Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 1 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12189390/W12189390.html

บทที่ 1

'ฤดีดิษถ์' เร่งสะสางงานที่ค้างบนโต๊ะมือเป็นระวิง เธอต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับงานแต่งของเพื่อนสุดรักสุดหวงอย่าง 'มวลผกา' หลังจากที่ลุ้นระทึกกันมาเกือบสองปี ในที่สุดเพื่อนสาวจอมห้าวก็ได้ฤกษ์ลั่นระฆังวิวาห์เสียที

ก็ไม่ใช่เธอคนเดียวหรอกนะที่โล่งอกและไม่ต้องผจญกับอาการใจหายใจคว่ำว่าเพื่อนสาวจะเป็นทอมเป็นดี้หรือไม่ เพราะคนใกล้ตัวหล่อนทุกคนก็พากันตบอกใจเบากันไปตามๆ กันทีเดียวล่ะ

"พักกลางวัน"

เสียงลอยๆ ของ 'ลายสือ' ดังพร้อมกับหุ่นสูงโปร่งในชุดลำลองสีนวล เขาหิ้วถุงอาหารกลางวันมาด้วย ชูอวดนิดหน่อย แล้วเดินไปวางบนเคาน์เตอร์เล็กอย่างคุ้นเคย

"กำจัดงานเพราะเห่อเพื่อนออกเรือนหรือ" เขาสัพยอก กรอบหน้าหล่อพอใช้ระบายยิ้มหมั่นไส้

"แล้วมันสมควรให้เห่อไหมล่ะ ใครต่อใครก็พากันปักใจว่าไอ้ผกามันเป็นทอมเป็นดี้ แต่ดูซิ สุดท้ายมันก็ได้แต่งงาน ต่อให้มันไปแต่งกันที่เมืองนอก ดิษถ์ก็จะตามไปจัดงานให้มันแบบไม่เกี่ยงไม่งอนละเอ้า"

ลายสือหัวเราะเบาๆ เขาเป็นคนรักของฤดีดิษถ์ คบหาดูใจกันมาเกือบสามปีแล้ว งานครีเอทีฟที่ทำด้วยกันใน 'บริษัทกรุ๊ปลลนา' ก็รุดหน้าไปอย่างราบรื่น เขาเคยวางแผนเรื่องงานแต่งกับเธอเหมือนกันนะ แต่ดูเหมือนว่าเธอยังไม่พร้อม เหตุผลที่เธอบ่ายเบี่ยงก็คือ 'สนุกกับงาน'

ก็เหมือนตอนนี้ เลยเที่ยงไปเกือบยี่สิบนาทีแล้ว และเมื่อเช้านี้ ถ้าจำไม่ผิดเธอซดกาแฟไปถ้วยเดียวเอง ขนมสักชิ้นก็ไม่มีรองท้อง แต่งานกองสูงบนโต๊ะมันก็ช่างมีมนตร์ลี้ลับให้เธอหลงใหลและทุ่มตัวอยู่กับมัน โดยไม่สนใจว่าเวลาจะไหลไปและไหลไปเร็วแค่ไหน

"กินข้าวก่อนเถอะ" เขาเคาะตรงมุมโต๊ะเตือนให้สาวบ้างานเงยหน้า

"อีกนิดเดียว"

"นิดเดียวก็ไม่ได้ ผมหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว นี่ผมเพิ่งกลับมาจากเถียงกับลูกค้านะ"

ฤดีดิษถ์หัวเราะเบาๆ ยอมวางปากกา เลื่อนกองเอกสารกับโน้ตบุ๊กออกห่าง ยอมให้คนรักจูงมือไปนั่งมองเขาแกะกล่องอาหารอย่างกระตือรือร้น

เธอรักลายสือมาก ตั้งใจไว้แล้วว่าจะรอให้มวลผกาออกเรือนให้เรียบร้อย ถัดจากนั้นสักปลายปีนี้ หรือกลางปีหน้าก็จะพาตัวเข้าฝั่งเข้าฝาบ้าง เขาเองก็คงยินดี เพราะรบเร้าให้เธอเกรงใจอยู่หลายครั้งแล้ว

"ป่านนี้ไอ้ผกามันคงถึงบ้านแล้วสินะ"

