 |
เมืองลำปาง,ห้างฉัตร โรงพยาบาลห้างฉัตร
หลังภาพบนจอดับวูบลง ภายในห้องที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิดเงียบสนิทเหมือนร้างคน ทั้งที่ขณะนั้นมีคนอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ถึงหกชีวิต เดโชกับเรณูหันขวับมองตากัน ในขณะนี้ที่พิชิตเบิกตาค้างจ้องมองพื้น ส่วนนายสันติอุทานอย่างไม่อยากเชื่อกับนายตำรวจที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า “โอ้ โจรเมืองไทยทำไมอุกอาจอย่างนี้ มันทำอะไรเหมือนไม่กลัวกฎหมายเลยนะครับ” เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ยืนอยู่ใกล้กันค้อมศีรษะพูดว่า “ทางเราต้องขอโทษจริงๆ ครับ พอดีโรงพยาบาลของเราไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้มาก่อน การรักษาความปลอดภัยจึงหละหลวม แต่ไม่ต้องห่วงครับ เราจะดูแลผู้บาดเจ็บอย่างดีและไม่คิดค่ารักษาพยาบาลใดๆ ทั้งสิ้น” “ก็ลื้อลองคิดสิ เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่” นายตำรวจวัยกลางคนผู้มีพุงสามชั้นเท่ากับดาวบนบ่าพูดเสียงกระด้าง “พวกมันเตะบอดี้การ์ดโครมๆ แล้วพาตัวคุณหนูเดินออกไปหน้าตาเฉย กล้องวงจรปิดที่ลานจอดรถก็ไม่มี ทีนี้ก็หมดเบาะแสกัน!” “อ่า...คือว่า...” เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลพยายามจะแก้ต่าง แต่เดโชโพล่งขึ้นเสียก่อนว่า “ช่างมันเถอะครับ สารวัตร ที่นี่โรงพยาบาลไม่ใช่คุก จะมีระบบรักษาความปลอดภัยห่วยแตกยังไงก็ช่างมัน ผมว่าเรามาสนใจเรื่องที่จะพาตัวคุณหนูกลับมาได้ยังไงดีกว่า” เดโชพูดอย่างไม่กลัวผิดใจกัน เพราะสารวัตรคนนี้ถูกเงินของเขาซื้อตัวมาตั้งแต่คราวที่เฟยโดนจับแล้ว “เอ้อ นั่นสินะครับ จริงด้วย” สารวัตรพุงยื่นมีอาการพินอบพิเทาทันที “จากที่เราเห็นในภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อครู่ คนร้ายมีทั้งหมดสี่คน คนแรกคือคนใส่แจ็คเก็ตดำ สวมหมวกแก็ปปิดบังใบหน้าจนกล้องจับหน้ามันไม่ได้ คนที่สองเป็นคนที่ปลอมตัวเป็นหมอ คนที่สามและสี่เป็นคนที่ปลอมตัวเป็นบุรุษพยาบาล พวกนี้ฉลาดมาก คาดหน้ากากอนามัยจนมองหน้าจริงไม่ออกเหมือนกัน” เรณูขึงตามองนายตำรวจอย่างไร้ศรัทธา สิ่งที่นายตำรวจพูดมา เป็นสิ่งที่ใครก็ตามที่ได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าห้องและในห้องพักของรัมภาก็ต้องทราบโดยไม่ต้องให้ใครมาบอกซ้ำ ประกอบกับหล่อนรู้อยู่แล้วว่าบุตรสาวถูกจับตัวไปเพราะอะไร หล่อนจึงอดรำคาญนายตำรวจคนนี้ไม่ได้ที่คอยอวดฉลาดเป็นระยะๆ ตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน “ไม่ทราบว่าคุณนายมีศัตรูที่ไหนบ้างหรือเปล่าครับ?” สารวัตรถาม พยายามแสดงให้เห็นความกระตือรือร้นในการทำคดีของตัวเอง “ไม่มีค่ะ” เรณูตอบ “จริงนะครับ?” สารวัตรถามย้ำ “จริงค่ะ” นายตำรวจดีดนิ้วเปราะ หันมาพยักหน้ากับเดโชอย่างเชื่อมั่น “ผมรู้แล้วครับว่าไอ้คนพวกนั้นมันจับตัวคุณหนูไปทำไม” เดโชจ้องตาฝ่ายตรงข้ามเขม็ง “งั้นสารวัตรก็ช่วยบอกให้ผมฟังหน่อยสิ” นายตำรวจเผยยิ้มกว้าง ผงกศีรษะกับทุกคนรอบตัวและพูดว่า “ทำงานเป็นทีม ล้มบอดี้การ์ดได้เหมือนปอกกล้วย ผมคิดว่ามันต้องเป็นแก๊งเรียกค่าไถ่ระดับมืออาชีพแน่นอนครับ!” “เรียกค่าไถ่?” นายสันติเบิกตาโต “อ้อ ผมเข้าใจแล้ว มันจับหนูจัสมินไปเพราะต้องการเรียกค่าไถ่นี่เอง งั้นหมายความว่าเดี๋ยวพวกมันก็ต้องโทรศัพท์ติดต่อกลับมา ใช่มั้ยครับสารวัตร?” “แน่นอนที่สุดครับ” สารวัตรพุงยื่นหันมาทางเดโชด้วยสีหน้าภูมิใจในตัวเอง “ถ้าพวกมันโทรมาเมื่อไหร่ คุณเดโชติดต่อมาที่ผมทันทีเลยนะครับ เราจะล่อพวกมันให้มาติดกับเหมือนแมลงเม่าที่ต้องตายด้วยความโง่ของพวกมันเอง” “เอ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วทำไมพวกโจรเรียกค่าไถ่นั่นต้องพาตัวลูกชายคุณพิชิตไปด้วยล่ะครับ?” นายสันติถาม คิ้วขมวดจนหน้าผากย่นเหมือนผ้าไม่ได้ซัก “ก็หวังที่จะเรียกค่าไถ่จากคุณพิชิตด้วยไงครับ” สารวัตรหัวเราะในลำคอ “แค่นี้ผมก็มองทะลุแผนการของพวกมันหมดแล้ว” “แล้วการ์ดที่ชื่อเชานั่นล่ะครับ พวกมันเอาตัวไปด้วยทำไม?” นักธุรกิจใหญ่ถามต่ออย่างสงสัย “สลบไปขนาดนั้นยังเอาตัวไปอีก เรียกค่าไถ่จากคุณเดโชจะได้สักเท่าไหร่เชียว ผมว่าถ้ามันทำทุกอย่างเพื่อหวังเงินค่าไถ่จริงๆ แค่หนูจัสมินกับลูกชายคุณพิชิตสองคนก็สามารถแลกเงินก้อนใหญ่สบายไปอีกนาน ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องพาตัวเชาไปด้วย” เดโชคิดว่านายสันติผู้ที่เรณูพยายามอย่างเหลือเกินที่จะให้เป็นทองแผ่นเดียวกันในอนาคตชักจะฉลาดเกินไปแล้ว เขาเอื้อมมือออกไปแตะไหล่นักธุรกิจจากอเมริกา และพูดเสียงเครียดว่า
“เรื่องพวกนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจเขาสืบกันต่อเถอะครับ ผมเองร้อนใจยิ่งกว่าใคร ทั้งหลานสาว ทั้งหลานชาย ทั้งลูกน้องถูกไอ้บ้าที่ไหนจับตัวไปไม่รู้...” บุรุษผู้มีผมสีดอกเลาถอนใจยาว สีหน้าหนักใจจนพูดอะไรไม่ออก
พิชิตผู้ยืนอยู่มุมห้องทราบดีว่าเป็นการแสดง เขารู้สึกขมขื่นจนไม่อยากจะอยู่ในห้องนี้อีกต่อไปแม้วินาทีเดียว แต่ในเมื่อยังหาโอกาสปลีกตัวไปไหนไม่ได้ ก็ต้องทนอยู่ต่อไป ทั้งที่ตั้งใจจะออกไปข้างนอกเพื่อตามหาตัวบุตรชายด้วยตัวเอง
นายสันติเห็นสีหน้าของเดโชก็รีบปลอบใจตามประสามิตรที่ดีว่า
“เอาน่าครับ คุณเดโช ผมว่าถ้าพวกเราช่วยกันคิด ปัญหาทุกอย่างน่าจะคลี่คลายได้ง่ายขึ้น ที่อเมริกาเคยมีเรื่องแบบนี้เหมือนกัน อยู่ไม่ห่างจากบริษัทของผมไปเท่าไหร่ ฝรั่งสองชาติมันแย่งชิงพื้นที่กัน เป็นพวกรัสเซียกับอิตาลี สู้กันอยู่นานจนสุดท้ายพวกมาเฟียอิตาลีดอดไปจับลูกเมียของหัวหน้าแก๊งรัสเซียมาเป็นตัวประกันได้นั่นแหล่ะ พวกรัสเซียถึงขอยอมแพ้มาเฟียอิตาลี ทีนี้ลองมาคิดกลับกันบ้าง คุณเดโชพอจะนึกออกมั้ยครับว่าไปขัดขาใครไว้โดยไม่ตั้งใจหรือเปล่า?”
