Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
......................(ไม่มีชื่อเรื่อง)...................... ติดต่อทีมงาน

กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีอาตมาก็พบว่าเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว เสียงจิ้งหรีดเรไรพากันประสานเสียงสนับสนุนการมาเยือนของลมราตรี หมู่แมกไม้รอบกุฏิพากันทยอยคายความชื่นเย็นเมื่อไร้ไอร้อนจากดวงตะวัน บรรยากาศของความเงียบสงบยังคงเป็นมิตรแท้คู่กุฏิแห่งนี้เสมอมา

อาตมาลุกขึ้นไปจุดเทียนเพื่ออาศัยแสงสว่างจากเปลวไฟช่วยเบิกทางแก่คู่สายตาในการอ่านหนังสือ อันเป็นการเพิ่มพูนแสงไฟแห่งปัญญา อาตมายังคงติดนิสัยอ่านหนังสือตอนกลางคืนมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส ระบบประสาทการรับรู้น่าจะตื่นตัวทำงานได้ดีขึ้นหลังกายร่างได้นอนตื่น

โมงยามแห่งความสงบสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาตมาได้ยินเสียงไก่ขันซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้อาตมภาพต้องเตรียมตัวออกไปบิณฑบาตแล้ว

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีผมก็พบว่าเป็นเวลาตีสามแล้ว เสียงแหลมๆจากปลายท่อไอเสียของกลุ่มรถจักรยานยนต์ต่างพากันแผดเสียงเพื่อสำแดงความสะใจกันอย่างคึกคะนองบนท้องถนนยามราตรี เครื่องปรับอากาศติดผนังห้องนอนของผมยังคงครางหึ่งผลิตไอเย็นอย่างต่อเนื่อง เสียงระคายหูจากเครื่องมอเตอร์ไซต์ของพวกเด็กแว้นยังคงก่อกวนปลุกผมให้สะดุ้งตื่นเหมือนเดิมแทบทุกคืน

ผมลุกไปเปิดไฟ เมื่อตื่นขึ้นแบบนี้แล้วคงยากที่จะหลับลงต่อ ผมเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานพร้อมเปิดแฟ้มเอกสารงานที่ทำค้างไว้ก่อนนอน คืนที่เท่าไรแล้วนะที่ผมหอบงานกลับมาทำต่อที่บ้าน ผมคงติดนิสัยสะสางงานค้างในตอนกลางคืนมาตั้งแต่สมัยเรียนที่ปั่นรายงานส่งอาจารย์ ไม่รู้ว่าเลือดในกายของผมเปลี่ยนเป็นน้ำหมึกหมดแล้วหรือยังเพราะนอกจากตอนหลับแล้ว เวลาที่เหลือของผมเกือบจะมีแต่การทำงานเท่านั้น

ปริมาณงานค้างสะสมแทบยังไม่พร่องลงเท่าไรเลย มารู้ตัวอีกทีผมก็ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนให้ผมต้องเตรียมตัวหอบงานกลับไปทำต่อที่ออฟฟิศแล้ว

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บาตรในอ้อมแขนอาตมาคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย อาตมาไม่เคยรู้สึกถึงความแปลกแยกแม้พื้นผิวภายนอกของบาตรจะเรียบลื่นและเย็นเฉียบ ทุกย่างก้าวของอาตมายังคงก้าวเดินอย่างมั่นคง แม้ข้าวของที่ได้รับจากพุทธศาสนิกชนที่ใส่ในบาตรจะมีมากขึ้นเพียงใดก็ตาม

“นิมนต์ค่ะ หลวงพี่” สีกาคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆโต๊ะพับซึ่งบนโต๊ะมีถุงข้าวและอาหารร้องเรียกอาตมา

อาตมาไม่เคยเห็นอุบาสิกาคนนี้มาก่อน เข้าใจว่าเธอคงเพิ่งจะย้ายมาอยู่แถวนี้ กิริยาการใส่บาตรของเธอดูเรียบร้อยขัดกับภาพลักษณ์ของคนวัยหนุ่มสาวเช่นเธอส่วนใหญ่ บางคนที่อาตมภาพเคยเจอถึงขนาดเรียกอาตมาว่า “ตัวเอง รอเดี๋ยว ใส่บาตรหน่อย” ก็ยังมี

