Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนตราปาหนัน บทที่ ๙ : ท้าทาย ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๙ : ท้าทาย


ประตูห้องนอนเจ้าของบ้านถูกเปิดออกช้าๆ อย่างออมเสียง คนเพิ่งเข้ามาอมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นเจ้าของห้องฟุบหลับอยู่กับโต๊ะทำงานทั้งที่โคมไฟยังเปิดค้างอยู่ ค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปยืนชิดกับเก้าอี้ มองคนที่หลับไม่รู้เรื่องอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็เอื้อมมือแตะไหล่แล้วเขย่าเป็นเชิงปลุก

“รุทธ์ ตื่นได้แล้วเว้ย สายแล้ว”

“พญาเจ้า จักหื้อ-ให้ ข้าเจ้าล่วงหน้าไปก่อนหรือไม่เจ้า”

อติรุทธ์ถามเสียงงึมงำ คนปลุกถึงกับโน้มหน้าลงไปฟังใกล้ๆ

“นายว่าอะไรนะ”

แทนคำตอบ คนหลับกลับลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นหน้าของสินธุที่อยู่ห่างไปไม่ถึงคืบก็ตกใจ รีบผลักเพื่อนออกห่างตัว แล้วเผ่นพรวดไปยืนเกือบติดผนังห้องด้วยสีหน้าตื่นๆ  

“เฮ้ย! นายจะทำอะไรฉันวะไอ้ธุ”

สินธุที่ล้มลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นเพราะแรงผลัก รีบยันตัวขึ้นนั่งมองอีกฝ่ายหน้ามุ่ย ยิ่งเห็นท่าทีของอติรุทธ์ที่ทำราวกับหญิงสาวถูกชายหนุ่มล่วงเกินก็ไม่ปาน ก็ยิ่งทั้งเคืองทั้งขัน

“ไอ้นี่ ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายถาม เป็นบ้าอะไรวะ”

“ก็ไม่รู้นี่ ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้านายลอยอยู่ใกล้ๆ ก็นึกว่านายจะ เอ้อ...”

“ทำไม คิดว่าฉันจะจูบหรือไง โธ่ถังกะละมังแตก ฉันยังชอบหญิงอยู่เว้ย ไม่ได้สังกัดพรรค ชชช. สักหน่อย”

“อะไรของนายวะ ชชช.”

“ก็ชายชอบชาย พวกอนุรักษ์ไม้ป่าเดียวกันไง เวรกรรม อุตส่าห์มาปลุก ได้ยินเพื่อนมันงึมงำๆ ก็นึกว่าพูดอะไร พอก้มไปฟังใกล้ๆ หนอยแน่ะ พ่อผลักเราโครมมานอนอยู่ตรงนี้ซะอย่างนั้น”

อติรุทธ์ยิ้มปุเลี่ยนๆ พลางเดินมาฉุดเพื่อนลุกขึ้น พร้อมกับบอก

“ขอโทษทีว่ะ”

“เออ ไม่เป็นไร ฉันแค่แวะมาบอกว่าจะไปเยี่ยมเจ๊แล้ว”

“หือ กี่โมงแล้ว เขาให้เยี่ยมได้แล้วเหรอวะ”

“สิบโมงแล้ว ตื่นสายกันทั้งคู่แหละวะวันนี้ ป่านนี้นายแม่คงรอแล้วว่าเมื่อไหร่จะไปเปลี่ยนเวรสักที”

สินธุพูดพร้อมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน เอื้อมมือไปปิดโคมไฟตั้งโต๊ะให้ ก่อนก้มลงอ่านปั๊บสาที่อติรุทธ์เปิดค้างไว้ ขณะที่เจ้าของห้องเลี่ยงไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดใหม่ออกมาวางเตรียมพร้อม

“พญาเจ้าหื้อหมื่นยี่ทรากับเจ้าขุนม้าแห่ชาวสองแฅวมาแทน ครั้งนั้นพญาเจ้าไพรบด้วยชะกาว ได้ชาวชะกาวมาออก... เอ คุ้นๆ แฮะ ประโยคแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”

“ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับ ๗๐๐ ปีไง ไม่เหมือนกันเป๊ะหรอก แค่คล้ายๆ แต่ความหมายก็เหมือนๆ กัน ล้านช้างหลวงพระบางยอมเป็นเมืองขึ้น”

คนที่พาดผ้าขนหนูบนบ่า ก้าวเข้าไปในห้องน้ำแล้วครึ่งตัวหันหน้ากลับมาบอก

“เออ ใช่ แต่ไอ้ปั๊บสาผูกนี้มันไม่ใช่นี่นา สรุปมันเป็นพงศาวดารเชียงใหม่อีกฉบับใช่ไหมนี่”

“จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ขอเวลา ๑๐ นาทีว่ะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน นายรอก่อน ฉันจะไปเยี่ยมพี่มนด้วย นายลองอ่านเล่นๆ รอไปก็แล้วกัน บางส่วนฉันถอดความออกมาแล้ว อยู่ในสมุดเล่มสีเทานั่นแน่ะ”

อติรุทธ์พูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไป สินธุเอื้อมมือมาหยิบสมุดเล่มที่ว่าเปิดออก ก็เห็นลายมือตวัดเล่นหางนิดๆ เรียงเป็นระเบียบบนหน้ากระดาษ ก็ส่ายหน้ายิ้มๆ

“ลายมือยังกะลายมือพระไม่เปลี่ยนเล้ย เออ ลืมไป มันเคยบวชทั้งเณรทั้งพระมาแล้วนี่หว่า ไหนดูซิ ถอดได้ความว่ายังไง”

สีหน้าชายหนุ่มจากยิ้มสดใสในครั้งแรก ค่อยๆ ขรึมลงทีละน้อยตามเนื้อความที่ผ่านสายตาไปแต่ละบรรทัด คิ้วเข้มขมวดมุ่น ในที่สุดก็ละสายตาจากสมุดมองไปทางประตูห้องน้ำที่คนถอดความยังอยู่ด้านในอย่างครุ่นคิด


อติรุทธ์เหลือบมองคนนั่งข้างๆ ที่นั่งเงียบมาตลอดทางอย่างแปลกใจ เพราะคนอย่างสินธุไม่เคยเงียบอยู่ได้เกินสามนาที แต่คราวนี้ตั้งแต่เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ จนกระทั่งขับรถมาจวนจะถึงโรงพยาบาลซึ่งกินเวลาถึงครึ่งชั่วโมง เจ้าตัวแทบจะไม่พูดเลยถ้าเขาไม่ตั้งคำถามขึ้นก่อน และที่ตอบมาก็เป็นชนิดถามคำตอบคำราวกับว่าเจ้าตัวไม่พอใจอะไรสักอย่าง

“ธุ นายเป็นอะไร”

อติรุทธ์ตัดสินใจถาม หลังจากทนความเงียบจนน่าอึดอัดนี้ไม่ได้อีกต่อไป คนถูกถามหันมามองหน้าเพื่อนงงๆ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ

“เปล่านี่”

“โกรธฉันเหรอ”

“จะไปโกรธเรื่องอะไรวะ ไม่ใช่หรอก ฉันกำลังคิดนิดหน่อย”

“คิด?”

“อืม ฉันอ่านที่นายถอดความมาแล้วมันดูแปลกๆ ทีแรกคิดว่านายคงแปลผิดหรือไม่ก็เบลอ เพราะตอนต้นก็เป็นเรื่องการสร้างเมืองเชียงใหม่ธรรมดา แต่ทำไมไปถึงช่วงกลางค่อนไปท้ายๆ ผูกมันถึงดูราวกับเป็นการบันทึกเหตุการณ์ได้”

“พงศาวดารก็คือการบันทึกเหตุการณ์ไม่ใช่หรือไง”

อติรุทธ์ตอบ พยายามทำเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด ทั้งที่ตอนนี้ใจเขาเต้นแรงจนเกรงว่าคนนั่งใกล้จะได้ยิน

“ข้อนั้นก็ถูก แต่ที่ฉันว่าแปลกคือลักษณะเหมือนการบันทึกเรื่องราวส่วนตัวมากกว่า แบบนี้ไม่ค่อยพบนะ อีกอย่างส่วนที่เป็นตำนานสร้างเมืองน่ะ เหมือนเจ้าของเดิมตั้งใจเอามาใช้เพื่อปกปิดอะไรสักอย่าง”

