Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๖ : ตัดสินใจ (ท่อนจบ) ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๖ : ตัดสินใจ (ท่อนจบ)


อาทิตย์ไขแสงได้เพียงไม่นาน พระนางปริชมันก็เรียกตัวนางข้าหลวงที่เข้าเวรเมื่อคืนนี้มาสอบสวนทวนความตัวต่อตัวในห้อง ทุกนางยืนยันตรงกันว่ากฤษณามิได้ออกจากเรือนไปที่ใดเลย และยังเห็นนางง่วนอยู่ด้วยหน้าที่ของตนจวบถึงเพลาที่พระนางปริชมันคืนเรือนในตอนสองยาม คราวนี้พระนางปริชมันกลับเป็นฝ่ายหวั่นใจเสียเอง กฤษณามีพยานยืนยันที่อยู่ชัดเจนเยี่ยงนี้ แล้วผู้ใดเล่าคือไส้ศึกตัวจริง


กระทั่งล่วงเข้าเพลาสาย เจ้าชายกฤตมุขจึงมาที่เรือนมารดาด้วยท่าทีร้อนใจยิ่ง ครั้นปะหน้าพระนางปริชมัน ลูกชายคนเดียวก็แทบจะตรงเข้าฉุดมือพระนางปริชมันลงจากเรือนเสียเดี๋ยวนั้น

“ประเดี๋ยว กฤตมุข เจ้าจักพาแม่ไปที่ใด จู่ๆ ก็เข้ามายื้อยุดกันเยี่ยงนี้”

“เรื่องร้อนแม่ท่าน ไอ้ศารทูลมันทำเรื่องเสียแล้ว”

“ศารทูล ทำเรื่องอันใด แม่ไม่เข้าใจ”

“เถิด แม่ท่าน ไปดูด้วยตาดีกว่า ลูกคร้านจักขยายความ พูดไปแม่ท่านก็คงไม่เชื่อลูกหรอก”

“ก็มันทำกระไรเล่า แล้วไฉนแม่ต้องไปดูด้วยตัวเองเยี่ยงนี้”

เจ้าชายกฤตมุขระบายลมหายใจยาว มองหน้ามารดาตนเองนิ่ง

“ศารทูลฆ่าชาลัมกับพวก เพลานี้เรื่องไปถึงพ่อท่านแล้ว พ่อท่านกำลังจักออกศาลาลูกขุนด้วยตนเอง”

พระนางปริชมันถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งกับขั้นบันไดอย่างสิ้นแรง ศารทูลลงมือฆ่าชาลัมกับพวก มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร ในเมื่อชาลัมเป็นถึงมือขวาที่ศารทูลไว้ใจที่สุด ไม่จริง มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกฤตมุข เจ้าเห็นด้วยตาตนหรือฟังคนอื่นพูดมาอีกต่อหนึ่ง”

“แม่ท่าน”

เจ้าชายกฤตมุขทอดเสียงอ่อนลงพลางทรุดตัวลงนั่งที่ขั้นบันไดถัดลงมาจากมารดาสองขั้น เพลานี้ดูเหมือนลูกชายจะคุมสติได้ดีกว่า

“ลูกเองก็ไม่รู้ว่าไฉนเรื่องเยี่ยงนี้จึงเกิดขึ้นได้ แรกที่รู้ก็รุดไปดูด้วยตาตนเอง ชาลัมถูกฆ่าจริงแท้แม่ท่าน ศพเพิ่งถูกขุดพบที่สวนท้ายเรือนของศารทูลเอง แรกที่เห็นลูกคิดว่าเป็นการใส่ไคล้ หากมองที่เล็บมัน เศษดินยังติดอยู่ ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้แม่ท่าน”

“เศษดินรึ”

“ใช่ ลูกว่าเพลานี้เราไปที่ศาลาลูกขุนเถิด ลูกใคร่รู้นักว่าเป็นด้วยเหตุใดไอ้ศารทูลมันจึงทำเยี่ยงนี้”

