ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๖ : ตัดสินใจ (ท่อนเริ่ม)
|
 |
+++ ส่งการบ้านท่อนแรกก่อนนะคะ บทนี้คนเขียนท่าจะเหนื่อยหรือไงก็ไม่รู้ พิมพ์ไปหัวแทบโขกโน้ตบุ๊คไป ง่วงจริงๆ เลย แหะๆ +++
บทที่ ๖ : ตัดสินใจ (ท่อนเริ่ม)
เจ้าชายกฤตมุขมองมารดาที่เพิ่งออกสมาคมพร้อมกับพ่ออยู่หัวด้วยสายตาขุ่นมัว แต่พระนางปริชมันกลับวางหน้าเฉยเสีย สาเหตุของความไม่พอใจของลูกชายคือสิ่งใด ไยจะไม่รู้ความเล่า เพียงก้าวแรกที่เหยียบเข้าสู่งานแล้วเห็นแต่ละคนดื่มกินกันด้วยความสุข แทนที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้น เท่านี้ก็บอกได้ในตัวเองอยู่แล้ว ไม่จำต้องให้เจ้าชายกฤตมุขบอกด้วยสายตาเช่นนี้อีก ยิ่งปรายตาไปทางสองพี่เลี้ยงคนสนิทของเจ้าหญิงจามเทวีที่ประกบติดอารักขานายของมันยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ลูกยอดแล้วก็ยิ่งรู้ ถ้าเจ้านักฆ่าสองคนนั่นไม่ทำพลาดเสียเอง ก็เป็นฝ่ายศัตรูที่ไหวตัวทันเสียแล้ว ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังการลงมือก็ย่อมต้องยากเป็นทวีคูณ
ไหวตัวทันเช่นนั้นรึ ครานี้พระนางปริชมันถึงกับเผลอยิ้มมุมปาก จามเทวีฤๅไหวตัวทัน ในเมื่อคนของพระนางที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าจับตามองอยู่ แจ้งข่าวว่าตั้งแต่กลับจากสงคราม นอกจากช่วยราชการพ่ออยู่หัวที่เรือนหลวงแล้ว หากไม่ไปพบแม่อยู่หัวก็อยู่ที่หอพระเท่านั้น ทั้งเกษวดีกับปทุมวดีก็ติดสอยห้อยตามราวกับเงาตามตัวกระนั้น เช่นนี้แล้วพวกนางจะไหวตัวทันได้อย่างไร นอกเสียจากว่า...
หากเป็นมันจริง ก็สมดั่งที่คะเนไว้แต่แรก คนอย่างพระนางปริชมันไม่เคยประมาทวางแผนชั้นเดียว การลอบสังหารเจ้าหญิงจามเทวีครานี้แท้แล้วเป็นแผนลวงของพระนางทั้งสิ้น จะตัดไม้ใหญ่ทั้งที ก็ต้องรอนรากริดกิ่งใบเสียก่อน อาจเสียเพลาไปบ้าง แต่ผลที่ได้ก็คุ้มมิใช่ฤๅ
กฤษณามองร่างที่วิ่งตัดออกไปทางหนึ่ง กำลังจะตามแต่สัญชาตญาณระวังภัยที่เกิดขึ้นมาเพลานี้ทำให้นางต้องชะงักเท้าอยู่กับที่ เพราะดูเหมือนว่าเจ้าคนลึกลับนั่นจะล่อให้นางออกห่างจากงานเลี้ยงออกไปทุกที ซ้ำทางที่มันวิ่งล่อไปนั้นยังเป็นทางส่วนที่รกร้างที่สุดเสียด้วย ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันอย่างครุ่นคิด คนอย่างพระนางปริชมันน่ะหรือจะประมาทวางแผนชั้นเดียวเยี่ยงนี้ แล้วยังประมาทซ้ำด้วยการให้นางล่วงรู้แผนลับทั้งปวงเสียด้วย ถ้านี่คือการซ้อนแผนจับหนอนบ่อนไส้เล่า เห็นทีจะไม่ได้การเสียแล้ว