แต่สีกาคนนี้ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆเพียงกิริยาเท่านั้น แม้แต่แววตาขอเธอก็ยังแฝงไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่างลึกลงข้างใน คล้ายประกายความหวังแต่ก็ไม่กล้าที่จะหวัง คล้ายมีความปรารถนาแต่ก็อาจสมปรารถนา

“เอ่อ...หลวงพี่ ชอบฉันอะไรหรือคะ พรุ่งนี้...จะได้เตรียมใส่บาตรให้หลวงพี่ค่ะ” สีกาพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำไม่กล้าสบตาอาตมาอีก

“อะไรก็ได้ แล้วแต่สีกาสะดวกจะดีกว่า”

“ค่ะ” สีกาเงยหน้าสบสายตาอาตมาอีกครั้งพร้อมกับยิ้มกว้างเผยให้เห็นลักยิ้มที่มุมปากก่อนอาตมาจะเดินจากมา อาตมาคล้ายรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอที่มองตามติดอาตมา แม้ระยะห่างของอาตมากับเธอจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการก้าวเดินก็ตาม

เมื่อกลับจากบิณฑบาตและทำวัตรเช้าแล้ว เงาตาของอุบาสิกาคนนั้นก็ยังคงทาบทอในจิตใจอาตมา หรือเธอมีปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ตก เรื่องราวทางโลกอาตมาคงไม่อาจช่วยเหลืออะไรเธอได้ แต่ในเมื่อเธอมีจิตกุศลทำบุญสุนทาน อาตมาก็ได้แต่หวังให้ผลบุญของเธอช่วยให้เธอได้พ้นจากทุกข์ในใจ ได้พบพานปลายทางแห่งความสุข แต่เหตุไฉนเธอจึงยิ้มได้อย่างเบิกบานเช่นนั้น

“หลวงพี่ครับ หลวงพ่อต้องการพบครับ” เสียงเด็กวัดคนหนึ่งร้องเรียกอาตมาที่หน้ากุฏิ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของผมสั่นไหวและส่งเสียงดังขึ้นทุกที ความรุนแรงของการสั่นเตือนและเสียงริงโทนคล้ายกับต้องการขันแข่งกับความเร่งรีบที่ผมกำลังเผชิญ แต่ตอนนี้ผมกำลังวิ่งพุ่งขึ้นบันไดสถานีรถไฟฟ้าเพื่อรีบไปทำงาน ทุกครั้งที่ก้าวขาผมรู้สึกเหมือนสองขาหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“ทำอะไรอยู่เนี่ย โทรไปตั้งหลายครั้ง” แฟนผมซึ่งรอผมอยู่ที่ชานชาลาของสถานีเอ็ดผมทันทีเมื่อเห็นผม

ผมพบเธอครั้งแรกบนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีนี้เมื่อสองปีก่อน ที่ทำงานของเธออยู่ถึงก่อนที่ทำงานผมสองสถานี หลังจากเราตกลงคบกัน เราก็นัดหมายที่จะพบและโดยสารรถไฟฟ้าขบวนเดียวกันไปทำงานทุกวัน ถึงแม้เธอมักจะเอ็ดตะโรใส่ผมอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงความปรารถนาดีที่ถูกซ่อนไว้อยู่ในน้ำเสียงของเธอ

“อ๊ะ...นี่ วันนี้เมนูโปรดคุณ” เธอยื่นข้าวกล่องส่งให้ผมเมื่อเราเดินเข้ามาในขบวนรถไฟฟ้าแล้ว

“คุณคงเสียเวลาน่าดู เอาอาหารทำง่ายๆก็พอแล้ว” ผมรับข้าวกล่องจากมือเธอด้วยความยินดีที่มื้อเที่ยงวันนี้จะได้ทานของที่ชอบจากฝีมือคนที่ชอบ ได้ลิ้มรสอาหารที่ถูกปากจากรสมือของคนที่ถูกใจ ผมอดไม่ได้ที่แง้มฝาข้าวกล่องเล็กน้อยเพื่อสูดกลิ่นอาหารในกล่อง หวังให้โชยกลิ่นอาหารช่วยกลบความหวนหอมจากความรักในใจให้เบาบางลงบ้าง