เหตุผลรึ ก็มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวนั่นล่ะ คำสั่งลับที่ออกมาจากพระนางโดยตรงแม้เจ้าชายกฤตมุขเองก็ไม่ล่วงรู้ ศารทูลลงมือเองเยี่ยงนี้จะคิดเป็นอื่นคงมิได้ ไม่คิดเลยว่าคนที่แสดงชัดเจนว่าความภักดีมาตลอดหลายปีที่ผ่าน แท้แล้วจะซ่อนคมเอาไว้ได้ถึงเพียงนี้ บัดนี้ไม่แปลกใจแล้วว่าไฉนแผนการที่มุ่งหมายกำจัดเจ้าหญิงจามเทวีจึงล่มลงเสียหลายครั้งหลายหน


ทว่าเมื่อไปถึงศาลาลูกขุน สองแม่ลูกก็ถูกทหารกันไว้มิให้เข้าไป พระนางปริชมันร้อนใจไม่น้อยทำท่าจะฝ่าเข้าไปด้านในให้จงได้ มิไยที่ทหารจะบอกว่าเป็นคำสั่งของพ่ออยู่หัวก็ตามที เสียงเอะอะที่ดังเข้าไปถึงด้านในทำให้พ่ออยู่หัวต้องลุกออกมาดูเหตุการณ์ด้วยตนเอง ครั้นเห็นคนต้นเรื่องก็ชักสีหน้าไม่ชอบใจนัก พลางถามเสียงเย็น

“คำสั่งข้าสิ้นความศักดิ์สิทธิ์เสียแล้วฤๅ ปริชมัน กฤตมุข”

พระนางปริชมันหน้าเสียไปนิด ด้วยแต่ไหนแต่ไรมาพ่ออยู่หัวไม่เคยใช้น้ำเสียงเยี่ยงนี้กับนางมาก่อน ยิ่งวิตกไปว่าศารทูลจะกล่าวซัดทอดมาถึงพระนางแล้วกระมัง

“มิได้เจ้าค่ะ พ่ออยู่หัว เพียงแต่ข้ากับลูกใคร่ขอเข้าไปฟังการตัดสินความเท่านั้น”

“แปลกจริง แต่ก่อนเราไม่เคยเห็นเจ้าสนใจ”

“เอ้อ...คือ”

พระนางปริชมันพูดไม่ออก พอหันไปทางเจ้าชายกฤตมุขหวังจะให้ช่วยก็พบว่าเจ้าตัวจนต่อคำพูดเช่นกัน จอมคนลวปุระยิ้มเยียบเย็นนัก

“ผลตัดสินความจักออกมาเยี่ยงไร เราจักให้ตระลาการแจ้งข่าวไปทั่วเมืองเอง อย่าใจร้อนนักเลยปริชมัน อีกประการเล่า คนที่อยู่ในศาลาลูกขุนเพลานี้นอกจากตระลาการ เรา และรามราชแล้ว ที่เหลือก็คือพยานที่จักเบิกความกับผู้ต้องสงสัยเท่านั้น เห็นฤๅไม่ ทุกคนล้วนเกี่ยวพันด้วยจำเลยทั้งสิ้น เจ้ากลับไปรอฟังข่าวเห็นจักดีกว่ากระมัง”

“แต่ศารทูลเป็นคนของลูกนะพ่อท่าน”

คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นข้างหนึ่งเมื่อยินวาจานั้น สายตาคมกริบแลมาทางลูกชายคนโตราวจะมองลึกเข้าไปในจิตใจจนเจ้าชายกฤตมุขยังอดร้อนๆ หนาวๆ มิได้

“ยิ่งเป็นคนของเจ้าสิยิ่งเข้าไปมิได้ เราต้องการความสัตย์ หาใช่วาจาที่เกิดด้วยความกลัวเกรงไม่ เข้าใจที่พ่อพูดใช่ฤๅไม่ กฤตมุข”

“เจ้ารามยัง...” เจ้าชายกฤตมุขไม่ยอมแพ้

“เจ้ารามจักดำรงยศมหาอุปราชอีกไม่กี่เพลา การใดที่พ่อออกว่าเองมิได้ เจ้ารามต้องกระทำแทน เยี่ยงนี้แล้วพ่อจึงให้มาด้วย เพื่อให้รู้ว่าการภายในลวปุระเป็นเยี่ยงไร ใช่เพียงพวกเจ้าเท่านั้นที่ใคร่รู้เรื่องราว คนอื่นๆ ก็ยังมีอีกมาก แต่เขาก็ไม่มาวุ่นวายกระไรที่นี่ เราพูดเท่านี้พวกเจ้าคงเข้าใจ”    

