ราวไม้ถ่อค้ำเรือออกจากฝั่ง เรือบดไหลแล่นไปทางเรือใหญ่อย่างรวดเร็ว
ลมเหนือผิวน้ำค่อนข้างเย็น โถมพัดเข้าหาจนฉันสั่นสะท้าน องค์ชายสิบสามรีบยื่นมือมากุมมือเย็นเฉียบของฉันทันที เขาจ้องมองไปด้านหน้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่มือที่กุมฉันนั้นกลับมั่นคงเหลือเกิน เขาคงรู้ว่าฉันมองเขาอยู่เลยหันมายิ้มให้ ฉันก้มหน้าหลบ กระชับมือเขาแน่นกว่าเดิมให้ไออุ่นจากมือส่งผ่านไปถึงหัวใจดวงนั้น
ไม่นานเรือบดก็เทียบจอดข้างเรือมังกร เราไต่บันไดขึ้นไปด้านบนทีละคน รอบด้านนั้นมีแต่ทหาร ตอนนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหลังไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้สำรวจรอบๆ
น้องสิบสาม เจ้าช่างสุนทรีจริงนะ!
ฉันเม้มปากหันไปมองทางด้านหลังของพวกเราซึ่งมีองค์ชายสิบ องค์ชายแปด องค์ชายเก้า รวมถึงองค์ชายสิบสี่ยืนอยู่ สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป ฉันไม่อยากมองเท่าไหร่ แต่ใบหน้าเย็นชาขององค์ชายสิบสี่กลับโผล่มาให้เห็นตรงหางตา
พวกเรารับพระบัญชาให้ตามเสด็จมาที่นี่ แต่เจ้าหรือกลับแจ้นออกไปสำเริงสำราญคนเดียว องค์ชายสิบเค้นเสียงดังก้อง ปกติเขาก็เป็นคนเสียงดังอยู่แล้ว แต่วันนี้เหมือนกับจะป่าวประกาศให้ทุกคนได้ยินกันทั่ว
คิ้วฉันขมวดมุ่น อิ้นเสียงยังไม่ทันพูดอะไรหลี่เต๋อเฉวียนซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาจากทางไหนก็เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ทันท่วงที
องค์ชายทั้งหลาย ฝ่าบาททรงเรียกหาพ่ะย่ะค่ะ
องค์ชายแปดยิ้มกล่าว รู้แล้ว จากนั้นก็หันมาพูดกับองค์ชายสิบและองค์ชายสิบสาม อย่าให้เสด็จพ่อทรงคอยนาน พวกเรารีบไปเถอะ
องค์ชายสิบสามพยักหน้ารับก่อนจะก้มลงมองฉัน ฉันจึงขยิบตายิ้มให้เขาทำให้เขายิ้มออกมาได้ เมื่อองค์ชายสิบสามเดินตามพวกขององค์ชายแปดไปแล้วองค์ชายสิบสี่ซึ่งอยู่รั้งท้ายก็เดินมาหยุดลงตรงข้างฉัน ฉันก้มหน้าไม่กล้ามองเขา ได้ยินแต่เสียงหายใจหนักๆ
น้องสิบสี่ เสียงเข้มๆ ขององค์ชายเก้าดังขึ้น ฉันเห็นองค์ชายสิบสี่กำหมัดแน่น แต่แล้วก็เดินจากไป
เฮ้อ...ที่ตรงนี้ไม่มีใครสนใจฉันแล้ว ฉันเลยถือโอกาสเดินไปที่กราบเรือ มองดูความวิจิตรตระการตาบนริมฝั่ง ความอบอุ่นอ่อนโยนของรอยยิ้มและคำพูดเมื่อกี้เหมือนอดีตที่ผ่านไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงลมทะเลสาบที่แสนเหน็บหนาวกับโชคชะตาที่ยังไม่อาจรู้ ฉันยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ในใจมีแต่ความสับสน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนด้านหลังฉันก็พลันมีเสียงแหลมเล็กดังขึ้นทำเอาฉันสะดุ้งโหยง ฉันหันกลับไปดู...ที่แท้ฝูงกงกงเดินนำขันทีน้อยผ่านมานี่เอง
แม่นางเสี่ยวเวย เจ้าไม่ค่อยสบายเนื้อตัวไม่ใช่หรือ เหตุใดคราวนี้จึงมีแก่ใจมาเดินเที่ยวเล่นได้เล่า