เธอเปรยตอนรับช้อนมาเคาะครึกครื้น มวลผกากับเธอเป็นสาวอุตรดิษถ์เหมือนกัน แต่ก็มารู้จักกันตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะนิเทศศาสตร์ด้วยกันเมื่อหกเจ็ดปีก่อน ก็พร้อมๆ กับลายสือนี่ล่ะ

ตอนนั้น เธอยังหลงเข้าใจไปว่าเขามาตามจีบเพื่อนจอมห้าวเสียด้วยซ้ำ เพราะถึงแม้ว่าหล่อนจะกระโดกกระเดกไปหน่อย แต่เรื่องสวยบาดตาบาดใจ ก็มีหล่อนนี่แหละที่กินขาดและทิ้งเพื่อนฝูงไปไกลแบบไม่เห็นฝุ่น

ลายสือเลื่อนแก้วน้ำไปให้สาวยิ้มค้าง เขาขำนิดหน่อยว่าเธอลิงโลดใจยิ่งเสียกว่าเป็นพ่อเป็นแม่จริงๆ ของมวลผกาเสียอีก ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงพอรู้ข่าวดีก็แค่เลิกคิ้วแล้วมองตากันเป็นประกาย ปฏิกิริยาแค่นั้นมันเรียบร้อยมากเมื่อนำมาเปรียบกับฤดีดิษถ์กับเพื่อนๆ ที่พร้อมใจกันกระโดดโลดเต้นส่งเสียงโห่ฮือฮากันลั่น

"เดาว่าคงพาเจ้าบ่าวเดินชมภูดารกะกันหวานฉ่ำไปแล้ว ไหนจะหมอกบางๆ อากาศเย็นๆ ลานหญ้าสีทองโล่งๆ ทิวเขาสลับซับซ้อนลดหลั่นเป็นชั้นๆ อ้อ ไหนจะไร่แบบขั้นบันไดอีก โอ๊ย โรแมนติก อ้อ นี่อีก ดีไม่ดีตอนนี้อาจกำลังจูบกัน"

"แหม ประชดเสียยาวนะคะ"

ฤดีดิษถ์ตีแขนหมั่นไส้ แต่เธอก็ไม่โกรธหรอก และเขาเองก็ไม่ได้เบื่อหน่ายกับอาการเห่อไม่เลิกของเธอ จะว่าไปแล้ว เธอก็อยากไปยลโฉมความงามบน 'ภูดารกะ' เร็วๆ เหมือนกันนะ

เคยแต่ได้ยินมวลผกาเล่าอวด เคยวางแผนว่าจะไปก็หลายหน แต่ก็มักจะมีเหตุขัดข้องให้ขลุกขลักจนต้องเลื่อนออกไปทุกที อ้อ แต่สำหรับคราวนี้ขอโทษทีนะ จะขลุกขลักล้มลุกคลุกคลานแค่ไหนยังไง ก็อย่าได้ฝันไปเลยว่าจะขัดขวางการเดินทางของเธอได้




ห้าทุ่มเศษแล้ว แต่ฤดีดิษถ์เพิ่งจะกลับถึงบ้าน เธอใช้เวลาหลังเลิกงานตอนหกโมงเย็นไปขลุกอยู่ในสตูดิโอ ง่วนกับการตัดต่อวิดีโอของเพื่อนเจ้าสาว มันก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์นัก คงต้องตกแต่งพรุ่งนี้อีกนิดหน่อย จากนั้นก็คงไปดูความเรียบร้อยของวัสดุอุปกรณ์ที่จะนำไปตกแต่งสถานที่ทางโน้น

หลังเพิ่งจะถึงฟูกไม่ถึงอึดใจ มวลผกาก็โทรมาอวดเสียงเจื้อยแจ้ว มีเสียงว่าที่เจ้าบ่าวแทรกสลับเหมือนคลื่นรบกวนเป็นพักๆ เธอรีบลุกมานั่งเมื่อเพื่อนเล่าว่ายังไม่ถึงบ้านเลย

"อะไรกัน เดินทางตั้งแต่เมื่อวานซืน จนป่านนี้ยังไม่ถึงบ้านอีกหรือ มัวไปแวะที่ไหนยะ"

