สวัสดีวันหยุดครับ ล่องกัลปาลัยดำเนินมาถึงบทที่ 18 แล้วครับ ขอบคุณความเห็นและกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านด้วยครับ คุณ เพชรรุ้งพราย, นารีจำศีล, เขมปัณณ์, อินทรายุธ, นวลน้ำผึ้ง, สายธาร/กนกนารี, kdunagin, รักลูกมากมาย, maneekan, wor_lek, เรียวรุ้ง, Setakan, กุหลาบมอญ, สายลมที่พริ้วไหว, Hermosa และคุณ สุชาดาวดี ครับ
สำหรับตอนที่ 17 ที่ผ่านมาครับ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12151869/W12151869.html
บทที่ 18
จากบานพระแกลขนาดเล็กอันตรึงไว้ด้วยลูกกรงกั้นอิสรภาพ นั่นคือตำแหน่งบนสุดแห่งยอดหอคอยอันเป็นสถานที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์เจ้าหญิงมณีเรขา ราชธิดาผู้ทรงศักดิ์และโสภาแห่งวิเทหนคร เจ้าหญิงผู้ทรงโฉมเอกอนรรฆกำลังทอดพระเนตรลงสู่แนวลานท้องทุ่งหน้าพระนครด้วยพระหทัยอันจดจ่อ หัตถ์ยื่นผ่านบานลูกกรงออกไปเบื้องหน้า ประกายระยิบระยับบางอย่างยังฟุ้งกระจายเมื่อหัตถ์ขยับเคลื่อนไหว
ทรงมองเห็นหุ่นพยนต์ตัวนั้น กำลังพาตนเองหลบหนีการไล่ล่าจากกองทัพหุ่นพยนต์ของพวกมันเองด้วยความพิศวงพระทัย
แต่แรก เมื่อทรงสดับถึงเรื่องราวอันประหลาด ของหุ่นพยนต์ศลภมาณพจาก สิงหเมฆินทร์ซึ่งก็ทำให้ทรงฉงนพระทัยในเบื้องต้น
มันเป็นหุ่นพยนต์ที่คิดกบฏ
สิงหเมฆินทร์ทอดกายเอนหนุนพระขนน12อย่างสบายใจ บนแท่นประทับของเสด็จพ่อพรหมทัต ราวกับมันคือจอมราชันย์แห่งวิเทหนครกระนั้น สายเนตรอันคมกล้าและอำมหิตอ่อนแสงลงเมื่อทอดมองนางผู้ประทับอย่างสงบเสงี่ยมอยู่เยื้องต่ำลงไป นางผู้ที่มันตั้งความหวังว่าจะเป็นคู่อภิเษกในอีกไม่กี่เพลาเบื้องหน้า
กบฏ? ท่านหมายถึงหุ่นที่ถูกสร้างขึ้น บังเกิดมีความคิดเป็นของตนเองอย่างนั้นหรือ? นั่นย่อมแสดงถึงการสร้างหุ่นพยนต์เกิดความผิดพลาด?
จอมราชันย์ผู้แกร่งกล้าและเหี้ยมโหดแห่งโรมพิสัยเองก็มิอาจตอบคำถามนั้นได้นอกจากอ้ำอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มณีเรขาทรงซ่อนรอยแย้มสรวลไว้อย่างมิดเม้น เพียงเท่านี้ ก็ทรงรับรู้ถึงจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้แล้ว ทรงเลี่ยงตรัสไปยังเรื่องอื่นเพื่อเบนความสนใจจากราชันย์สิงหเมฆินทร์ ไม่ยากสำหรับการใช้ ความสวยโสภาอันเลื่องลือของพระองค์เองเป็นเดิมพันในครั้งนี้ เจ้าหญิงผู้เลอโฉมข่มซ่อนความขมขื่นและเจ็บช้ำเอาไว้ในพระทัยโดยมิได้มีพวกมันผู้ใดล่วงรู้
ภายหลังจากที่พวกมัน เข้ายึดวิเทหนครได้สำเร็จ สิงหเมฆินทร์ก็ดำเนินยาตราผ่านเข้าสู่ท้องพระโรงอย่างอหังการ จวบจนได้พานพบกับพระองค์ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าท่าทีของมันเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน โดยเฉพาะข้อตกลงที่เจ้าหญิงแห่งวิเทหะทรงตกลงร่วมกับมัน