สินธุสันนิษฐานได้ใกล้เคียงกับความจริงทีเดียว อติรุทธ์ลอบเป่าปากอย่างโล่งใจที่เพื่อนยังไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ ถ้าสินธุรู้ว่าปั๊บสานี้มีสองผูก จะว่าอย่างไรก็ไม่รู้ ทว่าชายหนุ่มก็โล่งใจได้ไม่นาน

“รุทธ์ ฉันมีเรื่องจะสารภาพกับนาย ปั๊บสาผูกนี้ทีแรกฉันไม่ตั้งใจจะให้นายหรอก ฉันกะเอาไว้ทำเป็นผลงานเสนอเลื่อนตำแหน่ง แต่พอเอาเข้าบ้าน คืนนั้นแหละฉันก็เห็นใครก็ไม่รู้ยืนอยู่ที่ปลายเตียงฉัน สั่งฉันเสียงดุบอกเอามันมาให้นายเร็วที่สุด”

“เฮ่ย ฝันไปเองมั้ง” อติรุทธ์พยายามกลบเกลื่อน

“อยากคิดว่าเป็นอย่างนั้น ถ้ามันจะไม่เกิดซ้ำๆ อย่างนี้ติดต่อกันเป็นอาทิตย์ สุดท้ายฉันก็เลยต้องเอามาให้นายนี่แหละ”

“เอ้อ ผู้ชายหรือผู้หญิง”

“ผู้ชาย แต่เห็นหน้าไม่ชัด ความรู้สึกฉันบอกว่าต้องเป็นคนที่มีอำนาจพอดูแหละ”

เท่านั้นเองอติรุทธ์ก็นึกรู้ จะเป็นใครไปได้อีก เขาเริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าด้วยกัน เป็นไปได้ไหมที่ลำเจียกเองก็รู้เรื่องนี้ เพราะวันที่เขาไปเอาปั๊บสาที่บ้านของสินธุ ระหว่างทางก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น คล้ายจะพยายามขัดขวางไม่ให้เขาได้มันมา ปากไวเท่าความคิดถามไปว่า

“ล...เอ้อ หนันเห็นหรือเปล่า ตอนนายเอาเข้าบ้านน่ะ”

“เห็น หนันอยู่กับนายแม่ที่ระเบียงหน้าบ้านพอดี นายถามทำไมน่ะ”

สินธุตอบไปแล้วเพิ่งฉุกใจคิดกับคำถามของเพื่อน ชายหนุ่มขยับตัวหันมาจ้องหน้าอติรุทธ์อย่างแปลกใจระคนสงสัย สายตาคาดคั้นทำให้คนเผลอหลุดปากลำบากใจไม่น้อย ที่คิดว่าจะปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับคงทำไม่ได้อีกแล้ว คนอย่างสินธุลงว่าสงสัย แม้จะนิดเดียวก็ต้องหาคำตอบให้ได้ อติรุทธ์ระบายลมหายใจยาวก่อนจะตอบว่า

“นายบอกฉันมาก่อน แล้วหลังจากนี้ฉันจะยอมให้นายถามทุกเรื่องที่สงสัยเลย”

“ก็ได้ วันนั้นฉันเห็นหนันจ้องถุงที่ใส่ปั๊บสามาตาไม่กะพริบ ช่วงกินข้าวเย็น หนันก็หายไป ทั้งที่ตามปกตินายแม่จะให้เธอร่วมโต๊ะด้วย พอดีฉันกินเสร็จเร็ว เลยขอตัวขึ้นมาก่อน ความจริงก็คืออยากอ่านเจ้าปั๊บสาเร็วๆ นั่นแหละ พอเข้าห้องไป ฉันก็เห็นหนันอยู่ในห้องแล้ว ถามอะไรก็ไม่ตอบ กลับหนีออกไปดื้อๆ  ดีที่ไม่มีอะไรหายไป”

“เรื่องนี้มีใครรู้ไหม”