ท่าทางของเขาไม่มีความประสงค์ดีเลย แถมรอบข้างยังมีคนที่ยื่นหูคอยฟังเรื่องสนุกอยู่กันเพียบ ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มบางๆ ให้เขา แต่ใจไม่ได้อยู่ที่เขาเลย เพราะเพิ่งนึกได้ว่าพระนางเต๋อเฟยก็ทรงอยู่บนเรือนี้ด้วยเหมือนกัน นึกถึงคำที่พระนางเคยตรัสเมื่อคราวนั้นแล้วฉันก็สะท้าน หน้าของฉันคงซีดเผือดฝูกงกงเลยได้ใจใหญ่ พูดสำทับอยู่ได้ไม่ยอมหยุด
อย่าคิดว่าได้ติดตามองค์ชายท่านแล้วจะเป็นอย่างไรได้นะ ผู้หญิงตั้งมากมายใครเขาจะจริงจังกับเจ้า เขาปรายตามองฉันอย่างดูแคลนก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง เรามันก็เหมือนกันนั่นล่ะ
ฉันรู้ดีแก่ใจ ตั้งแต่เข้าวังฉางชุนมาฉันก็แย่งความสำคัญจากเขาไปไม่น้อย ฉันปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบทุกอย่างมาโดยตลอด มีคราวนี้แหละที่พลาดพลั้งตกลงในเงื้อมมือเขา เขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสงามๆ นี้ไปง่ายๆ แน่ เขาเย้ยหยันอย่างได้ทีว่าฉันริอ่านแต่งตัวเป็นผู้ชายออกไปเที่ยว ฉันเลยยิ้มทวนคำของเขา
พวกเราเหมือนกันจริงๆ ด้วย
ฝูกงกงมองฉันงงๆ อะไร
คราวนี้ฉันยิ้มตาหยี พูดชัดถ้อยชัดคำ ผู้หญิงก็ไม่ใช่ผู้ชายก็ไม่เชิงเหมือนกันยังไงล่ะ
พรืด! คนรอบข้างแอบหลุดขำกันใหญ่ ฝูกงกงหน้าดำหน้าแดง ปากคอสั่นพูดอะไรไม่ออกไปเลย ฉันมองเขาด้วยท่าทางนิ่งเฉย ในใจรู้ดีว่าการล่วงเกินเขาไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเลย แต่ถ้าจะให้ฉันเป็นข้ารับใช้ของบ่าวคนนี้ สู้ฉันตั้งตัวเป็นศัตรูดีกว่า
พี่เสี่ยวเวย! เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นชวนให้ฉันสั่นสะท้าน รีบหันขวับไปมอง เสี่ยวชุนเดินมาหาอย่างแช่มช้า ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนๆ เธอสวมชุดประจำตำแหน่งสีชมพูยิ่งขับให้เหมือนดอกท้อในร่างมนุษย์ก็ไม่ปาน ฉันไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ หลังจากที่ฉันเห็นเธออยู่กับองค์รัชทายาทในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้พบเจอเธออีกเลย วันนี้จู่ๆ ได้มาเจอหน้า ใจมันเกิดความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกจริงๆ เธอสวยผุดผ่องแบบนี้เพื่อใครกันนะ ความปวดแปลบที่ไม่อาจยับยั้งได้ผุดขึ้นในใจ...เพียงครู่เดียวเสี่ยวชุนก็เดินมาหยุดตรงหน้าฉัน รอยยิ้มที่เหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิชะงักกึกเมื่อเห็นฉันขมวดคิ้วมองเธอด้วยสายตาจนใจ
พระสนมเจิ้ง ท่านออกมาได้อย่างไรขอรับ
เสียงของกงกงเรียกสติของฉันกลับมา เสี่ยวชุนยิ้มให้น้อยๆ และโบกมือให้ฝูกงกงซึ่งทำความเคารพเธออย่างอ่อนน้อม
กงกงรีบลุกขึ้นเถิด
ฉันมองดูฝูกงกงยิ้มประจบแล้วก็อดอึ้งไม่ได้ อีตาคนนี้นี่ช่างเปลี่ยนสีเก่งจริงๆ เขานอบน้อมกับเสี่ยวชุนได้ขนาดนี้นั่นก็หมายความว่าเธอ...