ท่านต้องยินยอมให้เสด็จพ่อมีพระราชอำนาจในการปกครองพระนครวิเทหะต่อไปเฉกเดิม วิเทหะจะมิใช่เมืองขึ้นของโรมพิสัย แล้วจากนั้นข้าจะยินยอมทำความต้องการของท่านทุกประการ
นางกล้าหาญมากที่เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอต่อข้า มณีเรขา
มันเอ่ยขึ้นอย่างพึงใจในน้ำเสียงที่เคยห้วนห้าวดุดัน แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนละมุนลง ด้วยตระหนักในท่าทีอันเข้มแข็งมิพรั่นเกรงของเจ้าหญิงผู้ทรงโฉม นอกจากความสวยโสภาที่ประทับตาตรึงพระทัยแล้ว สิงหเมฆินทร์เคยเห็นแต่ผู้ที่หวั่นตระหนกต่อความเหี้ยมโหดของมัน จนต้องยอมศิโรราบ ไม่อาจหาญแม้แต่จะมาต่อปากคำ หรือยื่นข้อเสนอ เฉกเช่นเจ้าหญิงมณีเรขาแห่งพรหมทัตพระองค์นี้ไม่
แต่ด้วยท่าทีเช่นนั้นแหละ หลอมรวมกับความโสภาพิลาส เกิดเป็นลักษณะแห่งหนึ่งอิสตรีที่ประทับตราตรึงในใจจนยากถ่ายถอน
มันตกอยู่ในห้วงมนตร์สะกดแห่งเสน่หาแห่งเจ้าหญิงมณีเรขาเสียแล้ว!
ถ้ามิเช่นนั้น ข้าจะปลงพระชนม์ตนเอง ท่านจะไม่มีวันได้สิ่งใดไปเลย แม้แต่ร่างกายของข้า!
ทรงกล่าววาจาตกลงกับมันอย่างอาจหาญ จนอีกฝ่ายเองยังต้องยอมสยบให้โดยดุษณี สิงหเมฆินทร์ผู้กำแหงหาญ ไม่เคยยินยอมประนีประนอมต่อผู้ใด กลับยอมรับข้อตกลงของสตรีองค์น้อยผู้มีวรกายบอบบางเช่นนี้ได้โดยไม่มีข้อบิดพลิ้ว
ตกลง! ข้าจะยกอธิปไตยของวิเทหะ คืนให้แก่พรหมทัต แต่พระองค์ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับข้าภายในเจ็ดราตรีนี้!
ทรงพยักพระพักตร์รับ กล้ำกลืนความทุกข์เทวษและอัปยศอดสูพระทัยเอาไว้ เพื่อแลกกับอิสรภาพของพระบิดา และความสงบสุขของปวงพสกนิกรแห่งวิเทหะเกิดความลุ่มหลงสตรีผู้เลอลักษณ์เบื้องหน้าอย่างมิเคยเป็นมาก่อน มันตอบตกลงในข้อแม้ของเจ้าหญิงมณีเรขา ผู้ที่ยอมใช้พระองค์เองแลกกับอิสรภาพของนครา
ความลุ่มหลงและความรักที่มีต่อเจ้าหญิงโฉมงาม ทำให้มันยอมอดกลั้นความต้องการของตัวเอง เมื่อมองเห็นว่าไม่นานจากนี้ มณีเรขาจะต้องตกเป็นของมันโดยไม่มีทางใดบิดพลิ้ว และท่าทางของเจ้าหญิงพระองค์นั้น ก็ไม่ได้แสดงถึงการรังเกียจเดียดฉันท์ใดๆ
ทำให้มันคิดไปว่า หลังจากได้ กายแห่งนางมาครอบครองแล้ว ก็ไม่น่าจะยากที่จะได้ ดวงหทัยดวงนั้น มาครองด้วย
การเจรจาทุกอย่างเป็นไปอย่างง่ายดายเกินคาดคิด ตามข้อตกลงทุกประการ จากนั้น มณีเรขาก็เสด็จขึ้นประทับบนยอดหอคอย อันเป็นที่ประทับ กักกันส่วนพระองค์ เสมือนแยกตัวเองออกจากทุกผู้ และรอคอยเวลาอีกเจ็ดราตรี เพื่อเข้าพิธีอภิเษก