“ไม่ ฉันตั้งใจจะบอกนายแม่กับเจ๊เหมือนกัน แต่ก็ลืมทุกที นายถามฉันเลยนึกออก”

“ดีแล้ว นั่นไม่ใช่หนันหรอก”

ข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้องจริงๆ ลำเจียกไม่ใช่แค่ขัดขวาง แต่ต้องการทำลายมันต่างหาก

“พูดแปลกว่ะ ไม่ใช่หนันแล้วจะเป็นใคร นายมีอะไรกันแน่รุทธ์ ถึงตานายบอกฉันบ้างแล้ว”

สินธุจ้องเป๋ง สายตาและน้ำเสียงคาดคั้นชนิดถ้าไม่รู้คำตอบเป็นไม่เลิกรา อีกครั้งหนึ่งที่อติรุทธ์ถอนใจ

“ได้ แต่นายต้องสัญญากับฉัน ว่านายจะไม่เล่าให้พี่มนฟัง”

แค่คุณนวลพรรณกับสินธุสองคนก็มากเกินพอ เขาไม่อาจให้คนบริสุทธิ์ต้องเข้ามาร่วมรับรู้และพัวพันกับเรื่องราวยุ่งเหยิงนี่อีกแล้ว  


คนป่วยมองคนที่กุลีกุจอจัดเตรียมอาหารอยู่ใกล้ๆ ด้วยสายตาทั้งขันทั้งหน่าย พอรู้สึกตัวช่วงสาย หล่อนก็เห็นนางฟ้าชุดขาว ไม่ใช่สิ เรียกแบบนี้ไม่ได้ เพราะปาหนันสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีชมพูอ่อนกับกางเกงยีนส์ น่าจะเป็นชุดที่เตรียมเอาไว้ใช้ตอนออกเวรดูแลคุณนวลพรรณช่วงสายวันนี้นั่นแหละ แต่มีอันต้องใช้ก่อนเวลา หล่อนเห็นหน้าปาหนันแทบว่าจะก่อนเห็นหน้ามารดาเสียด้วยซ้ำ มนชนกเหลือบสายตาไปทางคุณนวลพรรณที่นั่งเล่นอยู่ที่โซฟา ดูโทรทัศน์ฆ่าเวลารอลูกชายมาเปลี่ยนเวรแล้วก็แกล้งบ่น

“ดีจัง คนนึงก็ดูแลเรายังกะเด็กเล็กๆ อีกคนก็สนใจแต่โทรทัศน์ นายแม่ขา ไม่ห่วงมนเลยหรือคะเนี่ย”

“ห่วงทำไม หนันเขาดูแลเราอยู่แล้วนี่”

คุณนวลพรรณบอกขำๆ เพราะรู้ดีว่านอกจากหน้าที่แล้ว ปาหนันยังต้องการดูแลมนชนกเพื่อไถ่โทษในสิ่งที่ตัวไม่ได้ก่อด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่มีใครเล่าให้มนชนกรู้ คงบอกแต่เพียงว่าเจ้าตัวเป็นลมจนตกบันไดศีรษะแตกเท่านั้น เคราะห์ดีที่เจ้าตัวเองก็จำเรื่องราวหลังจากพลัดตกจากบันไดไม่ได้เลย ซึ่งพอมนชนกรู้สาเหตุตามที่แพทย์สันนิษฐานแล้ว หล่อนก็ไม่ติดใจซักถามอีก ทำให้สองหญิงต่างวัยโล่งอกที่คนป่วยยอมเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายๆ อย่างนี้

“หนันเขาดูแลดีเกินไปค่ะ มนแทบไม่ต้องทำอะไรแล้วเนี่ย ว่าไงจ๊ะหนัน จะป้อนข้าวพี่ด้วยหรือเปล่า พี่จะได้เตรียมอ้าปากรอรับ”

ตอนท้ายหันไปหยอกพยาบาลพิเศษส่วนตัวของมารดา ที่ตอนนี้พ่วงหน้าที่ดูแลหล่อนด้วยอีกคนหนึ่ง ปาหนันหัวเราะกิ๊กพลางยกถาดอาหารเข้ามาวางให้