เดโชแค่นยิ้ม ส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ “ในชีวิตนี้ตัวผมไม่เคยมีศัตรูกับใครหรอกครับ ถ้าไม่นับพ่อเลี้ยงกำธรที่พยายามจะเข้ามาทำผิดกฎหมายในห้างฉัตรเพียงคนเดียว”
“นั่นไงครับ อาจเป็นฝีมือของพ่อเลี้ยงกำธร...” นายสันติพูดแข็งขันในประโยคแรก แต่แล้วก็ชะงักไปเพราะนึกได้ว่าพ่อเลี้ยงกำธรที่พูดถึงก็ได้หายตัวไปเหมือนกัน “...เอ้อ แต่ก็อาจไม่ใช่ก็ได้ เรื่องพ่อเลี้ยงกำธรนั่นได้ความว่าไงบ้างหรือยังครับสารวัตร?”
ประโยคหลังสองตาจ้องมองสารวัตรเขม็ง
สารวัตรสั่นศีรษะตอบ “ยังไม่ได้ความคืบหน้าครับ แต่ผมให้ลูกน้องจัดการอยู่”
“แล้วที่พ่อเลี้ยงกำธรหายตัวไป สารวัตรว่ามันจะเกี่ยวกับโจรเรียกค่าไถ่พวกนั้นหรือเปล่าครับ?” เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลถามขึ้นอย่างหวาดๆ ด้วยกลัวว่าจะมีพรรคพวกของเจ้าพ่อแห่งเกาะคาบุกมาเยือนโรงพยาบาลอีกหนึ่งฝ่าย
นายตำรวจตีสีหน้าครุ่นคิด แล้วตอบ “เกี่ยวแน่นอนครับ จากข้อมูลเบื้องต้นผมสรุปได้ความว่า โจรเรียกค่าไถ่พวกนั้นเดินไปในลานจอดรถ แล้วเจอกับพรรคพวกของพ่อเลี้ยงกำธรโดยบังเอิญ พวกมันเลยเกิดความโลภ ลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่อีกหนึ่งคน”
“ง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือครับ?” นายสันติเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เขาทราบข่าวที่พ่อเลี้ยงกำธรประกาศล่าตัวทิวากร แต่ไม่คิดว่ามันจะประจวบเหมาะกันขนาดนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าการที่พ่อเลี้ยงกำธรมาที่นี่เพื่อจับตัวทิวากร แต่เผอิญว่าโดนโจรเรียกค่าไถ่พวกนั้นตัดหน้าไปก่อน จึงเกิดการปะทะกันและโดนลักพาตัวไปอีกคน มันจะเป็นไปได้หรือ? ฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไป แต่ก็จนใจที่นายตำรวจไม่คิดอย่างนั้น
“อาชญากรรมส่วนมากไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกคุณ” สารวัตรหันมาพูด สีหน้าปรับเป็นเรียบเฉยในบัดดล “เอ้อ ว่าแต่ลูกชายคุณฟื้นหรือยังครับ ผมจะได้สอบปากคำหน่อย”
นายสันติหัวเราะหึๆ “สารวัตรครับ ลูกผมโดนเตะตีลังกาไปอย่างนั้น แค่คอไม่หัก กะโหลกไม่ร้าว ก็ถือว่าบุญโขแล้ว ถ้าจะให้ฟื้นในเวลาแค่สองสามชั่วโมง ลูกผมคงไปเป็นซูเปอร์แมนแล้วล่ะ”
สารวัตรพุงยื่นหน้ากระตุกเล็กน้อยกับคำตอบของนักธุรกิจ แต่ก่อนที่จะกล่าวอะไรต่อ เรณูซึ่งเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวภายในห้องก็เดินเข้ามาเบื้องหน้านายสันติและกระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อมที่สุด
“คุณสันติคะ ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ตาเจมส์เจ็บตัว ถ้าฉันไม่ขอร้องให้ตาเจมส์มาเฝ้ายัยภาแทนฉัน ตาเจมส์คงไม่ต้องเจ็บตัวอย่างนี้” สาวใหญ่พูดปนสะอื้น หลังฟื้นขึ้นมาจากการเป็นลมไปประมาณสิบห้านาที น้ำตาของหล่อนไหลไม่หยุดด้วยความเป็นห่วงชีวิตบุตรสาว มันเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่หล่อนร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง
แต่คำพูดและน้ำตาของหล่อนในขณะนี้คือการเสแสร้ง