"ก็ตามรายทางเยอะแยะ บ้านญาติของคุณธิสัยเอย บ้านเพื่อนเก่าๆ อีก ทั้งของคุณเขาแล้วก็ของฉันด้วย"

"อ้อ แล้วตอนนี้ล่ะ อยู่ไหน อย่าบอกนะว่ากำลังขึ้นภู ฉันจะด่าให้เลย มันจะห้าวเกินเหตุไปหน่อย"

"ย่ะ เดาถูกเผง คุณธิเขาอยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นบนภู อยากเห็นวิหารวังที่ฉันโม้ๆ ไว้นั่นแหละ แกล่ะ จำได้ไหม"

ฤดีดิษถ์เผลอพยักหน้า จำได้ว่ามวลผกาภูมิใจนำเสนอที่ที่ว่าเป็นอย่างมาก ไอ้เรื่องพระอาทิตย์ขึ้นพ้นเหลี่ยมภูนั่น เธอไม่ค่อยตื่นเต้นอยากเห็นนักหรอก

เพราะตอนออกค่ายตามที่กันดารหลายแห่งก็เคยเห็นมาแล้ว แต่วิหารวังร้างนี่สิ เธออยากเห็นว่ามันสวยลี้ลับสมราคาคุยหรือเปล่า อ้อ หล่อนยังโม้เต็มเสียงอีกด้วยนะว่า

"แล้ววันดีคืนดีนะ เราก็จะเห็นสีทองเปล่งอร่ามทั่วทั้งตัววิหารเลยล่ะ มันวูบวาบๆ กลางความมืดน่ะ คิดดูเอาเองเถอะว่ามันสวยแค่ไหน"

"โอ้ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกมันซ่อนอยู่ที่เมืองไทยนี่เอง" แล้วเธอก็ประชดไปขำๆ ในวันนั้น

"อย่ามาทำเสียงดูหมิ่นดูแคลนเชียวนา ทุกคนที่นั่นต่างก็ยอมรับนับถือด้วยใจว่าเป็นปูชนียสถานที่แอบแฝงความลี้ลับบางอย่างรอการพิสูจน์"

"แต่ก็ไม่มีใครปอดใหญ่พอจะเสนอตัว" เธอประชดอีก

"ย่ะ ก็รอแกนั่นแหละ สักวันหนึ่งเถอะ แกต้องได้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแน่ ปากดีนัก"

"ไม่ไหวล่ะ ฉันไม่อยากโดน เอ้อ อะไรนะ แม่นางอะไรสักอย่าง"

"แม่นางกณิการ์ แกละก็ ระวังเถอะ ปากไม่มีหูรูดแบบนี้ มันจะลอยถึงหูท่านเข้าสักวัน แล้วตอนโดนหักคอก็อย่ามาเรียกให้ช่วยนะยะ"

นึกถึงวันคืนเก่าที่เต็มไปด้วยบทสนทนาขัดคอแต่ครึกครื้นแล้ว เธอก็อดยิ้มกว้างอย่างมีความสุขไม่ได้ ดูสิ เผลอแป๊บเดียวเอง มวลผกาก็จะแต่งงานแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะชื่นใจกับรักที่สมมาดของเพื่อนรักคนนี้ได้มากขนาดนี้

"ทำไมเงียบไป ฟังฉันอยู่หรือเปล่า" มวลผกากระทุ้งมาฉีกภวังค์ชื่นใจทิ้ง

"เออ ฟังอยู่ ฉันก็กำลังคำนวณเล่นๆ อยู่"

"คำนวณอะไร"

"อนาคตของแกกับคุณสามีของแกไง"

"ทำไมหรือ"

"อ้าว ก็สมมติไปว่าถ้าแกกับคุณสามีลาออกจากงานไปตั้งรกรานบนภู แล้วรอวันดีคืนดีให้แร่ให้ทองมันผุดขึ้นมาบนพื้นโกยไปขาย แกจะกลายเป็นเศรษฐีนีเพียงชั่วข้ามคืน แล้วแกจะจำเพื่อนต๊อกต๋อยคนนี้ได้อีกหรือเปล่า"

มวลผกาหัวเราะขำๆ หล่อนหันไปยิ้มกับสามีตามกฎหมายอย่างมีความสุข เขากับหล่อนแวะจดทะเบียนสมรสกันก่อนแล้วล่ะ ตอนนี้จึงไม่ต้องเรียกว่าที่อีกแล้ว