พี่เสี่ยวเวย เมื่อเสี่ยวชุนให้ฝูกงกงผละไปแล้วเธอก็หันมาเรียกฉันที่ยืนนิ่งอึ้งอีกครั้ง
หา? ฉันเพิ่งจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบก็หัวเราะแก้เก้อ แต่ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นมาเกาหัวอย่างไม่รู้ตัว
หึๆๆ! เสี่ยวชุนหัวเราะออกมาทำให้ฉันอึ้งอีกครั้ง ท่านสวมชุดผู้ชายแล้วหล่อเหลายิ่งนัก เธอกระเซ้าฉันเล่น
หึๆๆ ฉันหัวเราะไปกับเธอด้วย ในใจแอบรู้สึกเหมือนฝัน ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปครั้งแรกที่เราได้รู้จักกันเลย ต่างคนต่างทำตัวสบายๆ ไม่มีพิธีรีตอง เราสองคนมองหน้ากันเห็นวันวานจากแววตาของอีกฝ่าย ฉันยิ้มบางๆ รู้สึกอบอุ่นในใจ เสี่ยวชุนยื่นมือมาดึงมือฉัน กำไลมรกตสีเขียวตลอดทั้งวงเลื่อนโผล่ออกมาให้เห็น ฉันนิ่งตะลึง จำได้ว่าพระนางเต๋อเฟยก็ทรงมีวงหนึ่ง มันเป็นของบรรณาการจากกษัตริย์พม่า เป็นของล้ำค่าอย่างที่สุด องค์จักรพรรดิทรงน้อมถวายแด่พระพันปีด้วยพระกตัญญุตา แล้วพระพันปีก็ได้พระราชทานให้พระอัครชายาวงหนึ่ง ให้พระราชชายาเต๋อเฟยวงหนึ่ง แสดงถึงความเอ็นดูที่มีต่อพระนางทั้งสอง ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เห็นที่ข้อมือของเสี่ยวชุนอีกวงหนึ่ง หรือว่าองค์คังซีจะ...
