เมืองมายา มนตราอลเวง บทที่ 10
|
 |
ฝันอีกแล้วหรือ...
ท่ามกลางม่านหมอกซึ่งบดบังทุกสรรพสิ่งจากสายตา สิ่งที่เจ้าชายรัชทายาทแห่งเรสทอเรียเห็นมีเพียงท่อนแขนและมือของเด็กชายวัยเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม เขาขยับและพลิกมันไปมาจนแน่ใจว่าเป็นมือของตนเองอย่างจริงแท้
ฝันแน่ ๆ
เป็นไปไม่ได้ที่บุรุษวัยใกล้ยี่สิบเจ็ดอย่างเขาจะมีเนื้อหนังอ่อนเยาว์ราวเด็กหนุ่มเช่นนี้
เพียงเสี้ยววินาทีที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เรียวหัตถ์ทั้งสองซึ่งยกค้างอยู่เบื้องหน้าพลันลู่ตกลงราวไร้เรี่ยวแรงขึ้นมากะทันหัน เมื่อนัยน์เนตรแลเห็นเงาร่างอันเลือนรางในม่านละอองขาว ขาข้างหนึ่งก้าวออกไปอย่างเชื่องช้าก่อนเร่งจังหวะตามหัวใจที่เต้นระรัว
สิ่งที่เฝ้าคำนึงและถวิลหามาเนิ่นนาน
ไม่ได้ห่างไกลกันอีกแล้ว อยู่เพียงเอื้อมเท่านี้เอง...
“กรี๊ด!!! เจ้าชาย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
สการ์เล็ตทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วเอียงหน้าซบฝ่ามืออย่างกลัดกลุ้มกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งเกิดขึ้นระหว่างที่กษัตริย์และราชินีแห่งเรสทอเรียไปประพาสยังต่างเมืองเมื่อไม่นานนี้ โชคดีเหลือเกินที่นางในพบองค์รัชทายาทก่อนที่เขาจะทันได้กระโดดลงจากหน้าต่างซึ่งไม่รู้ว่ากลอนถูกปลดออกไปได้อย่างไร
เจ้าหญิงมองไปยังบุรุษที่นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้อีกมุมหนึ่งของห้อง เขาไม่มีท่าทางตอบสนองต่อสิ่งใดอีกหลังจากนั้น คาอิลบอกว่าเขากำลังฝัน...ทั้งที่ยังลืมตา
“เจ้าไม่มีทางช่วยเขาได้เลยหรือ”
หญิงสาวกล่าวอย่างอับจนซึ่งหนทาง เสียงของนางออกจะสั่นเครืออยู่บ้างทั้งที่พยายามสะกดกลั้นอย่างเต็มที่แล้ว นางต้องไม่หวั่นไหว สถานะที่ดำรงอยู่นั้นไม่อำนวยให้แสดงความรู้สึกใดได้มากนัก
พ่อมดไม่ได้ตอบคำ เขายอบตัวลงตรงหน้าองค์รัชทายาทและแตะสัมผัสบนมือที่วางอยู่บนพนักเก้าอี้อย่างแผ่วเบา
ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่สภาพเขาเองตอนนี้ไม่อำนวยให้ทำกับอัลเบิร์กได้เช่นเดียวกับฮิลดราเลีย เขาอาจพลาดพลั้งทำให้เจ้าชายวายพระชนชีพไปโดยไม่รู้ตัวเสียก็ได้
ผู้ใช้อาคมจ้องดวงเนตรสีทับทิมด้วยสายตาแน่วนิ่ง แววบางสิ่งไหวระริกอยู่ในม่านตา หากใครจะรู้บ้างว่าในฝันของรัชทายาทนั้นเป็นเช่นใด
หนุ่มน้อยผู้มีใบหน้าและเรือนกายงดงามทว่ายังไม่ทิ้งความสง่าเฉกท่านชายผู้สูงศักดิ์เหยียบย่างบาทไปตามพงหญ้าท่ามกลางละอองหมอกสีเทาที่โรยตัวลงมาจนหนาทึบ
มองมิเห็นสิ่งอื่น ไม่รู้ว่าเดินเข้าสู่หนทางใด หรือที่หลงอยู่นี้คือความหมองหม่นในใจตนเท่านั้นเอง
เจ้าชายน้อยแค่นหัวเราะต่อดำริเพียงชั่วแล่นนั้นก่อนหยุดย่างฝีเท้าพลันเมื่อฝ่าบาทเหยียบลงบนผิวกรวด อีกเพียงสี่ห้าก้าวก็จะถึงริมลำธาร หากสิ่งที่เขาต้องการในยามนี้หาใช่เพียงน้ำใสเย็นชื่นยามรดหลั่งชโลมตน