ที่รอต่อไปอีกนิดก็คือความสุขจากการหล่อหลอมสองกายเข้าไว้ด้วยกันด้วยความรัก ซึ่งก็ต้องหลังจากที่ผ่านพิธีวิวาห์อันหวานชื่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ไปก่อน

"จะว่าไป ความจำแกก็ใช้ได้นะ อย่างน้อยแกก็ไม่ลืมถึงความอัศจรรย์ที่ฉันเคยเล่าให้ฟัง"

"ใครว่า แกไม่ได้เล่าให้ฟังหรอก แต่แกอวด"

ว่าที่เจ้าสาวหัวเราะเสียงใสมาให้เธอยิ้มกว้างไปด้วย ก็มันจริงนี่ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวิหารวังร้างของแม่นางกณิการ์ละก็ มวลผกาเป็นต้องเล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิติดจะโอ่จัดเสมอ หล่อนบอกว่า

"วันดีคืนดีนะ รอบๆ วิหารก็จะมีพวกแร่โลหะ หรือไม่ก็พวกรัตนชาติสวยๆ เกลื่อนกระจายไปหมด"

"โอ้ วังวิเศษ" เธอก็ปากเสียแบบนี้แหละ เพื่อนเล่าอะไรก็จะคอยขัดเพื่อเพิ่มอรรถรส

"ย่ะ วิเศษไม่วิเศษ ชาวบ้านที่แห่กันไปเก็บแล้วเอาไปขายในเมือง ก็กลับกันขึ้นมาร่ำรวยเป็นแถวๆ บางรายปลดหนี้ปลดสินได้เกลี้ยง แถมยังมีเหลือซื้อที่ดินไว้ทำไร่ได้อีกต่างหากด้วย"

"มันเกิดขึ้นบ่อยไหม"

"ไม่นะ เท่าที่ฟังตากับยายเล่าตอนเด็กๆ มันเกิดขึ้นในยุคของท่านสองครั้ง แล้วก็ทิ้งช่วงมาเกิดขึ้นในยุคของพ่อกับแม่ตอนแต่งงานกันใหม่ๆ อีกสองครั้ง อ้อ แล้วก็ตอนที่ฉันเจ็ดขวบ ก็เกิดขึ้นสองครั้งนะ"

"น้อยจัง"

"น้อยแต่มหาศาลย่ะ เกิดมาทีชาวบ้านก็ล่ำซำกันที จะให้เกิดบ่อยๆ ได้ยังไง เดี๋ยวมันก็จะดูไม่ขลังไม่ลี้ลับไม่ชวนค้นหาสิยะ"

นั่นล่ะ เสียงห้าวสุดโต่งของมวลผกาในวันวาน หล่อนออกโรงปกป้องปูชนียสถานบนภูดารกะบ้านเกิดด้วยพลังศรัทธาอย่างยิ่งยวด ใครเถียงใครขัด :-)้างหมัดเตรียมตะบันเสร็จสรรพ

ความศรัทธาที่ว่า มันก็น่าจะเกิดจากการปลูกฝังของผู้ใหญ่นั่นล่ะ ผู้ใหญ่เชื่ออย่างนั้นก่อนนี่ เด็กรุ่นหลังก็ต้องเชื่อตาม และก็ต้องสืบทอดความเชื่ออย่างนี้ต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด เอ๊ะ หรือว่าตำนานเอย นิทานเอย มันมีต้นกำเนิดมาจากการปลูกฝังแบบนี้หรือเปล่านะ

"ว้าย คุณธิ ว้าย ระวังคุณธิ ระวัง ว้ายๆ "

ภวังค์วันคืนอันรื่นรมย์โดนกระตุกขาดด้วยเสียงกรีดร้องตระหนกของมวลผกา ร่างครึ่งนั่งครึ่งนอนดีดผลุงขึ้นอย่างตกใจไปด้วย พลางรีบกรอกเสียงถามละล่ำละลักว่า

"เกิดอะไรขึ้น ผกา ผกาตอบฉันสิ เกิดอะไรขึ้น ผกา แกเงียบทำไม แล้วนั่นเสียง ว้าย เสียงอะไร ผกา ผกา"