เสี่ยวชุนเห็นฉันจ้องกำไลตาไม่กะพริบหน้าก็ซีดลงไปถนัดตา รีบชักมือเก็บและดึงแขนเสื้อมาปิดไว้ ใบหน้าของเธอไม่มีสีเลือด ปากคอสั่น ฉันเม้มปากจงใจถลึงตาใส่เธอ
ก็แค่กำไล ต้องเก็บต้องซ่อนขนาดนี้เชียวเหรอ หวงจริงนะ
เสี่ยวชุนชะงัก เมื่อเห็นฉันทำเหมือนไม่รู้ที่มาที่ไปของกำไลชิ้นนี้ก็ถอนหายใจยิ้มออก
ถ้าท่านชอบข้าจะให้
ดูท่าคงไม่ใช่ของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้เสียแล้ว ใจฉันกลับหนักอึ้งอย่างอดไม่ได้
ฉันยิ้มฝืนเปลี่ยนเรื่องพูด เจ้ามาได้อย่างไร
เสี่ยวชุนยิ้ม องค์ชายสิบสามพาสาวงามเที่ยวชมทะเลสาบ บนเรือนี้เขาลือกันให้ทั่ว ข้าเลยออกมาดูเสียหน่อยว่านางจะงามอย่างไรถึงทำให้ โอรสสิบสามผู้ห้าวหาญ ใหลหลงยิ่ง
ฉันหน้าแดงหัวเราะหึๆ ไม่กล้ารับเลยแม้แต่นิดเดียว เสี่ยวชุนดูจะชอบอกชอบใจท่าทางเขินอายของฉันเหลือเกิน เอาแต่หัวเราะมองฉัน
ขออภัยด้วยที่ทำให้ท่านผิดหวัง ฉันแกล้งค้อนใส่นางทีหนึ่ง
เสี่ยวชุนส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะมองฉันอย่างจริงจัง แววตานั้นแปรเปลี่ยนไป
ถ้าเป็นท่านล่ะก็... เธอลดเสียงลงจนฉันต้องยื่นหน้าไปใกล้เพื่อฟังให้ชัด ดูเหมือนเธอจะมีเรื่องในใจ
ฉันอดใจแล้วอดใจอีก ในที่สุดก็ก็ถามออกไป
เสี่ยวชุน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
เสี่ยวชุนเงยหน้าขึ้นมองแววตาห่วงใยของฉัน ดวงตาของเธอฉายอารมณ์มากมายจนฉันจับไม่ถูก แต่แล้วเธอก็แย้มรอยยิ้ม
สบายยิ่งนัก สบายดีเช่นเคย
ท่าทางเรียบเฉยของเธอทำให้ฉันถามต่อไม่ได้ เราสองคนยืนเงียบตรงกราบเรืออยู่พักหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างคิดเรื่องในใจ รอบตัวมีเพียงเสียงหวีดหวิวของลมหนาวที่พัดเข้ามาในใจอย่างช้าๆ
แม่นางหมิงเวย ฉันสะดุ้งหันไปมอง หลี่เต๋อเฉวียนเดินเข้ามา เมื่อเห็นเสี่ยวชุนเขาก็ชะงักไป เสี่ยวชุนเป็นฝ่ายค้อมตัวยิ้มให้เขา
หลี่กงกง
อ้อ! สนมเจิ้งนั่นเอง คารวะพระสนม
เขาพูดพลางทำท่าเคารพ เสี่ยวชุนต้องรีบยื่นมือห้าม
กงกงไม่ต้องมากพิธี
หลี่เต๋อเฉวียนยิ้มแล้วจึงวกเข้าเรื่อง นั่นคือหันมายิ้มพูดกับฉัน
แม่นางหมิงเวย ฝ่าบาททรงเรียกเจ้าเข้าเฝ้า
ฉันพยักหน้าเพราะคิดไว้อยู่แล้ว ถึงฝ่าบาทจะไม่ทรงใส่พระทัย แต่ท่าทางขององค์ชายสิบสามเมื่อกี้บอกฉันอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนที่จะคอยแต่หลบๆ ซ่อนๆ ตลอดระยะเวลาที่ฉันอยู่กับเขา ฉันรู้ดีว่าในใจเขาคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด และเขาคงอาศัยโอกาสในวันนี้ทำให้ทุกอย่างชัดเจนแน่ๆ
ฉันนึกถึงรอยยิ้มของเขาก่อนลงเรือเมื่อกี้นี้แล้วก็หลับตาทำใจให้สงบ เมื่อลืมตาอีกครั้งก็หันไปทางหลี่เต๋อเฉวียน
กงกงโปรดนำทางด้วย
หลี่เต๋อเฉวียนเตรียมจะนำหน้าไปแต่ก็ไม่ลืมหันไปพยักหน้าให้เสี่ยวชุน เสี่ยวชุนมองฉัน ในสายตามีความห่วงกังวลอย่างไม่ต้องสงสัย ฉันยิ้มน้อยๆ ให้เธอก่อนจะเดินตามหลี่เต๋อเฉวียนไป ความห่วงใยของเสี่ยวชุนทำให้ฉันมั่นใจขึ้น ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้
หลี่เต๋อเฉวียนเดินอยู่ข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ หันมามองฉันบ้างเวลาเดินโค้งหรือเลี้ยว ฉันเดาเอาว่าเขากำลังคิด คิดว่าฉันในตอนนี้แตกต่างจากครั้งที่พบกันคราวก่อนนั้นแทบจะคนละคน แต่ฉันไม่มีใจจะมาสนว่าเขาคิดยังไงบ้าง อีกเดี๋ยวต้องพบฝ่าบาท นั่นสิปัญหาใหญ่ของแท้ ยังไม่รู้เลยว่าอิ้นเสียงพูดไปว่ายังไง คิดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ เมื่อกี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะช่วยเสี่ยวชุนให้ได้ แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้เลยว่าจะช่วยเหลือตัวเองให้รอดได้หรือเปล่า เฮ้อ...
