใจป่าวประกาศทั่วตลาดว่าจองให้หลานชาย”

               พุดชมพูขมวดคิ้วเกาศีรษะเบาๆ เธอไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลย คิดเอง เออเองกันทั้งนั้น “ข่าวลือแหละ พุดไม่เห็นรู้เรื่อง ไปแล้วนะลุง เดี๋ยวให้จิตมาส่ง”

               “ไม่อยากให้มีข่าวลือก็รีบแต่งงานเสียสินายพุด”  ลุงเจ้าของร้านกาแฟหยอกเย้าด้วยความคุ้นเคย

               พุดชมพูได้แต่ยิ้มรับ เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ การแต่งงานไม่ได้หมายความว่าชีวิตเธอจะสมบูรณ์เสียเมื่อไหร่ การอยู่ร่วมกับใครสักคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวแถมยังต้องปรับตัวอีกหลายอย่างให้อยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรอกนะ ถ้ามีใครสักคนทำให้เธอเลิกคิดเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ได้ เธอก็จะแต่ง แต่ตอนนี้ไม่มีก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นจะลำบากตรงไหน

               “ดูคนที่นี่เขาวุ่นวายกับการหาคู่ให้เธอเหลือเกินนะ หรือว่ากลัวจะหาไม่ได้”

               “ปากนี่เขาเอาไว้ให้นายหาเรื่องอย่างเดียวเลยหรือไง”

               “เปล๊า แค่สงสัยเท่านั้นเอง คงกลัวเธอหาไม่ได้ไม่งั้นไม่พยายามกันขนาดนี้หรอก”

               “ยุ่งเรื่องของตัวเองไปเถอะน่า ทำให้สำเร็จละกันสามเดือนมันเร็วสำหรับคนตั้งใจแต่มันช้าสำหรับคนไร้สติ” เธอกล่าวก่อนจะเปิดประตูรถนั่งประจำที่คนขับ

               อนาวินทร์ยิ้มกว้าง เป็นครั้งแรกที่เขาเถียงชนะ...สามเดือนเหรอ จิ๊บๆ จะรอดูว่า เธอจะยอมให้สิ่งที่เขาอยากได้หรือเปล่า

จากคุณ : ดนตรีในสายลม
เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 55 08:12:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com