พระนางปริชมันหน้าผ่าวร้อนด้วยความอายที่ถูกพ่ออยู่หัวออกปากไล่ต่อหน้าทหาร สุดที่จะทนยืนอยู่ตรงนั้นได้อีกสืบไปจึงฉุดมือเจ้าชายกฤตมุขเดินลิ่วกลับออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจอาการขัดขืนของผู้เป็นลูกชายสักนิดเดียว พ่ออยู่หัวธรรมปารัชส่ายศีรษะอย่างระอาใจนักก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านในศาลาลูกขุน


เพลาเดียวกันนั้น คนที่เป็นเป้าหมายถูกกำจัดก็เพิ่งทราบเรื่องที่เกิดขึ้นจากคนสนิททั้งสี่นาง เจ้าหญิงจามเทวีถึงกับถอนใจใหญ่พร้อมกวาดตามองทั้งสี่นาง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย ซ้ำเพลานี้พ่ออยู่หัวยังออกตัดสินความโดยไม่ยอมให้ตนติดตามไปด้วยเช่นทุกคราอีก กลับให้เจ้าชายรามราชที่จะกินตำแหน่งมหาอุปราชในอีกไม่กี่วันนี้ติดตามไปแทน

“เมื่อคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ เราจักไม่ถามพี่เกษวดีกับพี่ปทุมวดี เพราะอยู่ด้วยเราตลอด พี่มธุรึ ถามไปก็เท่านั้นด้วยพี่จันทรีว่าเยี่ยงไรก็ว่าตามกันอยู่ร่ำไป เช่นนั้นแล้ว พี่จันทรี เล่าให้เราฟังตามตรง เมื่อคืนพี่ทำสิ่งใดบ้าง อย่างำความเทียว”

จันทรียิ้มแหย ต่อให้นางดุและเก่งกล้าสามารถทางไสยอาคมสักเท่าใด หากอยู่ต่อหน้าเจ้าหญิงจามเทวีนางก็กลายกลับเป็นแมวน้อยที่ซ่อนเล็บอยู่นั่นเอง นางเล่าความตั้งแต่ต้นไปตลออดปลาย แล้วตบท้ายด้วยการบอกว่า

“ข้านำร่างของชาลัมกับพวกของมันไปที่เรือนของศารทูลเจ้าค่ะ เรียกวิญญาณให้มาสิงสู่แล้วพาเดินไป จากนั้นก็สะกดให้ศารทูลลุกขึ้นมาขุดหลุมฝังพวกมันกับมือตนเอง ข้ารับรองแม่นายได้ว่าจักไม่มีผู้ใดรู้ความนี้ ประจักษ์พยานทั้งปวงล้วนมัดศารทูลแน่นหนา”

“ประจักษ์พยานรึ”

“ทาสในเรือนของศารทูลเจ้าค่ะ มันบังเอิญมาพบพอดี ใช่เพียงหนึ่งหรือสอง หากราวสิบคนเห็นจักได้ เพราะสวนทางนั้นเป็นทางลัดไปสู่ท่าน้ำเจ้าค่ะ”

“แล้วพวกนั้นจักกล้ายืนยันฤๅ ศารทูลเป็นนายเงินอยู่นะพี่”

“นายเงินที่บีบบังคับข่มเหงทาสเหมือนมิใช่คน ได้โอกาสเอาคืนเยี่ยงนี้มีฤๅจักปล่อยไป พระธรรมศาสตร์มิให้เด็กเจ็ดข้าวเฒ่าเจ็ดสิบเป็นพยาน เท่านั้น หาได้ห้ามทาสเป็นพยานนี่เจ้าคะ ขอเพียงเบิกความตามจริงเท่านั้น”

จันทรีบอกยิ้มๆ ขณะที่เจ้าหญิงจามเทวีถอนใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกครั้ง ค่าที่แต่ละคนช่างกล้าหาญชาญชัยจนน่ากลัวอันตรายทั้งสิ้น    