แม่นางหมิงเวย ด้านหน้านี้ก็ถึงแล้ว หลี่เต๋อเฉวียนหันกลับมาบอกฉัน
ฉันพยักหน้ารับ แอบสูดลมหายใจลึก มองไปทางห้องที่มีแสงไฟสว่างไสว ฉันพลันก็นึกถึงสายพระเนตรที่ทรงมองฉันเมื่อครั้งก่อนตอนหนีบของพระราชทานไว้กับรักแร้ แอบหนาวๆ ร้อนๆ ในใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู ขันทีน้อยคนหนึ่งก็เดินเข้ามาค้นตัวฉันแล้วหันไปพยักหน้าให้หลี่เต๋อเฉวียนก่อนจะถอยออกไป แม้ฉันจะรู้ว่านี่คือกฎ แต่การถูกขันทีมาลูบคลำตามเนื้อตัวมันก็ชวนให้กระดากใจไม่น้อย
แม่นาง
อ๊ะ? ฉันเงยขึ้นมาก็เห็นหลี่เต๋อเฉวียนเลิกม่านรออยู่แล้ว ฉันจึงรีบเดินเข้าไปข้างใน ไออุ่นปะทะใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมา ไม่เหมือนกับกำยานกลิ่นดอกกุ้ยฮวาในห้องพระนางเต๋อเฟย ฉันเผลอสูดกลิ่นเข้าไปเต็มปอด สมองโล่งโปร่งสบายขึ้นมาทันที
ฝ่าบาท กระหม่อมพาคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ
หลี่เต๋อเฉวียนพูดขึ้นทำให้ฉันได้สติ รีบก้มลงเดินไปทางด้านหน้าสองก้าวแล้วคุกเข่าลง
อืม ชื่อหมิงเวยใช่หรือไม่ กระแสเสียงของฝ่าบาทกระจ่างชัด
ฉันแอบกำมือไม่รู้ตัว ทูลฝ่าบาท ใช่เพคะ
เงยหน้าขึ้นมาให้เราดูหน่อยซิ
อึ๋ย! ฉันร้องครวญในใจแต่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา และแล้วฉันก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปทางจักรพรรดิคังซี พระภูษายาวสีเขียวสมอจีน ถุงพกข้างพระกฤษฎีสีเหลืองสด ฉลองพระองค์ตัวนอกสีน้ำตาลทอง พระพักตร์เรียวยาวขาวผ่อง ปลายพระขนงลาดลง พระนาสิกยาว พระโอษฐ์บาง ดวงพระเนตรทั้งสองเปล่งประกาย...เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ใกล้ชิดขนาดนี้ ทรงงดงามกว่าภาพวาดที่ตกทอดไปถึงสมัยปัจจุบันมาก แต่บนพระพักตร์ก็ยังมีรอยแผลเป็นขาวๆ จากไข้ทรพิษให้เห็นพอควร หนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้หลอกลวงจริงๆ หึๆ ฉันแอบขำ เพิ่งพบว่าฝ่าบาททรงหรี่พระเนตรจ้องมองมา ฉันตกใจรีบหลุบตาหลบ