และระหว่างนั้นเอง ที่มีโอกาสได้ทรงทอดทัศนาผ่านบานพระแกลลงไปลานสมรภูมิรบเบื้องล่าง ท้องทุ่งชานพระนครที่ปวงพสกนิกรและเหล่าทหารหาญของพระองค์ต้องสละชีพสังเวยให้กับกองทัพหุ่นพยนต์ของสิงหเมฆินทร์ ด้วยพระทัยอันร้าวราน น้ำพระเนตรที่ไหลหลั่งเป็นเม็ดไข่มุกพร่างพราย ปรากฏบนที่ประทับส่วนพระองค์ โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ในช่วงเวลาเหล่านั้นเองที่ทรงเห็นร่างของศลภมาณพ ถูกพันธนาการกับเสาไม้อย่างแน่นหนา กลางลานประหารแห่งนั้น เป็นเวลาเกือบสองราตรี ที่มันยืนนิ่ง มิแสดงท่าทีใดๆ ไม่ต่างกับซากศพที่ไร้การเคลื่อนไหว ตราบจนกระทั่งแสงฟ้าวาบขึ้นในเพลานี้ พร้อมเสียงโครมครืนของอสนีบาตก่อนที่ละอองฝนจะพร่างพรมลงมาและหนาหนักขึ้นเรื่อยๆ
ในท่ามสายพิรุณโปรยปรายเป็นม่านขาวพร่างพราย เจ้าหญิงทรงทอดพระเนตรเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติปรากฏขึ้นเหมือนร่างจำแลงแห่งภูตพราย ทรงชะงักงันไปชั่วขณะเมื่อพยายามเพ่งเนตรตรงไปเบื้องหน้า
เป็นร่างของบุรุษฉกรรจ์ที่คล่องแคล่วปราดเปรียว หากทรงมั่นพระทัยว่ามิใช่ทหารผู้ใดของวิเทหะแน่นอน เมื่อร่างนั้นกลับปรากฏกายขึ้นอย่างสลัวเลือนราง และโปร่งแสงคล้ายถูกสร้างขึ้นด้วยแก้วผลึก ร่างสูงใหญ่กำลังเคลื่อนกายผ่านทหารหุ่นพยนต์ที่เฝ้าหุ่นเชลย จนผ่านเข้ามาถึงหลักมรณะที่พันธนาการศลภมาณพอยู่ จนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...
จากนั้นเหตุการณ์มิคาดฝันก็ปรากฏขึ้น เมื่อมองเห็นว่าโครงแห่งร่างเริ่มรวมตัวหนาแน่นขึ้นทุกขณะ จนมองเห็นเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง น่าเสียดายนักที่มณีเรขามิอาจมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน นอกจากท่าทางทะมัดทะแมงองอาจยิ่งนัก
เพราะนี่คือการผ่านกองทหารหุ่นพยนต์อำมหิตเข้าชิงตัวประกันกลางสมรภูมิรบ!
แม้ในระหว่างที่เขาพาหุ่นเชลยศลภมาณพ หลบหนีจากกองทหารของสิงหเมฆินทร์ เพื่อตรงไปสู่เป้าหมายบางอย่างที่มิอาจมองเห็นเบื้องหน้า จนกองทัพจากนรกเหล่านั้นเริ่มรู้ตัวและส่งสัญญาณรหัสต่อกัน จนเคลื่อนขบวนหมายเข้าบดขยี้ร่างทั้งสอง
หทัยของเจ้าหญิงแห่งวิเทหะเต้นระทึกอย่างมิเคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ใด แต่ก็ทรงกังวล ประสงค์ให้เขาสามารถหนีรอดพ้นเงื้อมมืออำมหิตของทหารไร้ชีวิตของโรมพิสัยไปให้ได้
ตราบจนร่างทั้งสองล้มลง และทหารหุ่นพยนต์อันอำมหิตผู้หนึ่งกำลังจะปลิดชีพชายหนุ่มผู้นั้น มณีเรขาจึงมิอาจทนทอดพระเนตรอยู่ได้อีกต่อไป
สิ่งสำคัญอันเป็น ความลับที่ทรงเก็บรักษามาเนิ่นนานตลอดพระชนม์ชีพ จึงถูกนำมาใช้ แม้จะรู้พระทัยดีว่า เป็นสิ่งสุดท้ายที่ควรจะกระทำก็ตาม แต่ก็มิอาจทอดพระเนตรมองเห็นชะตากรรมที่อาจจะเป็นความตายของบุรุษปริศนา รวมถึงหุ่นพยนต์ศลภะที่เขาสู้อุตส่าห์เสี่ยงภยันตรายเข้ามาช่วยเหลือเอาไว้ได้
มณีเรขาทรงตัดสินพระทัยในบัดนั้น
และนั่นก็คือการปลดปล่อยสุวรรณชตุกา ออกไป!!