'แย่ล่ะ สัญญาณขาดหายไปเอง' ฤดีดิษถ์ใจเต้นแรง สันหลังเย็นวาบเหมือนเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง เกิดอะไรกับเพื่อนรักหรือเปล่า อีกไม่กี่วันก็วิวาห์แล้วนะ มันไม่ควรเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นในช่วงนี้สิ

'โอ๊ย ทำไมมาเกิดเรื่องนี้ตอนนี้เล่า' สาวครีเอทีฟบ่นหงุดหงิดในใจขณะเดินออกมาอวดสีหน้าร้อนรนให้ความมืดดู เสียงโครมครามหนักหน่วงเหมือนมีวัตถุสองอย่างพุ่งปะทะชนกันเต็มแรงมันคืออะไรหรือ

แล้วทำไมมวลผกาต้องกรีดร้องตระหนกสุดเสียงแบบนั้น มันอดทำให้เธอระแวงอย่างพรั่นพรึงไม่ได้จริงๆ ว่าเพื่อนกำลังเจอกับ 'วินาทีความเป็นความตาย'




ใช่ มันคือวินาทีความเป็นความตายจริงๆ มวลผกาหน้าผากแตกและฟันโยกเล็กน้อย เพราะร่างกระดอนไปกระแทกกับกระจังหน้า แล้วเด้งกลับเหวี่ยงหน้าไปฟาดกระจกหน้าต่าง คิดดูเอาเถอะว่ากระจกทั้งแผ่นยังร้าว แล้วหน้าหล่อนจะไปทานทนกว่าได้ยังไง

เห็นทีว่าหนุ่มสาวคงไม่มีวาสนาต่อกันในชาตินี้เสียแล้ว เวลานี้ รถทั้งคันพุ่งกระโจนไปห้อยต่องแต่งบนขอนไม้ที่ยื่นลงสู่หุบเหว ทั้งสองตัวแข็งทื่อ ตาเบิกโพลง 'ธิสัย' ปากแตกเลือดกบ แต่เพราะความกลัวสุดขีดตรงหน้า ก็ทำให้เขาเผลอกลืนเลือดรสฝาดลงคอได้ไม่ยากเลย

"คุณธิ" มวลผกากระซิบหวิวๆ ที่กล้าทำในเวลานี้คือ 'กลอกตา'

"ใจเย็นๆ " สามีตามนิตินัยให้กำลังใจ อยากบ้วนเลือดที่เหลือทิ้ง ก็เกรงว่าการเคลื่อนขยับน้อยนิดจะผลักรุนให้รถร่วงเร็วขึ้น "ทุกอย่างจะผ่านไป จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา คุณใจเย็นๆ ก่อน"

"แต่ฉันรู้สึกว่ารถมันโยกเยก บะ.. บางที บะ.. บาง.. "

"ผมรู้ ขอนไม้อาจจะหัก หรือไม่ก็รถของเรากำลังไหลลงไปอย่างช้าๆ แต่ไม่ต้องกลัว เราจะปลอดภัย"

ธิสัยให้กำลังใจภรรยาด้วยเสียงเข้มหนัก เขาอยากร้องไห้ออกมาเลย มันอาจช่วยให้เขาคลายความหวาดกลัวสุดขีดในเวลานี้ลง แต่ถ้าน้ำตาไหลให้ภรรยาเห็น ขวัญที่เสียอยู่แล้วก็จะยิ่งเตลิดกู่ไม่กลับแน่

"คุณ ผมคิดว่าเราน่าจะปลอดภัย แต่อาจต้องเจ็บตัวนิดหน่อย"

เขาบอกความหวังออกไปด้วยเสียงหวิวๆ  เมื่อกลอกตาไปนอกรถ แล้วเห็นลานดินหมิ่นเหม่ หากใช้ความว่องไวสักหน่อย ผลักประตูแล้วกระโจนออกไปแบบไม่ต้องกลัวเจ็บ นาทีรอดชีวิตก็อาจจะยาวไกลกลายเป็นชั่วโมงแห่งความปลอดภัย

"ฉันก็เห็น" มวลผกาบอก "แต่ใครจะรับประกันได้ว่าดินตรงนั้นจะไม่ร่วนหรือซุย แล้วพอเรากระโดดลงไป มันจะไม่ทำให้เราร่วงลงเหวก่อนรถ"