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณมนชนกแรงดีอย่างนี้ หนันว่าไม่มะรืนนี้ก็พรุ่งนี้คงได้กลับบ้านแล้วล่ะค่ะ”

“อยากกลับตั้งแต่วันนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่ไหว ได้แต่นอนอึดอัดชะมัด แล้วนี่นายธุไปไหนแล้วคะนายแม่ ตั้งแต่มนตื่นยังไม่เห็นเจ้าตัวแสบเลย”

คุณนวลพรรณไม่ทันตอบ ประตูห้องก็ถูกเคาะและเปิดออกเสียก่อน พร้อมๆ กับเสียงของเจ้าตัวแสบที่มนชนกเอ่ยถึงที่ดังมาก่อนตัวเสียอีก

“ไหน ได้ยินแว่วๆ ใครบ่นถึงสินธุสุดหล่อคร้าบ”

สินธุยิ้มทะเล้นให้คนป่วยที่กลั้นยิ้มอยู่บนเตียง ก่อนถลาเข้าไปหาราวคิดถึงเสียเหลือเกิน ทำให้คนเป็นพี่สาวต้องยกมือยันศีรษะน้องชายออกห่าง

“อะไรน่ะเจ๊ ก็คิดถึงผมไม่ใช่เหรอ จะกอดหน่อยก็ไม่ได้”

“ขืนเธอกอด พี่ก็อดกินข้าวสิยะ ถลาเข้ามาเกิดข้าวต้มนี่หกรดพี่ล่ะก็ พี่จะทำให้เธอมานอนแทนที่เลยคอยดู”

“เจ๊โหด โหดจริงๆ นี่คนป่วยเหรอเนี่ย”

น้องชายบ่นหน้ามุ่ย ขณะที่อติรุทธ์มองการแสดงออกของเพื่อนแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ที่อีกฝ่ายเกลื่อนกลบรอยความกังวลใจไว้ใต้คราบของความทะเล้นได้อย่างมิดชิด ชายหนุ่มแยกตัวไปไหว้และนั่งลงข้างคุณนวลพรรณ เพื่อให้สองพี่น้องหยอกกันเอง ปาหนันเองก็เลี่ยงหลบมาเช่นกัน เขายิ้มก่อนขยับตัวให้หญิงสาวนั่งลงข้างๆ ปาหนันส่ายหน้ายิ้มๆ แทนคำตอบ ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยชวนคะยั้นคะยอ มนชนกก็เรียกเขาเสียก่อน

“รุทธ์ พี่วานเอาลิงตัวนี้ไปห่างๆ พี่ทีจ้ะ ไม่งั้นพี่คงได้กินสมองลิงแทนข้าวแล้วล่ะ”

“กินน้องด้วย งั้นเผ่นดีกว่า ไม่อยากถูกเปิบพิสดาร”

น้องชายตัวดีบอกแล้วผละมาสมทบกับเพื่อนและมารดา ปาหนันหัวเราะพลางสบตากับอติรุทธ์ราวจะบอกว่า นี่คือเหตุผลว่าทำไมหล่อนถึงไม่ยอมนั่ง ก่อนผละไปทำหน้าที่ของตนต่อ สินธุมองตามหลังพยาบาลพิเศษ รอยยิ้มในหน้าจางหายไปแวบหนึ่ง เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขารับรู้มาก่อนหน้านี้ แต่ไม่พูดออกมา เสทำเป็นทักทายคุณนวลพรรณแทน

“ขอโทษครับนายแม่ที่มาช้า พอดีเราตื่นสายกันทั้งคู่”

“ทีแรกแม่ว่าจะกลับก่อนไม่รอธุแล้วล่ะ เพราะเห็นว่าเมื่อคืนก็ดึกเอาการอยู่ พอดีมนรู้สึกตัวตอนเก้าโมงกว่า แม่เลยเปลี่ยนใจอยู่เป็นเพื่อนพี่เขาก่อน”

“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”

“ไม่ต้องหรอก ธุอยู่เป็นเพื่อนพี่เขาเถอะ รุทธ์” คุณนวลพรรณหันมาทางอติรุทธ์ “แม่ขอแรงรุทธ์ไปส่งแม่กับหนันได้ไหม”