************************
อาตม์ยืนตกตะลึงต่อเบื้องหน้า นายท่าน ที่มีใบหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาคมกล้าทอดมองนิ่งมายังชายผู้ทำหน้าที่รับใช้อย่างสนิทสนมมาโดยตลอด
ถ้าเช่นนั้น บ่าวก็คือศลภมาณพ? บ่าว..
ใบหน้าคมคายของผู้เป็นนายท่านพยักรับอย่างเข้าใจ
ใช่แล้ว! เจ้าไม่ใช่มนุษย์ดอกอาตม์ แต่ความจริงแล้ว เจ้าก็คือหุ่นพยนต์ในหนังสือเล่มนั้น... หนังสือที่ข้าเป็นคนเขียนมันขึ้นมาด้วยตัวเอง!!
บ่าว... บ่าว...
ชายชรานิ่งงัน คำพูดสะดุดค้างไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาเบื้องหน้า เมื่อนั้นเองที่คุณหลวงอนุรักษ์วนาดรตัดสินใจเดินตรงเข้ามาจนชิดร่างที่ยืนสั่นเทาของอีกฝ่าย แล้วแตะบ่าชายเฒ่าเอาไว้คล้ายปลอบประโลมใจ ต่อความจริงที่เกิดขึ้น
เราช่วยเจ้าไว้ได้เพียงเท่านี้ แต่สิ่งที่ตามมานั่นต่างหาก ก็เป็นสิ่งที่เราคาดไม่ถึงเช่นกัน
นั่นคือสภาพร่างกายของบ่าว...
เราไม่อาจรู้ว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปถึงเพียงนี้ แต่ดูเหมือนว่ากาลเวลาจะหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น โดยที่เจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอันใดอีก และเพราะเหตุที่เจ้าถือกำเนิดขึ้นใหม่จากความคิดและจินตนาการจากเรา ข้าจึงตัดสินใจเรียกนามของเจ้าในโลกใหม่นี้ว่า อาตม์ นั่นเอง
อาตม์!!
**************************
แสงมลังเมลืองของดวงตะเกียงดวงน้อยกระจ่างจ้าภายในห้องพักส่วนตัวของหลวงอนุรักษ์วนาดร แห่งทับสนธยา หรือปัจจุบันก็คือห้องลับใต้หลังคายอดหอคอยฝั่งใต้นั่นเอง
ประกายเฉดทองระยิบระยับปรากฏเบื้องหน้า สะท้อนจากเรือนกายเลอลักษณ์ของบุรุษหนุ่มผู้ทรงรูปโฉมยิ่ง
นี่คือธาม บุรุษผู้เป็นเจ้าของเสียงปริศนา ผู้ที่คอยอยู่เคียงข้างเธอมาตลอดเกือบทั้งชีวิตโดยมิเคยได้เห็นรูปกายมาก่อน ปีระกาเผลอตัว ยืนตะลึงเพ่งพิศร่างนั้นตลอดเวลา ระหว่างรับฟังเรื่องราวที่มหัศจรรย์พันลึกเกินกว่าจะคิดฝัน
แล้วตัวเขาคือใครกันเล่า?
คือรูปทอง อร่ามองค์ แห่งทรงศักดิ์ ราวจำหลัก เทพอนงค์ ทรงบุษป์ศร แล้วเหนี่ยวน้าว ธนูพิษ ฤทธิรอน ไม่อาจถอน เสน่ห์หาย กำจายไกล ยิ่งเผลอพิศ สนิทแนบ ฤทัยหน่วง ยิ่งซาบทรวง สารพัน ยิ่งหวั่นไหว โอนี่หรือ คือองค์ธาม นะทรามวัย จักคลายใจ หักจิต เกินคิดครวญ
ใบหน้าเช่นนั้น เรือนกายเช่นนั้น หาใช่ชายชราสูงวัยหรือรูปทรงอัปลักษณ์อย่างที่เคยคิดจินตนาการเล่นแม้แต่น้อยไม่ แต่เป็นชายหนุ่มแปลกหน้าผู้ที่ปีระกาไม่เคยพานพบมาก่อน และถ้าหากเขาถือกำเนิดเป็นมนุษย์แล้ว ยิ่งนับว่านี่คือเอกบุรุษที่ทรงสง่าและความงามแห่งบุรุษเพศผู้หนึ่งเลยทีเดียว
เรือนกายสูงเพรียวหากแกร่งกำยำในภูษาเครื่องทรงแปลกตานั้นคล้ายถูกปั้นขึ้นจากประติมากรเอก ด้วยเนื้อแห่งทองคำธรรมชาติแล้วหลอมรวมเป็นเรือนร่างสมบูรณ์แบบของชายหนุ่ม รูปทองเบื้องหน้า
แล้วนายเป็นใครกันล่ะ ธาม?