"ยังไงก็ดีกว่านั่งรอให้ร่วงพร้อมรถไม่ใช่หรือ การเสี่ยงก็เป็นส่วนหนึ่งของการมีชีวิตเหมือนกันนะ แต่เราต้องทำพร้อมกัน คุณพร้อมหรือยัง"

สาวห้าวอย่างมวลผกาน่ะหรือจะไม่พร้อม หล่อนสูดหายใจเบาๆ เอื้อมมือสั่นระริกแตะประตู มันตื่นเต้นและระทึกมาก เมื่อนึกว่าพอประตูขยับ รถก็จะร่วงลงสู่เหวมืด

"ผมนับแค่หนึ่งนะ หนึ่ง"

พอสิ้นเสียงนับ สามีภรรยาก็จัดการกับชีวิตของตนอย่างว่องไว มันเหลือเชื่อมากที่รถยังคงโยกเยกบนขอนไม้ใหญราวกับว่ามันสนุกสนานเหลือเกิน ในขณะที่คนสองคนต้องเจอกับหัวไหล่ช้ำ เข่าแตก มวลผกาอาการหนักกว่าสามีเสียอีก เพราะขมับไปกระแทกกับหินก้อนเขื่องแตกเลือดเปรอะอีกแผล

"เกิดอะไรขึ้นคะ"

สามีเดินเซๆ มาช่วยพยุงอย่างทุลักทุเล เขาหายใจแรงขับกลิ่นคาวของเลือดออกมาด้วย ภรรยาถามเสียงแผ่วๆ เขาก็ส่ายหน้า มันยังไม่ใช่เวลาจะถามจะตอบกันในตอนนี้หรอก

ต้องหาทางกลับขึ้นไปข้างบน อาจต้องโบกรถที่นานๆ จะผ่านมาสักคันให้ช่วยไปส่งบ้าน มวลผกาบอกเขาก่อนจะโทรหาฤดีดิษถ์ว่า 'อีกไม่ไกลแล้ว'

"เราจะขึ้นไปได้ยังไง มันชันมากเลย มืดด้วย เราอาจลื่นแล้ว.. "

"พอแล้วน่า คำก็ตกเหว สองคำก็ตกเหว เรารอดมาได้แล้วไม่ใช่หรือ ผมยังอยู่ทั้งคน ไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรไปก่อนผมหรอก อย่ากลัวนะผกา"

สามีเอ็ดด้วยความรัก เขารู้ว่าภรรยาเป็นสาวห้าวใจแกร่ง ที่ปรารภออกมาอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะเกิดความห่วงใยความปลอดภัยของเขามากกว่า หล่อนรักเขามาก แล้วเขาก็อยากให้หล่อนรู้เหมือนกันว่าเขาเองก็รักหล่อนมาก

"นั่นใครคะ" จู่ๆ มวลผกาก็ชี้ไปบนเนินเหนือศีรษะ เหมือนว่าจะมีเงาตะคุ่มของใครสักคนยืนอยู่

"ช่วยด้วยครับ" สามีไม่ตอบ แต่กลับตะโกนขึ้นไป "เราเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ตอนนี้กำลังหาทางกลับขึ้นไป พอจะช่วยเราได้ไหมครับ"

พอสิ้นคำ ก็ปรากฏเชือกเส้นใหญ่แข็งแรงมากลอยวืดลงมา ธิสัยคว้าหมับมาผูกเอวภรรยาก่อน แล้วค่อยผูกให้ตัวเอง จากนั้นก็โบกมือส่งสัญญาณกับคนข้างบนว่า 'พร้อม'




แล้วไม่ถึงอึดใจหนึ่ง สามีภรรยาก็กลับขึ้นมานอนแผ่หลาอย่างเหนื่อยๆ ข้างถนน ทั้งสองแข่งกันหายใจแรงๆ ออกเสียงเฮือกๆ เฮ้อๆ รัวจนนับครั้งไม่ทัน

อาการเช่นนั้นมันก็กินเวลานานสักสิบนาทีล่ะ กระทั่งทุเลาความเหนื่อยลงหน่อย ธิสัยก็เป็นฝ่ายลืมตาขึ้นก่อน เขาอยากขอบคุณคนที่ช่วยชีวิต และน่าจะเป็นเจ้าของเชือก