สองหนุ่มมองสบตากัน พอจะเดาได้ว่าคุณนวลพรรณต้องการสิ่งใด เพราะตามปกติคุณนวลพรรณจะไม่รบกวนคนอื่นมากนัก ยิ่งเป็นคนใกล้ชิดด้วยแล้วยิ่งเกรงใจเป็นทวีคูณ สินธุพยักหน้าให้เพื่อนพร้อมกับบอกด้วยนัยที่รู้กัน

“ไปเถอะ เจ๊คนเดียวฉันดูแลได้”


เครื่องสังฆทานชุดใหญ่สองชุดถูกยกออกมาจากท้ายรถแล้ววางไว้บนขอบปูนที่ก่อขึ้นรอบต้นสาละใหญ่เพื่อเป็นที่นั่งพักของคนที่มาทำบุญ คุณนวลพรรณกวักมือเรียกเด็กวัดสองสามคนที่กวาดลานวัดอยู่แถวนั้นให้มาช่วยยกขึ้นไปบนศาลาการเปรียญ เด็กวัดอีกคนหนึ่งรู้หน้าที่ก็ผละไปนิมนต์หลวงตามาให้ ความที่คุณนวลพรรณมาสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาสบ่อยๆ ทำให้เหล่าเด็กวัดต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดีและรู้ว่า 'แม่เลี้ยงนวล' ใจดี แม่เลี้ยงไม่เคยใช้ใครเปล่าๆ หากมีสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนเสมอ จนบางทีคนรับก็ลำบากใจเพราะไม่ใช่เรื่องหนักหนาเลย ในที่สุดคนให้เลยต้องหาทางออกเสียเอง

'เอาล่ะจ้ะ งั้นฉันฝากไปทำบุญก็แล้วกันนะ'

แล้วสินน้ำใจส่วนนั้นก็แปรเป็นเงินทำบุญใส่ลงในกล่องบริจาคช่วยค่าน้ำค่าไฟบ้าง ชำระหนี้สงฆ์บ้าง หรือแล้วแต่คนรับจะอยากให้แม่เลี้ยงนวลของตนได้ทำบุญในเรื่องใด เป็นอันว่าสบายใจกันทั้งสองฝ่าย        

“ฉุกละหุกไปหน่อย เลยไม่ได้ซื้อของมาจัดเอง แต่ร้านนี้ก็ใช้ได้นะ ไม่เอาของไร้คุณภาพมาจัดชุดขายเหมือนที่อื่น”

คุณนวลพรรณบอกระหว่างทางที่ไปศาลา สองหนุ่มสาวได้แต่ยิ้มรับเพราะไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร อติรุทธ์แม้จะพอรู้ว่าคุณนวลพรรณน่าจะพาเขากับปาหนันมาทำบุญ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นการทำสังฆทานชุดใหญ่ขนาดนี้ ทั้งยังเป็นคนออกเงินทั้งหมดให้เสียอีก ชายหนุ่มจะขอเป็นฝ่ายจ่ายเองอย่างไรก็ไม่ยอม จนเขาต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ปาหนันจะช่วยประคองนายจ้างเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆ ที่ทอดสู่บนศาลา หากคุณนวลพรรณปฏิเสธด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

“ป้ายังเดินไหวจ้ะ แค่นั่งรถเข็นก็รู้สึกแย่แล้ว ขอให้ขาได้ออกกำลังบ้างดีกว่า”

“หนูกลัวคุณนายล้มนี่คะ”

“หนัน บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกป้า”

“ก็...”