องค์รัชทายาทหันไปมองยังด้านข้าง หญิงสาวนางหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ โผล่ออกมาอย่างไร้ที่มาที่ไป...และเงียบงันราวกับภูตผีหรือวิญญาณ
ทว่าเจ้าชายก็หาได้แสดงความรู้สึกใด แม้ได้พบคนที่ไม่น่าจะมีทางได้เจอกันอีก เขารู้สึกอย่างเลือนรางว่ามันอาจไม่ใช่ครั้งแรกในระยะเวลาอันใกล้ที่ได้พบกันในลักษณะนี้
นี่คือความฝันใช่หรือไม่
คนที่ได้แต่คิดถึงอยู่ในใจจึงมาปรากฏกายให้เห็น
“ข้าทำตามสัญญาไม่ได้...ทั้งอย่างนั้นก็ยังอยากพบท่านเพียงเพื่อปลอบประโลมจิตใจของตนเอง”
เจ้าชายรัชทายาทกล่าวพร้อมกับขยับหันร่างเข้าประจันหน้ากับหญิงสาว จ้องมองเส้นผมดำขลับเป็นมันวาวยาวระแผ่นหลังอันบอบบาง ใบหน้าขาวนวลยังคงงดงามไม่เคยเปลี่ยน ดวงตาสีน้ำเงินสวยโศกคู่นั้นก็ยังทอประกายว่างเปล่าไม่แปรไปเช่นกัน
นางไม่ได้มองเขา แต่เอื้อนเอ่ยเสียงออกมาเพียงแผ่วเบาพอได้ยิน
“หายไปไหนแล้ว...ต้องตามหา”
อัลเบิร์กไม่รู้ว่าตนกลับกลายเป็นเจ้าชายน้อยได้เยี่ยงไร แต่เขาจดจำได้ว่าตอนนี้ตนล่วงเลยวัยเด็กไปมากแล้ว และไม่เคยลืม...เรื่องราวของหญิงสาวที่น่าเวทนา
“ลูกท่านสิ้นแล้ว ถึงจะตามหาอย่างไรก็ไม่มีทางได้เจอเขาในภพนี้หรอก” เจ้าชายบอกและรอดูปฏิกิริยาจากหญิงสาว “น่าเสียดายนัก ที่กว่าจะรู้ว่าเขาคือบุตรของท่าน มันก็เลยผ่านเวลานั้นไปมากแล้ว”
“ตายแล้วหรือ...เด็กที่น่าชัง” ใบหน้างดงามวูบตกลงเพียงเล็กน้อย น้ำเสียงอันเลื่อนลอยเปล่งออกมาจากเรียวปากที่แทบไม่เขยื้อน “มันคงสมควรแล้วที่ลงเอยเช่นนี้”
“ท่านเคยบอกข้าว่าเกลียดเขา แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดีสินะ”
“ข้าน่ะหรือ...เสียใจ”
ในที่สุดนางก็ยอมหันหน้ามา
“น้ำตาท่านไหล”
ครั้นเจ้าชายเอ่ยออกมาสตรีผู้นั้นจึงยกปลายนิ้วขึ้นแตะหยาดน้ำที่รินไหลผ่านพวงแก้ม ดวงเนตรคู่หวานฉายประกายแปลกใจอย่างแจ่มชัด
“เด็กนั่นคือสิ่งมีชีวิตที่น่าชัง เป็นก้อนเนื้อดำมืดที่ถือกำเนิดจากความน่ารังเกียจของสัตว์ร้าย ทั้งอย่างนั้นเลือดในกายครึ่งหนึ่งกลับสืบสายไปจากข้า ข้าเกลียดมัน! ข้าทรมานเหลือเกิน! “
หญิงสาวกล่าวถ้อยคำยืดยาวและแสดงความคลุ้มคลั่งด้วยการทึ้งศีรษะตนเอง ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงอย่างคนเสียจริตทั้งที่น้ำตายังหลั่งรินไม่ขาดสาย เจ้าชายที่คิดว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงมโนฝัน ทั้งอย่างนั้นกลับไม่อาจปล่อยนางให้ทำร้ายตนเองอย่างน่าเวทนาได้ต่อไป เด็กชายที่มีสรีระเล็กเตี้ยกว่าสตรีสาวอยู่ไม่มากจึงตรงเข้ายื้อยุดฉุดแขนทั้งสองข้างแล้วโอบรั้งรอบร่างให้นางสงบลง
“ท่านไม่ผิดหรอก...ที่คิดเกลียดชังเลือดเนื้อเชื้อไขซึ่งไม่ได้ตั้งใจให้กำเนิดมา เด็กคนนั้นก็ไม่ผิดเช่นกันที่เกิดมาบนความโชคร้ายของท่านเพราะเขาเองก็ไม่ได้เป็นฝ่ายเลือก”
เขาควรจะปลอบนาง น่าจะบอกนางตั้งแต่วันวานที่ผ่านมาเนิ่นนานนั้นแล้ว แม้จะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันอาจช่วยบรรเทาความรู้สึกในใจให้เบาบางลง ทั้งใจนาง... ทั้งใจของเขาเอง...