ไวเท่าความคิด สายลับสาวในคราบนางข้าหลวงหันหลังกลับทันใด ทว่ายังไม่ทันก้าวเดินนางก็ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ เพราะเบื้องหน้านางนั้นคือชายห้าคนปิดบังหน้าตามิดชิดเหลือแต่ดวงตายืนดักทางอยู่ก่อนแล้ว กฤษณาถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างระวังตัว บัดนี้นางตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้วโดยสิ้นเชิง
ฮะฮ้า นี่เองหนอนตัวใหญ่ จับได้ล่ะ
ชายคนหนึ่งบอกกลั้วหัวเราะอย่างสาแก่ใจ กฤษณาขบกรามแน่น นางจำเสียงคนของพระนางปริชมันได้ทุกคน ต่อให้ดัดเสียงเยี่ยงไรก็ตามเถิด
พวกเจ้าว่ากระไร ข้าไม่เข้าใจ
กฤษณาแสร้งผละถอยหนีอย่างหวาดกลัวเมื่อฝ่ายตรงข้ามย่างสามขุมเข้าหา
ชะช้า อย่าแสร้งทำเป็นไม่รู้แม่ตัวดี เจ้ามาทำกระไรในที่เยี่ยงนี้ย่อมรู้แก่ใจ
ข...ข้าก็แค่อยากมาดูนาฏยะในงานเลี้ยงเท่านั้น
นางยินดีนักที่เปลี่ยนใจจากเสื้อผ้าเยี่ยงบุรุษเพศเป็นนุ่งผ้าเยี่ยงนางข้าหลวงตามปกติ หาไม่คงหาทางหลบเลี่ยงมิได้เช่นเพลานี้
มุสา ใคร่ดูนาฏยะ แต่กลับมาซ่อนตัวอยู่ในดงไม้นี่ ซ้ำอยู่ห่างจากงานเลี้ยงไกลโข ผู้ใดเชื่อคำเจ้าก็เห็นจักแปลกนักแล้ว
ข้าเห็นยังมิได้เพลา จึงเดินมาทางนี้หมายไปนั่งเล่นที่ริมน้ำสักครู่สักยาม เจ้าไม่เห็นฤๅ จันทร์เจ้าคืนนี้งามนัก แม้นฉายแสงบนน้ำแล้วจักสวยสักเพียงใด
ชายคนนั้นฟังแล้วก็เริ่มลังเล จันทร์บัณรสีคืนนี้งามจริงสมดั่งคำนางว่า และทางนี้ก็ถือเป็นทางลัดที่จะตัดไปสู่เรือนแพได้เช่นกัน ชายหนุ่มเกือบเชื่อคำของกฤษณาแล้ว ถ้าไม่ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังมาเสียก่อน
ชมจันทร์เช่นนั้นรึ ฮึ! เช่นนั้นผู้ใดเล่าที่ตามติดข้ามาไม่ลดละ ผู้ใดเล่าที่ขว้างมีดฆ่าคนของข้าเสียที่พุ่มไม้ทางโน้น
กฤษณาสะดุ้งวาบทั้งตัวเหลียวควับไปมองต้นเสียงทันที ร่างที่เดินพ้นออกจากเงาไม้ใหญ่คือเจ้าคนที่นางติดตามมานั่นเอง นี่หมายความว่ามันรู้ตัวและเห็นทุกสิ่งกระนั้นหรือ มือใหญ่ปลดผ้าที่คลุมหน้าตนเองออก ครานี้กฤษณาเริ่มหวั่นใจ เพราะคนที่พูดนี้มิได้เป็นแค่ทหารทั่วไปที่นางพอจะหาข้อคัดง้างได้ว่าคงจำผิดคน แต่เป็นชาลัม มือขวาของศารทูลและเป็นหนึ่งในคนสนิทของพระนางปริชมัน
ชาลัม
ใช่ ข้าเอง ข้าได้รับคำสั่งมาให้ฆ่าเจ้าเสีย
ฆ่าข้า ด้วยเหตุใดเล่าชาลัม เพราะข้าจักมานั่งชมจันทร์นี่ล่ะหรือ