ใบหน้าคมคายราวรูปจำหลักแย้มยิ้มน้อยๆ เห็นไรฟันขาวเรียบ เธออยากจะหลับนัยน์ตาลงเพื่อสดับเสียงอันเคยคุ้นมากกว่าร่างชายหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้ ผู้ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกประหลาดวาบไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตหญิงสาว ความแก่นกล้าบ้าบิ่นที่แสดงออกต่อ เสียงกระซิบเตือนข้างริมหูเหมือนทุกครั้ง กลับเปลี่ยนไป
ปีระกา
น้ำเสียงของธามอ่อนโยนยิ่งนัก ร่างราวจำหลักด้วยทองคำอร่ามตานั้นยกมือแตะปลายคางหล่อน หากก็ชะงักค้างเอาไว้
เป็นเพราะเจ้าและข้า ต่างก็มีความผูกพันต่อกันนั่นแหละ จึงทำให้เราต้องมาเผชิญเหตุการณ์นี้ร่วมกัน และช่วยเหลือกัน
ธาม... หมายความว่าอย่างไร? ปีไม่เข้าใจ?
หล่อนสั่นศีรษะจนผมกระจาย มองเห็นรอยยิ้มอีกฝ่ายเบิกขึ้น นัยน์ตาพราวระยิบระยับ
เพราะเจ้าคือทายาทที่แท้จริงแห่งทับสนธยา เป็นผู้ที่ถูกเลือกมาแล้ว เช่นเดียวกับหลวงอนุรักษ์วนาดรผู้นั้น รวมถึงเป็นทวารันตร์... ผู้ปลดปล่อยข้า!
ด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้มกังวาน แรงกระชับของกายทองแนบแน่นจนปีระกาสัมผัสถึงความจริงใจผ่านออกมาจากธามชัดเจน
ถ้าอย่างนั้น ปีต้องทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อคุณปู่ทวดสามารถผ่านเข้าไปในหนังสือ เอ๊ย! กัลปาลัยเล่มนั้นได้ หมายความปีก็สามารถทำได้อย่างเดียวกัน ใช่ไหม?
อีกฝ่ายพยักหน้ารับช้าๆ แต่ผู้ฟังรู้สึกร่างทั้งร่างดิ่งวูบลงสู่ความลึกล้ำที่มิอาจคาดเดา สิ่งที่ได้รับฟังจากธาม แทนที่จะทำให้ทุกอย่างกระจ่างแจ้ง กลับเหมือนถูกดึงให้พลัดหลุดเข้าไปในอุโมงค์แห่งเขาวงกต ยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆยิ่งสับสน จนแม้แต่จะย้อนกลับมาหาทางออกแต่แรก ก็ยังมิอาจทำได้
ทุกอย่างถูกขึ้นต้นด้วยคำถาม และคำถาม เต็มไปหมด แม้แต่การ ถูกเลือก อย่างที่ธามเอ่ยถึง นั่นก็หมายความว่า การเดินทางมาที่นี่ เป็นการถูกกำหนดมาแล้ว ทั้งตัวเธอ และธาม?
แล้วหนังสือกัลปาลัยเล่มนั้น... เล่มที่คุณปู่ทวดได้รับ มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ?
ธามยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนกับการคลี่บานของแสงแรกแห่งอรุโณทัย เป็นความสว่างเรื่อเรืองที่ค่อยๆระบายวาดขึ้นทีละน้อย แต่งแต้มท้องฟ้าให้เป็นสีชมพูอันอ่อนหวานยิ่งนัก...