“ข้ารู้ว่าท่านทรมานเพราะจิตใจส่วนหนึ่งยังรักเขา และผลของพิษร้ายนั้นก็ทำลายท่านที่สับสนจนหลงทาง...”
“เช่นเดียวกับเจ้า”
หญิงวิกลจริตผู้งดงามประคองดวงพักตร์อัลเบิร์กเอาไว้มั่น นัยน์ตาที่เคยเลื่อนลอยว่างเปล่าช้อนขึ้นสบดวงเนตรสีทับทิมแน่วนิ่งราวกับจะทะลุทะลวงเข้าสู่ส่วนลึกของจิตใจ
“เจ้าผู้ถูกความมืดบดบังดวงใจ เป็นถึงเจ้านายผู้สูงศักดิ์กลับไม่อาจไขว่คว้าได้ในสิ่งที่หวังอย่างแท้จริง เหนื่อยยากเท่าไหร่แล้วกับการอุทิศตนเพื่อชาวประชา ทว่าไม่มีสิ่งใดตอบแทนกลับมา ไม่มีอะไรลุล่วงตามประสงค์เลยสักอย่าง ท้อแท้ไหมเล่าเจ้าชายรัชทายาทผู้ไร้อำนาจอันพึงมี”
ดวงเนตรคู่คมวูบไหวเพียงเล็กน้อย ค่อยให้เรียวปากสีชมพูเผยรอยยิ้มบาง
“หากครั้งนี้ให้เจ้าเลือกสมดังหวัง แม้จะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยสำหรับเจ้าชาย...แต่เจ้ายังต้องการข้าหรือไม่ ข้าไม่มีสิ่งใดให้ห่วงหามากกว่าเจ้าอีกแล้ว”
อัลเบิร์กจับมือเรียวบางข้างหนึ่งไว้พลางกระชับมั่น เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่เพียงภาพฝัน เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านผ่านผิวกาย เจ้าชายหลับตาลงแล้วซึมซับสัมผัสนี้ไว้ให้ตราตรึงใจไปอีกเนิ่นนานก่อนเบิกเนตรขึ้นมองอีกฝ่ายพร้อมกับรอยยิ้ม
“ข้ารู้ดีว่านี่เป็นเพียงฝัน คนที่ตายไปแล้วอย่างท่านไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาได้ แม้จะปรารถนาเพียงใดก็ตาม”
หญิงผู้วิกลจริตเพียงเบิกเนตรขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มยังไม่เลือนหาย หากมองโดยรวมแล้วคล้ายจะน่ากลัว
“ไม่...ข้าคือความจริง ข้ายังมีตัวตนอยู่ตรงนี้ ข้ากลับมาเพื่อพบเจ้าตามที่ต้องการแล้วอย่างไรเล่า เจ้าจะยอมอยู่กับข้าที่นี่ใช่ไหม...เจ้าชาย”
“พอเถอะ อย่าให้ท่านที่งดงามอยู่ในใจข้าต้องหมองหม่นไปมากกว่านี้เลย” อัลเบิร์กกล่าวด้วยน้ำเสียงเวทนา แต่หาใช่ในตัวหญิงสาว เป็นเขาเองต่างหาก
“ข้าอยากพบท่านเพียงเพื่อพักใจที่อ่อนล้า อยากให้อภัยที่รักษาสัญญาไม่ได้ อยากให้ปลดปล่อยข้าจากความหลังฝังใจที่ไม่มีวันเป็นจริงนี้เสียที ข้าอาจจะเหนื่อยล้าแต่หยุดเดินไม่ได้ ข้าอาจท้อแท้แต่จะไม่มีวันหยุดก้าวไปข้างหน้า ข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ แม้จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม...”