อย่าเฉไฉอีกเลยกฤษณา เจ้าทำสิ่งใดย่อมรู้แก่ใจ เท่าๆ กับที่ข้าเห็นด้วยตาตนเองนั่นล่ะ
กฤษณานิ่งงันขณะที่ชาลัมสั่งให้คนของตนเข้าล้อมนางไว้ตรงกลาง นางเงยหน้าขึ้นมองจันทร์ดุจตัดพ้อมหาเทพผู้ทรงจันทร์เป็นปิ่น
'โอ พระศิวะเจ้า จักให้ข้าสิ้นชีพลงเสียคืนนี้ล่ะฤๅ ข้าจักมิได้สนองงานเจ้าหญิงจามเทวีอีกแล้วกระนั้นฤๅ'
ท่าทีของสองพี่เลี้ยงที่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระวังภัยนั้น หาได้รอดสายตาของผู้เป็นนายไม่ เมื่อพ่ออยู่หัวธรรมปารัชเดินเลยผ่านไปยังที่ของท่านแล้ว เจ้าหญิงจามเทวีจึงฉวยโอกาสที่ทรุดกายลงนั่งกระซิบถามเกษวดีที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดว่า
เป็นกระไรพี่ เราเห็นพี่ทำท่าเยี่ยงนี้มาพักใหญ่แล้ว
ไม่มีอันใดหรอกแม่นาย เกษวดีเลี่ยงไปเสีย
ไม่มีรึ แล้วที่เราเห็นพี่หายไปทางพุ่มไม้ข้างหลังนี่พักหนึ่งเล่า เจ้าหญิงจามเทวีถามเสียงคาดคั้น เกษวดีพูดไม่ออก ขณะที่นายสาวถอนใจเบาๆ เราถามพี่ปทุมวดีก็ไม่ยอมตอบ แล้วยังจันทรีกับมธุอีกเล่า สองคนนั้นหายไปที่ใด เราบอกเมื่อบ่ายแล้วว่าให้ออกมาด้วยเราแต่ก็หายหน้าไปเสีย เยี่ยงนี้ฤๅที่พี่ว่าไม่มีกระไร
ข้าไม่อยากให้แม่นายสิ้นสุขในงานนี้ ศูนย์รวมดวงใจของทหารในงานเพลานี้หาใช่พ่ออยู่หัว หากเป็นแม่นายเพียงผู้เดียว แม้นแม่นายสิ้นสุขแล้ว คนอื่นๆ จักเป็นเยี่ยงไร
ถ้าพี่ไม่อยากเห็นเยี่ยงนั้น ก็บอกเรามาเสียตามตรง เกิดเรื่องใดขึ้นแน่
เกษวดีไม่ตอบทันที หากลอบสบตากับปทุมวดีอย่างหนักใจ กระทั่งเห็นสหายพยักหน้าให้จึงจำต้องเอ่ยปากเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง และบอกต่อไปอีกว่า
ส่วนจันทรีกับมธุ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าหายไปที่ใด แต่หากให้ข้าคาดเดาแล้ว ข้าคิดว่าสองคนนั้นน่าจักตามไปช่วยกฤษณาเจ้าค่ะ
ช่วยรึ
เจ้าค่ะ อันที่จริงฝีมือขว้างมีดกับการต่อสู้ของกฤษณาไม่เป็นรองผู้ใด แต่ถ้าถูกซ้อนกลเข้า ก็ไม่แน่ว่าจักทานไหวฤๅไม่
ก็เลยคิดใช้อาคมสู้แทนกระนั้นฤๅ ดีแท้ จักทำสิ่งใดก็ไม่บอกเราสักคำ พวกพี่เห็นเราเป็นคนเยี่ยงไร
เจ้าหญิงจามเทวีเอ่ยพ้อ จนสองพี่เลี้ยงถึงกับพูดไม่ออก ที่สุดก็เป็นปทุมวดีที่เอื้อมมือมาแตะปลายเท้านายสาว
ข้ารู้ว่าผิดนัก แต่ขอแม่นายอภัยเผือข้าเถิด ด้วยเผือข้ารู้ดีว่าหากแม่นายรู้ย่อมไม่อยู่เฉย ซึ่งนั่นจักทำให้พระนางปริชมันรู้ตัวได้ จึงจำต้องทำเยี่ยงนี้ แต่ข้อที่ว่าใช้อาคมด้วยฤๅไม่นั้น เผือข้าไม่อาจเดาใจจันทรีได้