เป็นเด็กที่งดงามสดใสจริงๆ จักรพรรดิคังซีทรงเอ่ยขึ้น
ใช่เพคะ ฮูหยินของใต้เท้าอิงลู่เป็นหญิงงามเลื่องชื่อ แล้วลูกสาวจะน้อยหน้าได้อย่างไรเล่าเพคะ พระอัครชายาน่าหลันซึ่งประทับอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น พลันมีเสียงสนับสนุนมาจากรอบข้าง แต่ฉันกลับแยกแยะไม่ออกว่าเป็นเสียงใครบ้าง
เจ้าสิบสามบอกว่าเป็นคนบังคับให้เจ้าไปเที่ยวเล่นด้วยกันหรือ พระจักรพรรดิคังซีทรงตรัสถามเสียงเรียบ
ฉันเงยหน้าขึ้นมองหาเขาอย่างอัตโนมัติ อิ้นเสียงยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ฉันไม่ต้องกลัว ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้น กำลังจะอ้าปากพูดก็ต้องชะงักค้าง...องค์ชายสี่! ไม่ได้เจอเขาหลายวัน เขาดูผอมลงไปเยอะเลย สีหน้าก็ซูบซีดด้วย เขากำลังมองฉันตาไม่กะพริบ ในแววตามีความเยือกเย็นพาให้ฉันใจสั่น
หืม? ทำไมไม่พูด ฝ่าบาทเห็นฉันไม่ตอบก็ทรงทัก
ฉันสูดลมหายใจเข้า เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หลายวันที่ได้อยู่กับองค์ชายสิบสามทำให้ฉันรู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไรฉันก็ไม่อาจไปจากอิ้นเสียงได้
ในใจรู้สึกเหมือนทั้งพลุ่งพล่านและทั้งปล่อยวาง แม้แต่จักรพรรดิคังซีผู้อยู่เบื้องหน้าฉันก็ไม่ใส่ใจ
องค์ชายสิบสามทรงอยากสัมผัสความรู้สึกของชาวบ้านที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีอันสงบสุขรุ่งเรืองด้วยพระองค์เองเพคะ หม่อมฉันจึงตามถวายการรับใช้
อื้อ? เสียงของฝ่าบาทแฝงด้วยความสนพระทัย ร่มพระบารมีหรือ...สงบสุขรุ่งเรืองอย่างไร องค์จักรพรรดิแย้มพระสรวลถาม
แมนจูฮั่นอยู่รวมกันเป็นครอบครัว พูดออกไปแล้วก็ต้องชะงัก ภายในห้องเงียบกริบลงทันที
ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่น บ้าจริงๆ เลย คำสรรเสริญสดุดีมีออกถมถืด แต่ฉันกลับพูดคำคำนี้ออกไป คราวนี้แย่ไปกันใหญ่แล้ว ขณะที่กำลังลนลานฉันก็กลับคิดคำพูดของอุ้ยเสี่ยวป้อขึ้นมาได้ หลังเรื่องย่ำแย่หนาหนัก เราจะย่ำแย่หนักหนาอย่างไรได้อีก...