"เอ๊ะ" แล้วเขาก็ดีดผลุงขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อพบว่าเชือกที่คล้องเอวหายไปแล้ว "ผกา" เขาเรียกภรรยาที่ยังหลับตาดื่มด่ำกับนาทีแห่งความปลอดภัยไม่เลิก "เชือกหายไปแล้ว"

"เจ้าของคงเก็บไปแล้วล่ะ"

'จริงอย่างนั้นหรือ' ธิสัยย้อนกับใจหวาดระแวง บนถนนเลียบหน้าผาสายนี้มันมืดตื๋อเสียขนาดนี้ ไม่มีร่องรอยรถและคนที่จะผ่านไปมาเลย ต่อให้มีคนผ่านมาจริง และเป็นคนช่วยชีวิตคนนั้น ตอนจะผละไป ก็น่าจะได้ยินเสียงเดินหรือเสียงรถ หรือเสียงอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ 'เงียบอย่างนี้'

แต่ก็ช่างมันไปก่อน ตอนนี้หายเหนื่อยแล้ว ก็ต้องรีบหาทางไปจากถนนร้างตรงนี้โดยเร็ว อาจต้องเดินไปอีกหน่อย เผื่อว่าจะมีบ้านเรือนชาวบ้านใกล้ๆ พอที่จะขอความช่วยเหลือ อย่างน้อยก็พักค้างสักคืน ถามไถ่หาอู่ซ่อมรถที่ใกล้ที่สุด เพื่อมาจัดการลากรถข้างล่างขึ้นมาซ่อม

"ไม่รู้จะซ่อมได้ไหม" ธิสัยปรารภขณะลากฝีเท้าเซๆ มันแพลงนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากอ่อนแอให้ภรรยาเป็นห่วง

"เจ็บมากไหมคะ" มวลผกากลับสังเกตเห็นว่าสามีอดกลั้นมันไว้ แล้วหล่อนก็สงสารด้วยตื้นตันใจด้วย

"นิดหน่อยเอง คุณนั่นแหละ ผมว่าแผลมันเริ่มจะบวมๆ แล้วนะ"

เขาแตะนิ้วเบาๆ บนผ้าเปื้อนเลือดที่พันรอบศีรษะ มันเป็นแขนเสื้อเชิ้ตที่เขาฉีกแล้วพันห้ามเลือดลวกๆ ให้หล่อนชั่วคราว

"ไม่เป็นไรค่ะ เอ้อ ถ้าเราเดินขึ้นไปตามทางชันๆ สายนี้ สักกิโลนะ ถ้าฉันจำไม่ผิด จะมีบ้านคนน่ะค่ะ อ้อ ไม่แน่นะคะ คนที่ช่วยเราอาจจะอยู่แถวนั้นด้วยก็ได้ เขาถึงกลับไปเร็วนัก ไม่รอให้เราขอบใจสักคำก่อน"

ธิสัยก็หวังว่าจะได้เจอคนช่วยชีวิตอีกสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่จะเพศไหนก็ช่างเถอะ ลองว่ามีน้ำใจช่วยเหลือในยามวิกฤติแล้ว เขาจะถือว่ามีบุญคุณ และจะระลึกถึงตลอดไป

โอ้ มันน่าระทึกขวัญมากเลย ถ้าสามีภรรยาได้ล่วงรู้ว่าเงาตะคุ่มที่มาปรากฏตัวโยนเชือกลงไปช่วย แท้จริงไม่ใช่คนตามที่เข้าใจ หากแต่เป็นดวงวิญญาณที่ผูกพันกับวิหารวังร้างมานานนับร้อยปี มิหนำซ้ำ ยังเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษของมวลผกาเสียอีก

แล้ววิญญาณดวงนั้นก็ไม่ธรรมดาด้วยนะ เป็นถึงองครักษ์ผู้กล้าของแม่นางกณิการ์เชียวล่ะ ส่วนชื่ออันโบราณที่คนในยุคนั้นกล่าวขานถึงอย่างยำเกรงก็คือ 'ท่านศมะ'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 12:37:46




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com