เพลานี้กฤษณาจักเป็นเช่นไรมิรู้ได้ หากไม่ติดว่าเราต้องอยู่ตรงนี้ เห็นจักตามไปช่วยเป็นแน่
ถึงไม่อยู่ในงานพี่ก็ไม่ให้น้องไปหรอกจามเทวี
เจ้าชายรามราชพูดขัดขึ้นมา ยังให้สตรีสามนางเหลียวมองคนพูดอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าจักมีผู้ใดได้ยินการสนทนาของพวกตน เจ้าชายรามราชมองคู่หมั้นนิ่ง แววตาดุๆ ที่ทอดสบมาทำให้เจ้าหญิงจามเทวีถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เจ้าชายหนุ่มมองนางอันเป็นที่รักแวบเดียวเท่านั้นก็หันหน้ากลับไปดูการแสดงที่เพิ่งเริ่มต้น ราวกับมิได้วิตกทุกข์ร้อนอันใด ท่าทีนั้นทำให้เจ้าหญิงจามเทวีต้องพลอยซ่อนความวิตกเอาไว้ แล้วทำทีเหมือนสนใจกับการแสดงนัก
นิ่งเสียเจ้าจามเทวี สงบใจเอาไว้ก่อน อย่าให้พระนางปริชมันกับเจ้ากฤตมุขสากลิ่นวิตกของน้อง หาไม่คนของน้องจักยิ่งเป็นอันตราย
แต่ว่า...
พี่อาจไม่เคยพบกฤษณา หรือแม้แต่จันทรีกับมธุ แต่พี่เชื่ออย่างหนึ่งว่า ผู้ใดก็ตามที่เรียกได้ว่าเป็นคนของน้องแล้ว คนเหล่า นั้นย่อมต้องมีฝีมืออยู่พอตัวเทียว มิต้องดูอื่นไกลเลย ดูจากพี่ทั้งสองของน้องนั่นอย่างไร
สายตาคมเฉียบไม่ได้มองที่นาฏยศิลป์เช่นที่ผู้อื่นเข้าใจ หากจับนิ่งอยู่ที่กิริยาท่าทางของพระนางปริชมันเป็นสำคัญ แม้คืนนี้แม่อยู่หัวมัญชรีจะเจ็บไข้จนมิได้ออกมหาสมาคมด้วยก็ตาม แต่พ่ออยู่หัวธรรมปารัชก็มิได้ให้ความสำคัญกับพระนางกับเจ้าชายกฤตมุขอยู่ดี ซึ่งข้อนี้พระนางปริชมันเองก็ขัดเคืองหนักหนา
ราวคนถูกมองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะรู้ตัว เพราะจู่ๆ พระนางปริชมันก็หันมาสานสายตาด้วยเจ้าหญิงจามเทวี ก่อนจะยิ้มเยื้อนเป็นนัยดุจผู้ชนะ จอมนารีฉลาดและว่องไวพอที่จะทำสีหน้างุนงงตอบกลับไป ท่าทีนั้นทำให้อีกฝ่ายถึงกับเผลอเม้มปากแน่นอย่างขัดใจ แล้วสะบัดหน้าไปอีกทางหนึ่งเสีย คนถูกมองค่อยหายใจโล่งที่ผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ความห่วงใยที่มีต่อบริวารก็ไม่ได้คลายลงเลย
กระแสลมที่พัดกระโชกมาหอบหนึ่งทำให้คบไฟรอบงานสะบัดเปลวเกือบจะดับลง ขณะที่บนฟ้า เมฆดำก้อนใหญ่เคลื่อนเข้ามาบดบังแสงจันทร์เอาไว้ เจ้าหญิงจามเทวีเงยหน้าขึ้นมองรหัสเหตุนั้นก็ค่อยยิ้มออกเพราะรู้ดีว่ามิใช่เหตุธรรมดาแน่ หากเป็นด้วยฤทธิ์อาคมของจันทรีนั่นเอง
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
2 มิ.ย. 55 20:15:11
|
|
|
|