“มีอะไรเหรอ? ผมมีอะไรติดหน้าหรือเปล่า? วันนี้คุณจ้องผมไม่วางตาเลย” ผมรู้สึกได้ว่าเธอเหม่อมองอากัปกิริยาของผมตลอดโดยไม่ละสายตาจนผิดสังเกต ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับใบหน้าเผื่อมีสิ่งสกปรกหรืออะไรผิดปกติบนใบหน้าของผม

“ไม่มีอะไรหรอก” เธอพูดพร้อมกับเบือนหน้าหลบผม ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าเธอนั่นเองที่ผิดปกติ

“บ๊าย บาย” แล้วก็ถึงสถานีปลายทางของเธอ เธอโบกมือพร้อมกับคลี่รอยยิ้มส่งมาให้ผม ทั้งๆที่ยิ้มของเธอก็ยังมีลักยิ้มเหมือนเดิม รอยยิ้มของเธอก็ยังคงสวยงามเหมือนเดิม แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่ายิ้มของเธอครั้งนี้คล้ายไม่ใช่ยิ้มที่มาจากความสุข แต่เป็นยิ้มที่ฉายออกมาเพื่อบดบังความอึมครึมเศร้าสร้อยบางอย่าง ทำไมผมไม่รู้สึกถึงสายตาของเธอที่มองตามติดมาที่ผมเหมือนเช่นทุกทีนะ ทั้งๆที่ผมก็เหม่อมองเธอซึ่งยังคงหยุดยืนอยู่ที่ชานชาลาแล้วภาพเธอก็ค่อยๆหดเล็กลงตามระยะห่างของผมกับเธอที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อรถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกมา

จู่ๆโทรศัพท์ของผมก็ส่งเสียงดังขึ้น ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูจึงพบว่าเบอร์ที่โทรเข้าเป็นเบอร์หัวหน้าที่ออฟฟิศ

       “สวัสดีครับ หัวหน้า” ผมรีบกดรับแล้วกรอกเสียงตอบกลับทันที

       “วันนี้ เมื่อมาถึงออฟฟิศแล้ว มาพบผมที่ห้องทำงานก่อนนะ” เสียงหัวหน้าที่ปลายสายราบเรียบ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“เธออยู่กับฉันมากี่ปีแล้ว?” หลวงพ่อเจ้าอาวาสเอ่ยคำถามนี้เพื่อทำลายความเงียบหลังจากจ้องมองอาตมาเนิ่นนานคล้ายกับต้องการพิจารณาบางอย่าง

“เจ็ดปีแล้วครับหลวงพ่อ” อาตมาตอบคำถามของหลวงพ่อด้วยความมั่นใจ

“เจ็ดปี...เจ็ดปีแล้วหรือ?” ปากของหลวงพ่อทวนคำ แต่ใจของหลวงพ่อคงกำลังทวนเวลาเก่าในความทรงจำตั้งแต่เจ็ดปีก่อน

“ฉันไตร่ตรองมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว” หลวงพ่อหยุดจังหวะพูด อาตมาสังเกตเห็นสีหน้าของหลวงพ่อกลับมาสงบดุจเดิมอีกครั้ง “ฉันอยากจะขอให้เธอช่วยรับตำแหน่งรองเจ้าอาวาสเพื่อช่วยงานฉันหน่อย”

เมื่อได้ยินคำขอของหลวงพ่อเจ้าอาวาส อาตมาพูดอะไรไม่ออกเลยในทันที หากหลวงพ่อขอร้องให้อาตมาช่วยเหลือภารกิจอันใด อาตมายินดีช่วยเหลือโดยไม่ลังเล แต่กับคำขอนี้ อาตมารู้สึกได้ถึงการก่อตัวของเค้าพายุความรู้สึกต่างๆในทะเลแห่งจิตใจอาตมา ทั้งความหวั่นเกรงต่อภาระที่ต้องรับผิดชอบคนทั้งวัดรองจากเจ้าอาวาส อาตมภาพจะดูแลพวกเขาได้หรือ ทั้งความรู้สึกของคนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นพระและชาวบ้าน พวกเขาจะยอมรับพระหนุ่มคนนี้ได้หรือ และที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกของหลวงพ่อ อาตมากลัวจะทำให้ท่านต้องผิดหวังในภายหลัง