มันอยู่กับเจ้าแล้วปีระกา อยู่เบื้องหน้าของเจ้า
ประกายสีทองเป็นละอองบางเบาเคลื่อนผ่านอุ้งมือของชายหนุ่มนิรมิต แล้วเลื่อนไหลมาสู่ห้อมล้อมรอบร่างหญิงสาวราวกับมีชีวิต ปีระกาเพิ่งมองเห็นว่ารอบกายของเธอบังเกิดเป็นอณูละเอียดยิบแวววาวราวกากเพชร และมันก็หลอมรวมกันเป็นลำแสงผ่านลงสู่พื้นโต๊ะเบื้องล่าง นิ้วมือของหล่อนเลื่อนลงไปสัมผัสตำแหน่งนั้นทันทีพบว่ามันคือดุมไม้ที่นูนขึ้นมาจนแทบไม่ทันสังเกตเห็น ปีระกาตัดสินใจกดนิ้วลงไป
เสียง กริ๊กดังขึ้นในความเงียบงัน ก่อนที่ลิ้นชักกล ที่หลวงอนุรักษ์วนาดรสร้างขึ้นและล่วงรู้วิธีในการเปิดเพียงไม่กี่คนก็ดีดตัวออกมา
ภายในคือกล่องโลหะเก่าคร่ำเพียงใบเดียว ปีระกาเผลอแตะมือลงที่สลักโลหะที่คล้องเอาไว้โดยปราศจากกุญแจใดๆทั้งสิ้น
เสียงกริ๊กดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพียงปลายนิ้วแตะลงสัมผัส สลักกลอนถอดเลื่อนออกจากกันและเปิดกว้างออก ราวกับรอคอยผู้เป็นเจ้าของให้มาทอดสายตาเพื่อชื่นชมมัน ณ บัดนี้
กัลปาลัย!!
หล่อนมองเห็นสิ่งนั้นแล้ว เสมือนเล่มสมุดขนาดเหมาะมือ แทบไม่ต่างกับหนังสือหรือสมุดบันทึกปกแข็งสีดำสนิท มีตัวอักษรสีทองเจิดจ้าอย่างประหลาด ปรากฏเป็นอักษราที่ไม่อาจอ่านออกในรูปแบบของภาษาไทยหรืออักษรใดๆที่เคยรู้จักมาก่อน
สุวรรณชตุกา!
เสียงของธามตอบอย่างรู้และเข้าใจในความสงสัยนั้น
บัดนี้ เจ้าเป็นเจ้าของมันโดยสมบูรณ์แล้ว
มือของหล่อนแตะปกสีดำเป็นมันวับโดยไม่อาจรู้ว่าสร้างขึ้นจากวัสดุชนิดใด หากทันทีเมื่อพลิกด้านปกขึ้น เนื้อกระดาษที่ควรจะเป็นสีขาวสะอาดก็ปรากฏเป็นสีเหลืองกรอบ ราวกับว่าหากมือสัมผัสลงไปเมื่อใด ก็จะแหลกสลายลงเมื่อนั้น
กาลเวลาทำลายทุกสรรพสิ่ง แม้แต่กัลปาลัยเล่มนี้เช่นกัน บางทีเราอาจจะมีโอกาสนั้น... เพียงแค่ครั้งเดียว หรือ ไม่มีอีกเลย!
เสียงธามรำพึงกับตนเอง ขณะที่หล่อนรีบปิดแผ่นหนังสือกลับเข้าที่แล้วสอดกลับลงไปในลิ้นชักพิเศษนั้นอย่างระมัดระวังยิ่ง โต๊ะไม้กลตัวนี้ น่าจะถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกับทับสนธยาในสมัยคุณหลวงอนุรักษ์วนาดรนั่นเอง
แต่ปีไม่รู้วิธีใช้มัน ไม่รู้จักมนตราใดๆในการเปิดทวารบถของกัลปาลัยเหมือนกับคุณปู่ทวดท่านนี่นะ แล้วปีต้องทำอย่างไร ปี...?
ธามยังไม่ทันตอบอันใด แต่แล้วเสียงกรีดร้องก็ดังแหวกอากาศอันเงียบสงัด ขึ้นจากด้านล่างของทับสนธยา มันก้องกังวานสะท้อนผ่านปล่องหอคอยครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาจนถึงบริเวณห้องด้านบน ทำให้การสนทนาระหว่างกันหยุดชะงักลงในทันที หล่อนรีบดันลิ้นชักกลกลับคืนเข้าไปดังเดิม
ปีระกาหันกลับไปยังทิศทางของบันไดที่ไต่ขึ้นมาตั้งแต่ตอนแรก และได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังวิ่งสวนทางลงไปด้านล่าง นักเขียนสาวรีบหันกลับมาอีกครั้ง
แต่ร่างอร่ามเรืองรองของธามก็หายลับไปแล้ว...
*************************
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
วันวิสาขบูชา 55 14:58:34
|
|
|
|