“น่า ขอท่งขอโทษอะไรกันล่ะ คุณเรณู ผมต่างหากต้องขอโทษที่ลูกชายผมมันไม่เอาไหน ปกป้องหนูจัสมินไว้ไม่ได้” นายสันติจับมือที่กระพุ่มไหว้ของเรณูให้แยกออกจากกัน เขาส่งยิ้มให้หล่อนอย่างไม่ถือโทษโกรธเคือง ก่อนหันมาทางพิชิตและพูดอย่างชื่นชนว่า “ไม่เหมือนลูกชายของคุณนะครับ สู้กับไอ้หมวกแก็ปนั่นได้สูสีทีเดียว ผมว่าเขาคงดูแลหนูจัสมินได้แน่ เขามีสติที่ดีมาก”
บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าฝืนยิ้ม “คุณสันติชมเกินไปแล้วครับ ถ้าลูกชายผมเก่งจริง ก็คงไม่ถูกพวกมันพาตัวไปง่ายๆ แบบนี้”
“แหม ก็ไอ้พวกโจรนั่นมันมากันหลายคนนี่ครับ สู้ไปก็ตายเปล่า“ นายสันติหยุดไปเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “เอ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ผมมีอะไรจะสอบถามคุณพิชิตกับคุณเรณูหน่อยน่ะครับ เกี่ยวกับลูกของพวกคุณทั้งสองคน”
“คะ?” เรณูมีสีหน้าประหลาดใจ ในขณะที่พิชิตได้แต่นิ่งเงียบ
“ผมว่าพวกเราไปคุยกันข้างนอกดีกว่าครับ” นายสันติกล่าวต่อ ปรายตามองไปทางนายตำรวจและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแวบหนึ่ง เขาต้องการพูดเรื่องต่อไปนี้อย่างเป็นการส่วนตัวมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะมันหมายถึงความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างทายาทตระกูลใหญ่ คงไม่ดีแน่หากมีผู้ไม่เกี่ยวข้องมาได้ยิน
ดังนั้น ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาทั้งหมดจึงแยกย้ายออกจากห้องดูภาพจากกล้องวงจรปิดไปคนละทาง นายสันติ พิชิตและเรณูเดินแยกมาทางหนึ่ง ส่วนเดโชและสารวัตรพุงยื่นไปอีกทางหนึ่ง ไม่มีใครรู้เลยว่าเพียงแค่เดโชหายไปคุยกับสารวัตรเงียบๆ ห้านาทีเท่านั้น ตำรวจทุกนายก็ถูกกันออกไปจากเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย
“คุณสันติมีอะไรจะถามหรือคะ?” เรณูเอ่ยเมื่อเดินมาหยุดที่ระเบียงทางเดินซึ่งทอดนำสู่สวนหย่อมนั่งเล่น ระเบียงนี้ไร้ผู้คนเพราะเจ้าหน้าที่พยาบาลและบรรดาญาติคนไข้มักนิยมใช้งานระเบียงอีกแห่งที่ระยะทางสั้นกว่ากันมาก
“คือผมสงสัยว่า เด็กๆ ทั้งสองคน หมายถึงลูกชายคุณพิชิตกับหนูจัสมินน่ะครับ พวกเขากำลังคบหากันอยู่หรือเปล่า?” นายสันติถามออกมาตรงๆ แสดงให้เห็นนิสัยใจคอที่เป็นคนเปิดเผย “ผมดูจากในเทปนั่นแล้ว ตอนที่ลูกชายคุณพิชิตโดนไอ้หมวกแก็ปนั่นอัดลงไปนอนกับพื้น หนูจัสมินก็รีบวิ่งมาขวาง คนไม่รักกันไม่ทำอย่างนี้แน่”
“โธ่ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ยัยภากับตาหมิงเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ตามประสาน้องห่วงพี่ พี่ห่วงน้องนั่นแหล่ะ” เรณูรีบพูด ใช้จริตเบือนหน้าไปทางอื่น ยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา หล่อนยังเคืองไม่หายที่ทิวากรแอบย่องมาหาบุตรสาวตอนที่หล่อนไม่อยู่ แต่ในตอนนี้ต้องทำเฉยไว้ก่อนเพื่อความราบรื่นในอนาคต
“ผมต้องถามไว้ก่อน เผื่อเด็กเขากำลังคบหากันอยู่ ผมจะได้ให้เจ้าเจมส์ถอยออกมาซะ” นายสันติพูดเสียงอ่อนลง “ผมไม่อยากไปขัดขวางความรักระหว่างเด็กๆ เขาน่ะครับ คนรักกันชอบกันก็สมควรที่จะได้คบหากัน ถ้าไปพรากออกมาเสียจะเจ็บปวดกันทุกฝ่าย”
“ฉันต้องขอยืนยันค่ะว่าตาหมิงกับยัยภาไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าพี่น้องจริงๆ” เรณูหันมาทางพิชิต “เฮียเล้งช่วยอธิบายหน่อยสิ อาหมิงอีไม่ได้คิดอะไรกับยัยภาใช่มั้ย?”
พิชิตจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเรณู ก่อนหันกลับมาที่นายสันติและพูดพลางสั่นศีรษะว่า “ผมก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันครับ เรื่องความรักของลูกชาย ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว พวกเขาสองคนอาจจะรักกันหรือไม่ได้รักกันก็ได้”
คำตอบของพิชิตส่งผลให้เรณูอ้าปากหวออย่างประหลาดใจ หล่อนไม่เคยได้ยินพิชิตพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นนี้มาก่อน
ฉับพลันนั้น เสียงโทรศัพท์ของพิชิตก็ดังขึ้น
เขาล้วงมือหยิบโทรศัพท์ออกมา กดรับสายอย่างกระตือรือร้น “ฮัลโหล ได้เรื่องอะไรหรือยัง?”
เรณูและนายสันติเห็นดวงตาของพิชิตเบิกโตด้วยความประหลาดใจ
“อะไรนะ! เจอรถของอาหมิงจอดอยู่ที่ตลาดทุ่งเกวียน ได้ อั๊วจะรีบไป สอบถามชาวบ้านแถวนั้นให้หมดว่าเห็นเบาะแสอะไรบ้าง เออ ดีมาก แล้วนอกจากนั้นได้เรื่องอะไรอีกมั้ย?”
บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้ารับฟังเสียงจากคู่สนทนา เขาผงกศีรษะพูดอีกสองสามคำก็กดวางสายและหันมาทางเรณูกับนายสันติ
“ลูกน้องผมเจอรถของอาหมิงจอดทิ้งอยู่ที่ตลาดทุ่งเกวียน ผมจะรีบไปดูเผื่อมีคนเห็นเบาะแสอะไรบ้าง ขอตัวก่อนนะครับ” พิชิตค้อมศีรษะให้นายสันติหนึ่งทีก็เบี่ยงตัวหลบ เดินจากไปด้วยฝีเท้าอันเร่งรีบ
“เฮียเล้ง ไม่บอกเฮียโชก่อนหรือ?” เสียงของเรณูดังไล่หลัง ตรึงเท้าของพิชิตให้หยุดชะงัก
พิชิตหมุนตัวกลับไป ในหัวใจคุกรุ่นด้วยความโกรธ เขาเพิ่งตระหนักว่าตนเองโดนเดโชหลอกใช้เรื่องที่ให้พาตัวแม่บุญธรรมของพีภัทร สินธุธานต์มาจากพัทยาเพื่อแลกกับการเจรจากับพ่อเลี้ยงกำธร แต่พี่ชายร่วมสาบานของเขาไม่ได้ทำตามสัญญา เดโชไม่ได้เจรจาสงบศึกกับพ่อเลี้ยงกำธรทั้งๆ ที่ได้ตัวนางศโรรัตน์และคนดูแลของนางไปแล้ว เดโชยังคงเมินเฉย ไม่สนใจว่าทิวากรจะถูกพ่อเลี้ยงกำธรจัดการอย่างไร
นั่นแหล่ะที่ทำให้พิชิตอดสะใจไม่ได้ที่เกิดเหตุลักพาตัวคุณหนูขึ้น
เพราะจากการสังเกตสีหน้าของพี่ชายร่วมสาบาน พิชิตก็เริ่มเชื่อคำพูดของลูกชายขึ้นมาตงิดๆ แล้วว่า เดโชกับเรณูกำลังปิดบังความจริงอะไรบางอย่างจากเขา
บางที คุณหนูรัมภาอาจมีความหมายมากกว่าหลานสำหรับเดโช...
“ฝากลื้อบอกเฮียเขาด้วยก็แล้วกัน” พิชิตตอบออกมาในที่สุด “ถ้าเฮียสนใจ เดี๋ยวก็คงตามไปเอง”
จบคำก็หันหลังกลับ สาวเท้าเดินออกมา ไม่ชำเลืองมองกลับไปอีก
++++++++
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
5 มิ.ย. 55 10:44:18
|
|
|
|
 |