       “ผมคงไม่เหมาะสมหรอกครับหลวงพ่อ ยังมีหลวงพี่อีกหลายท่านน่าจะเหมาะสมกว่าผม” แม้อาตมาจะรู้สึกได้ตลอดมาถึงความไว้วางใจและความเชื่อใจที่หลวงพ่อมีต่ออาตมา แต่สิ่งที่สร้างความกังวลต่ออาตมาจริงๆนอกจากความกลัวต่างๆซึ่งพ่วงท้ายมากับภารกิจใหญ่ครั้งนี้ ก็คือผลกระทบจากการตัดสินใจของหลวงพ่อครั้งนี้จะต้องสะท้อนกลับมาหาหลวงพ่อแน่นอน อาตมาขอรับผลนั้นเองก่อนที่จะถึงตัวหลวงพ่อดีกว่า

“เธออย่าได้หวั่นเกรงเลยจะมีผลสะท้อนใดๆจากการตัดสินใจของฉันครั้งนี้กลับมายังฉัน เธออยู่กับฉันมานาน ฉันรู้ว่าเธอต้องทำได้แน่นอน เธอนั่นแหละ...เหมาะแล้ว” หลวงพ่อพูดย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เปี่ยมเมตตาแววตาที่อ่อนโยนราวกับท่านล่วงรู้ความนึกคิดความกังวลของอาตมาอย่างแจ่มแจ้ง

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“คุณทำงานกับผมมากี่ปีแล้ว?” หัวหน้าเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบ ผมเดาไม่ออกจริงๆว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตากรอบหนาและดวงตานิ่งเรียบของแก

“น่าจะเกือบเจ็ดปีแล้วครับ” ผมไม่มั่นใจคำตอบของตัวเองเท่าไร และไม่แน่ใจวัตถุประสงค์ในคำถามของหัวหน้าด้วย

“เจ็ดปีแล้วสินะ ผ่านไปเร็วจริงๆ” เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแววตาที่แปรเปลี่ยนของหัวหน้า ผมรับรู้ได้ถึงความห่วงใยเอ็นดูที่สะท้อนเป็นเงาของผมขังอยู่ในตาของแก

“ผมพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะกันคุณออกไป แต่บริษัทกำลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก บริษัทจึงมีแผนที่จะปรับลดพนักงานลงอย่างที่คุณทราบ” หัวหน้าหยุดเล็กน้อย ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกผิดที่กระทบความรู้สึกของผมก่อนที่จะได้ยินคำพูดของหัวหน้าต่อมาอีกว่า “ผมขอแสดงความเสียใจด้วย คุณคือหนึ่งในพนักงานที่บริษัทปรับออก” สีหน้าของหัวหน้าไม่คล้ายคนเป็นเจ้านายที่ชี้สั่งบริวารอีกแล้ว แกเหมือนลูกน้องที่กำลังสารภาพความผิดต่อหน้าผู้บังคับบัญชามากกว่า

คงไม่มีข่าวไหนที่จะเป็นข่าวร้ายที่สุดแล้วสำหรับหัวหน้าที่ต้องแจ้งแก่ลูกน้องที่ทุ่มทำงานหนักตลอดมาเหมือนข่าวนี้ น่าแปลกที่จิตใจของผมไม่รู้สึกเสียดายภาระหน้าที่ในบริษัทแห่งนี้เลย ผมไม่รู้สึกห่วงพะวงถึงอนาคตอันไม่แน่นอนจากสถานะการว่างงานที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผม จนผมเองยังรู้สึกแปลกใจ

จบสิ้นกันเสียที งานหนักที่ไม่มีวันหมดสิ้น ภาระอันหนักอึ้งกำลึงถูกยกพ้นจากบ่าของผมที่เริ่มล้าลงเรื่อยๆ

จบสิ้นกันเสียที ความกดดันที่ไร้สภาพ ความกดดันที่คอยกดทับให้ผมโงหัวไม่ขึ้นจากกองงานบนโต๊ะทำงาน