“ไม่ต้องกลัวหรอก ยายมนกับนายธุก็พอกัน พวกเราน่ะจะเกณฑ์ให้ป้าเคยตัวติดสบายแล้วรู้ไหม”

ปาหนันยิ้มจืดๆ จำยอมปล่อยตามใจเจ้าตัว แต่ก็คอยระวังอยู่ห่างๆ ท่าทางของทั้งสองในสายตาของชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวนั้นมองเห็นเหมือนแม่กับลูกมากกว่าจะเป็นนายจ้างลูกจ้าง อติรุทธ์เพิ่งสังเกตเห็นความละม้ายกันของปาหนันกับคุณนวลพรรณ ถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาคงคิดว่าทั้งสองเป็นแม่ลูกกันอย่างแน่นอน  


“ยิ้มอะไรคะ”

ปาหนันกระซิบถามเขาอย่างเคืองๆ ที่เห็นอีกฝ่ายฉีกยิ้มไม่ยอมหุบ

“เห็นคนน่ารักน้ำใจงามอยู่ตรงหน้า ไม่ให้ยิ้มได้ยังไง”

อติรุทธ์ขายขนมจีบหน้าตาเฉย คนฟังถึงกับหน้าเรื่อ นิ้วเรียวหยิกหมับเข้าที่แขนของเขาจนชายหนุ่มหน้าเหย แต่ยังไม่วายปากดีล้อต่อ

“อูย เจ็บนะหนัน เขินแล้วทำไมต้องมาทำร้ายผมด้วยล่ะ”

“ไม่อยากพูดด้วยแล้ว”

“ว้า งั้นโลกคงไม่น่ารื่นรมย์แล้วล่ะ”

“จำสำนวนใครมาพูดคะ”

“เอ...ไม่แน่ใจ เจ้าแงซายของคุณพนมเทียนหรือเปล่าหว่า ไม่น่าใช่แฮะ  หรือของคนอื่น ว้า! ผมนึกไม่ออก น่าจะผสมๆ กันหลายคนล่ะมั้ง”

หญิงสาวหัวเราะกิ๊ก ผู้ชายคนนี้มีอารมณ์ขันไม่น้อยเลย ตอนนี้หล่อนรู้แล้วว่าทำไมสินธุกับอติรุทธ์ถึงเป็นเพื่อนกันได้

“พรุ่งนี้คุณว่างไหมครับ”

“คะ ว่างค่ะ แต่ตอนเย็นต้องมาดูแลคุณนายท่าน”

“ดี งั้นผมจองตัวนะ ไปกินข้าวเที่ยงกับผมหน่อย อ๊ะ! อย่าปฏิเสธ ผมไม่ได้พาคุณไปสองต่อสองหรอก นายธุก็ไปด้วย คืองี้ ผมนัดสาวไว้คนนึง ไม่อยากให้เธอเสียหาย เลยต้องชวนไปหลายๆ คน”

ปาหนันส่งค้อนวงใหญ่ให้ทันที มีอย่างหรือนัดผู้หญิงทั้งที กลับเกณฑ์ใครต่อใครยกโขยงไปอย่างนี้ ถ้าหล่อนเป็นผู้หญิงคนนั้นคงโกรธน่าดู อติรุทธ์อมยิ้ม แล้วบอกอย่างเดาความคิดคนตรงหน้าได้

“อย่าคิดไกลนะคุณ เพื่อนร่วมงานผมเอง มีลูกแล้วด้วย พรุ่งนี้คุณก็เห็นเองล่ะ ไม่เชื่อเย็นนี้ก็ถามนายธุดูก็ได้ แต่ถ้ามันจะถวายพระเพลิงผมล่ะก็ คุณต้องเอาร้อยหารก่อนนา”

“คุณนี่ เห็นขรึมๆ ก็กะล่อนไม่แพ้คุณสินธุเลยนะคะ”

“ตรงไหนกะล่อน” เขาว่ากลั้วหัวเราะ “ผมพูดจริงทั้งนั้น อ้าว นั่นนายแม่นั่งลงตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อกี้นี้เองค่ะ จะเข้าช่วยก็ไม่ทัน รีบไปกันเถอะค่ะ”

หาช่องปลีกตัวได้ ปาหนันจึงรีบคว้าโอกาสโดยไม่รอช้า สายตาคมๆ เจือแววหวานที่ชายหนุ่มขยันส่งมาให้ทำให้หล่อนวางหน้าวางตัวไม่ค่อยถูกนัก ใช่ว่าจะไม่เคยมีหนุ่มคนไหนส่งสายตาแบบนี้มาให้ แต่พวกเขาก็ไม่ทำให้หล่อนหวั่นไหวอย่างอติรุทธ์สักคนเดียว


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 55 20:21:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com