เจ้าชายเว้นคำกล่าวพลางมองร่างสตรีสาวตรงหน้าที่กำลังเลือนรางจางลงในสายหมอก ราวกับเข้าใจแล้วว่าเขาเพียงแค่ท้อแท้เหนื่อยล้า หาได้คิดจมปลักในปัญหาหลุบหน้าหลบผู้ใด
รู้อยู่แล้วว่านี่ไม่ใช่ท่านที่ต้องวิกลจริตเพราะความรักและชังในเลือดเนื้อของตนเองจนไม่มีแม้เสี้ยวหนึ่งในใจจะเหลียวแลข้า ท่านล่วงหน้าไปยังภพอื่นที่ข้าจะละหน้าที่ตามไปไม่ได้อีกแล้ว
แต่สักวัน...เราอาจได้พบกันในอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำเมื่อถึงเวลาของเขาเองแล้วเช่นกัน
เบื้องพักตร์ของเจ้าชายที่ลืมตาตื่น คือเค้าโครงหน้าขาวที่ดูคุ้นเคยกับในฝันที่ผันผ่านไปเพียงครู่ หากก็ดูออกในพริบตาว่าเป็นเค้าโครงหน้าของผู้ชาย ดวงตาสีแปลกเป็นประกายหลังกรอบแว่นเรียวรีเรียกคำกล่าวแรกให้หลุดลอดจากจากโอษฐ์บางอย่างไม่รู้ตัว
“เรมี่...”
อัลเบิร์กเอ่ยพึมพำพลางย่นคิ้ว
“เจ้ายังไม่ตายหรือ”
บุรุษผู้สวมแว่นยิ้มบางพลางขยับถอยห่างก่อนตอบด้วยคำถาม
“เรมี่คือใครหรือครับ”
อัลเบิร์กโคลงศีรษะเล็กน้อยแล้วกวาดมองไปรอบห้อง เห็นน้องสาวของตนขยับเข้ามาประคองด้วยสีหน้ายินดี ทั้งที่สติของเขายังไม่แจ่มใสพอจะนึกถึงสถานการณ์ใดในปัจจุบันได้ออกนัก แต่ก็ยังไม่วายหันไปจ้องบุรุษผู้สวมแว่นและผ้าคลุมศีรษะอย่างฉงนใจ
องค์รัชทายาทจำไม่ได้ว่าเค้าโครงหน้าเจ้าของนามเรมี่เป็นเช่นไร แต่นัยน์ตาสีประหลาดและบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับหญิงสาวในใจเขานั้นทำให้คิดว่าน่าจะใช่...เรมี่
เจ้าชายขมวดคิ้วจ้องมองบุรุษผู้สวมแว่นซึ่งยืนยิ้มส่งสายตาพราวผิดภาพลักษณ์ของเด็กน้อยใสซื่อในความทรงจำเป็นยิ่งนัก
“เจ้าไม่ใช่เรมีเรสหรือ”
“ข้าชื่อคาอิล มิลตันครับ อย่างไรลองถามประวัติคร่าว ๆ จากเจ้าหญิงได้”
“เขาไม่ใช่หรอกค่ะท่านพี่ คนผู้นี้ไม่มีทางเป็นเรมี่ที่น่ารักของข้าได้หรอก” สการ์เล็ตเสริมพร้อมส่งสายตาเยาะหยันให้พ่อมด แต่เขาก็ยังฉีกยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ เจ้าหญิงจึงหันมาให้ความสนใจเจ้าชายรัชทายาทซึ่งยังมีสีหน้าซีดเซียวและมึนงงเสียมากกว่า
“ท่านพี่เพิ่งได้สติ อย่าเพิ่งลุกเดินหรือคิดอะไรมากก่อนดีกว่านะคะ ไว้รอให้สติแจ่มใสกว่านี้แล้วข้าจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังเอง”
กระนั้นเจ้าชายก็ยังไม่คลายความข้องใจในตัวคาอิล แม้จะรู้สึกมึนศีรษะอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังคอยจ้องพิจารณาชายหนุ่มไม่ละตา เขาไม่คิดว่าสีตาประหลาดเยี่ยงนี้จะมีได้แพร่หลายนัก
ทว่าหากเป็นเรมี่...มีหรือจะยืนเฉยมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
ย่อมไม่มีทาง เมื่อต้นเหตุที่คร่าชีวิตเขาไปเมื่อวันวานยังยืนอยู่ตรงหน้านี่เอง
“เป็นอะไรไปคะ ทำไมจึงทำสีหน้าวิตกเช่นนี้”
สการ์เล็ตเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงพลางหยิบผ้ามาซับเหงื่อบนดวงพักตร์เจ้าชาย ในขณะที่คาอิลก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงัน อัลเบิร์กรู้สึกเย็นวาบบนสันหลังขึ้นมาครั้นได้สบสายตากับพ่อมดคาอิล เขาแย้มยิ้มอย่างเย็นยะเยือกพร้อมกับร่ายมนตร์นิทรา
“พักสักหน่อยก่อนเถิดครับเจ้าชาย จะได้ลืมฝันร้ายเมื่อวันวาน”
จากคุณ |
:
AMA-chun
|
เขียนเมื่อ |
:
3 มิ.ย. 55 05:36:45
|
|
|
|