“ผมเข้าใจครับ” ผมยิ้มและพูดออกไปด้วยสีหน้าราวกับนักเดินทางไกลที่ได้พิชิตจุดหมายสำเร็จลง กลับกลายเป็นผมที่ยืนยันความเข้มแข็งให้หัวหน้าได้รับรู้ และเป็นหัวหน้าเสียอีกที่อ่อนแอลงเพราะความรู้สึกผิดที่กัดกินจิตใจ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปลวอัคคีสีแดงฉานฉายดูโดดเด่นในความมืด ความระอุร้อนของมันแผ่รัศมีออกไปเรื่อยๆ สีดำที่ห่มคลุมท้องฟ้าและความเหน็บหนาวของบรรยากาศที่ไร้ดวงอาทิตย์ไม่อาจต่อกรกับไฟประลัยตรงหน้าอาตมาได้เลย กุฏิไม้ของอาตมาและกุฏิข้างๆของพระรูปอื่นๆในวัดกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีให้กับการเผาไหม้ ในขณะที่อาณาเขตของความวอดวายกำลังแผ่ขยายออกไปราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์แต่อาตมาก็ยังคงไม่หยุดที่จะไปตักน้ำใส่ถังมาเทราดรดหน้ากองเพลิง มวลไฟตรงหน้าแทบไม่ได้รับรู้ถึงสัมผัสของมวลน้ำจากสองมือของอาตมาแม้แต่น้อย ยิ่งทุ่มเทแรงกายเข้าใส่หายนะที่กำลังกลืนกินกุฏิของอาตมาเท่าไร แสงอัคคีคล้ายยิ่งลุกรุนแรงโชติช่วงมากขึ้นเท่านั้น แปรผกผันกับแสงสว่างแห่งความหวังในใจของอาตมาที่กลับยิ่งริบหรี่ลงทุกที

ที่กำลังมอดไหม้หาใช่กุฏิไม้ธรรมดาเพียงเท่านั้น หากแต่เป็นกุฏิแสนสงบของอาตมา

ที่กำลังมอดไหม้หาใช่กองหนังสือตั้งกระดาษเพียงเท่านั้น หากแต่เป็นคลังความรู้มากมายที่อาตมาเก็บสะสมมา

อาตมาทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนล้า หากหลวงพ่อเจ้าอาวาสกลับมาแล้ว อาตมาในฐานะรองเจ้าอาวาสจะรายงานท่านอย่างไร แค่ดูแลวัดช่วงที่หลวงพ่อไม่อยู่ไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้เสียแล้ว หลวงพี่หลายท่านที่เคยคัดค้านการตัดสินใจของหลวงพ่อคงอาศัยเหตุนี้ถอดถอนอาตมาแน่นอน โครงการทอดกฐินที่อาตมารับผิดชอบ ชาวบ้านอาจไม่ให้ความร่วมมือเชื่อถืออาตมาในการบริหารดูแลอีก สีกาที่มีลักยิ้มคนนั้นจะเสื่อมศรัทธาต่ออาตมาหรือไม่ แล้วถ้าเธอไม่มาใส่บาตรอาตมาอีกจะทำอย่างไร

นานาคำถามแห่งความกังวลผุดขึ้นในหัวอาตมาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่อาตมากลับไร้ซึ่งคำตอบให้กับความจริงตรงหน้า อาตมาเหม่อมองท้องฟ้าดำเหนือกองไฟแดงด้วยความเลื่อนลอย อาตมาแยกไม่ออกว่าความจริงเลวร้ายนี้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งในผืนรัตติกาลแห่งความทุกข์ หรือเป็นแค่ความฝันร้ายๆในค่ำคืนหนึ่งของชีวิตที่ไร้แสงดาว

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปลวอัคคีสีแดงฉานฉายดูเด่นใต้เมรุ เชื้อไฟค่อยๆลามเลือโลงไม้อย่างช้าๆ กลุ่มควันพวยพุ่งออกจากปล่องราวกับถูกอัดอั้นไว้มานาน ผิวกายของผมไม่ได้รับสัมผัสของความร้อนระอุจากการเผาไหม้แม้แต่น้อย เช่นเดียวกับจิตใจของผมที่กลับสงบร่มเย็นอย่างประหลาด ทั้งๆที่ร่างซึ่งไร้ลมหายใจในโลงคือหญิงสาวที่มีลักยิ้มและมีความรักให้ผมมาเกือบสองปี