ฉันตัดสินใจได้ปุ๊บก็ไม่รอช้าก้มหัวลงต่ำติดพื้น หม่อมฉันเพียงแต่ได้ยินคนพูดกันเช่นนี้ ขอพระองค์ลงพระอาญาด้วย
องค์จักรพรรดิทรงพระสรวล มีอาญาอันใดเล่า ความหวังของเราก็คือแมนจูและฮั่นอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น พวกเจ้าจำกันได้หรือไม่ พระองค์ทรงหันไปทางเหล่าราชโอรส
พ่ะย่ะค่ะ เสียงสูงต่ำของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งต่างความคิดขานรับขึ้นพร้อมกัน
เด็กคนนี้รู้จักมองการณ์ รอบรู้ดียิ่ง ฝ่าบาททรงหันไปตรัสกับพระนางเต๋อเฟย
เพคะ หม่อมฉันเองก็ชอบนาง เมื่อครั้งก่อนฝ่าบาทก็ทรงตรัสว่าอักษรบนพัดสอดผสานความแข็งแกร่งและอ่อนช้อยมิใช่หรือเพคะ
อ้อ องค์จักรพรรดิทรงหันมามองฉัน หรือว่า...
พระนางเต๋อเฟยพยักพักตร์ยิ้มตอบ เด็กคนนี้เป็นผู้เขียนเพคะ
ฉันนิ่งอึ้ง พัดเล่มนั้นฉันจำได้ดี แต่ตอนนั้นฉันเขียนให้ตงเหลียนนี่นา! ทำไมถึงไปอยู่กับพระนางได้ แถมฝ่าบาทยังทรงเห็นอีก บนพัดนั้นฉันเขียนเพลงประกอบซีรีส์เรื่อง จอมจักรพรรดิเฉียนหลง บทที่ว่า สายธารผืนน้ำกว้าง ท้องนภาย่อมหยัดสูง แต่เดิมบนพัดมีเพียงภาพเรือลำหนึ่ง ฉันเลยเขียนเติมตามคำรบเร้าของตงเหลียน
ช่างเป็นหญิงที่ปราดเปรื่องนัก! ที่เจ้าเขียนนั้นคืออะไร เราพิศแล้วว่ามิใช่โคลงกลอน และมิใช่บทร่าย แต่อ่านแล้วให้รู้ว่าเป็นถ้อยคำแห่งการตื่นรู้และความกระจ่างแจ้งในชีวิต
ฉันยิ้มเฝื่อน มันคือเพลงที่ฮิตมาก ฉันไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วหมายความว่ายังไง
ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเพียงเขียนไปตามเรื่อง ไม่มีค่าอันใด รังแต่จะรกพระเนตรของพระองค์เพคะ
ฉันทำท่าหวาดหวั่น แต่ในใจกลับเหนื่อยหน่าย ต้องโขกศีรษะอีกแล้ว
เจ้านี่ช่างถ่อมตัว แตกต่างจากครั้งก่อนนั้นทีเดียว จู่ๆ จักรพรรดิคังซีก็ทรงตรัสออกมา ทำให้หัวใจฉันเย็นวาบ
ฉันยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาอะไรหางตาก็เหลือบเห็นองค์ชายสิบสี่ขยับมาด้านหน้าก้าวหนึ่งคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าขององค์ชายสิบสามและองค์ชายสี่ที่อยู่ข้างๆ ก็ขรึมลง แม้ฉันจะไม่เข้าใจ แต่สัญชาตญาณมันบอกว่าไม่ใช่เรื่องดี เขาคิดจะทำอะไร ไม่ทันที่องค์ชายสิบสี่จะพูดออกมาพระนางเต๋อเฟยก็ตรัสขึ้นเสียก่อน สีหน้าของพวกองค์ชายพลันเปลี่ยนไปในทันที ฉันมองดูใบหน้าลิงโลดขององค์ชายสิบสาม ความโมโหโทโสอย่างที่สุดขององค์ชายสิบสี่ และนัยน์ตาที่เย็นยะเยือกราวกับหิมะขององค์ชายสี่ ข้างหูได้ยินพระดำรัสนั้นของพระนางดังก้อง
ฝ่าบาท เด็กคนนี้ฉลาดหลักแหลม เข้าอกเข้าใจจิตใจผู้อื่น ชาติกำเนิดก็คู่ควร หม่อมฉันเป็นเจ้านายดูแลนาง จะขอยกนางให้องค์ชายสิบสามเพคะ