หลังจากที่เธอได้มอบข้าวกล่องอาหารที่ผมชอบในรถไฟฟ้าวันนั้น เธอก็ไม่ติดต่อหาผมอีกเลย อยู่ดีๆเธอก็หายไปจากชีวิตของผม รู้ข่าวอีกที ผมก็ได้เห็นเธอนอนหลับตลอดกาล ไร้รอยยิ้ม ไร้ลักยิ้ม และไร้ลมหายใจ อยู่ในวัดแห่งนี้แล้ว

เธอเคยบอกกับผมว่าเมื่อคบกับเธอแล้ว อย่าคาดหวังตั้งมั่นในตัวเธอมาก เพราะเธอเป็นคนไม่แน่นอน อยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป บางวันเธอก็ทำให้ผมมีความสุข แต่บางวันเธอก็นำความทุกข์มาให้ผม ก็มีบ้างที่เธอใช้เหตุผลกับผม แต่ก็ไม่น้อยที่เธอชอบใช้อารมณ์ เธอยังเคยบอกว่าผมเป็นผู้ชายที่เรียบง่ายซื่อๆจนบื้อ เธอคงทนผมได้ไม่นาน ถ้าเธอเบื่อผมเมื่อไร เธอก็จะหายไป บางทีเธอก็หายไปเพียงไม่นานสองสามวันก็กลับมา บางทีก็เป็นอาทิตย์ แล้ววันนี้ผมได้รู้แล้วว่าเธอจะหายจากชีวิตผมตลอดกาล

ส่วนชีวิตของเธอนั้นผมคิดว่าคงถูกเธอใช้จนคุ้มค่าแล้ว โรคร้ายที่คอยกัดกินเธอ พรากเธอไปได้เพียงร่างกาย แต่ไม่อาจแยกเธอจากความทรงจำที่เธอได้ทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง แม้ผมไม่เคยรู้เบื้องหลังชีวิตของเธอหลังจากแยกกับผมที่สถานีรถไฟฟ้าในทุกครั้งที่เจอกัน ซึ่งเธออาจจะมีใครคนอื่นอีกนอกจากผม หรือเธออาจจะมีอีกตัวตนที่แตกต่างเมื่อไม่อยู่ต่อหน้าผม ผมก็ไม่เคยคิดที่จะสนใจ แค่ช่วงเวลาที่เจอกันผมมีความรักให้เธอ เธอมอบความรักให้ผม ก็เพียงพอแล้ว ผมกับเธอเราต่างรู้สึกเหมือนกันในช่วงวังวนของชีวิตที่เวียนมาบรรจบกัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว คล้ายกับเราต่างรู้ดีว่ามีตรวนแห่งความไม่แน่นอนที่คอยพันธนาการเราอยู่ วงเวียนชีวิตในแต่ละวงรอบมีทั้งรอยจารึกที่มีความสุขและรอยแผลแห่งความทุกข์ให้เรารำลึก เราต่างก็ไม่ได้เป็นเจ้าของกันและกัน เธอไม่ได้เป็นเจ้าของผม ผมก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเธอ เป็นความรักที่ไม่ต้องการครอบครอง อยู่เหนือความต้องการ อยู่เหนือสัญชาตญาณ

ต่อแต่นี้เธอจะเป็นเพียงแค่ความหลังที่ทิ้งรอยไว้ในเส้นทางความทรงจำ เธอไม่มีชีวิตอีกแล้วในชีวิตของผม ผมมองเห็นอิสระมองเห็นความว่างเปล่าเหนือรอยทางความสุขความทุกข์บนเส้นทางที่ทอดจากนี้ไป ความรักระหว่างผมกับเธอนั้นเป็นเพียงสิ่งสมมุติราวกับความฝัน การหลับใหลชั่วนิรันดร์ของเธอช่วยปลุกผมให้ตื่นมองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิตที่แท้จริง

จากคุณ : Shaolin boy
เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 55 15:44:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com