“ทางกฤษณาเล่า”

“หายากไม่เจ้าค่ะ เพียงใช้หุ่นเสกแทนตัวนางเอาไว้ เท่านี้ก็เสมือนว่านางมิได้ไปที่ใดเลย เมื่อกฤษณากลับไปถึงเรือนข้าก็เรียกกลับเท่านั้น”

“กล้ามากเกินไปแล้วพี่จันทรี มธุก็เหมือนกัน ไยต้องทำรุนแรงถึงเพียงนี้ ทำการใดไยไม่คิดให้รอบคอบ”

“เพลานั้นคับขันมากเจ้าค่ะแม่นาย หากไม่เร่งลงมือกฤษณาจักเป็นอันตรายได้ มธุเห็นข้าทำก็พลอยตกกระไดพลอยโจนไปด้วย”

จันทรีรีบออกรับแทนนางข้าหลวงรุ่นน้อง ด้วยเกรงนางจะพลอยต้องรับโทษไปด้วยอีกคน

“จักว่าเยี่ยงไรดีหนอ แต่ละคนช่างบุ่มบ่ามใจร้อนนักเทียว”

“อาคมของพี่จันทรีนี้ยากจักหาผู้ใดในลวปุระเทียมเทียบได้เจ้าค่ะ แม้ข้าเองยังต้องยอมพ่าย”

มธุบอกพร้อมรอยยิ้มสดใส แต่ก็กลับหน้าม่อยลงอีกครบเมื่อเจ้าหญิงจามเทวีปรายตามองมาดุๆ

“เก่ง เลยประมาทกระนั้นรึ เกิดมีผู้ใดจับได้เล่าจักว่าเยี่ยงไร สี่ตีนยังรู้พลาดมิเคยได้ยินบ้างหรือไร แล้วช่วยกันปิดความดีนักล่ะ แทนที่จักหารือกันสักหน่อย คราหน้าไม่เอาแล้วนะ จักทำสิ่งไรวานมาบอกเราสักนิดก็ยังดี”

สี่สาวหน้าม่อยลง เพราะรู้ถึงความผิดของตนดี เจ้าหญิงจามเทวีไม่ว่าอย่างไรกลับลุกขึ้นจากตั่ง เกษวดีเห็นก็รีบถาม

“แม่นายจักไปที่ใดเจ้าคะ”

“ไปหาแม่ท่าน เมื่อวานยินว่าอาการไม่ใคร่สู้ดีนัก จักไปหาก็ติดงานเสียก่อน”

“เช่นนั้นพวกข้าขอ....”

สี่สาวพูดขึ้นพร้อมกัน แต่คนเป็นนายยืนกอดอกมองจ้องมาทำเอาทั้งหมดต้องเงียบเสียงลง

“พี่ปทุมวดีไปกับเราคนเดียว ส่วนพวกพี่อยู่ที่นี่ล่ะ ไม่ต้องตามไป อ้อ! แล้วไม่ต้องแอบไปที่ศาลาลูกขุนด้วยไม่ว่าจักไปเองหรือใช้วิธีการใดๆ ก็ตาม คนที่จักมาบอกข่าวนั้นมีอยู่ ถ้าเรากลับมาไม่เห็นพวกพี่ล่ะก็ อย่าหาว่าจามเทวีใจร้ายเทียว”

สามคนที่เหลือต่างมองตากันปริบๆ เจ้าหญิงจามเทวีดักทางทุกทางเสียแล้ว ที่คิดเอาไว้ว่าหากนายสาวคนสวยลงเรือนไปเมื่อใดก็จะให้จันทรีช่วยส่งโหงพรายไปสืบความก็เป็นอันเหลว ด้วยแม่นายท่านรู้แกวเสียแล้ว ทั้งการให้อยู่แต่บนเรือนนี่ไม่ผิดอันใดกับการลงโทษเลยสักนิด สามสาวมองหน้ากันแล้วถอนใจเฮือกออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย  


แม่อยู่หัวมัญชรีเห็นธิดาคนเดียวก้าวเข้ามาในห้องก็ขยับจะยันกายขึ้น หากเจ้าหญิงจามเทวีปราดเข้ามากดไหล่มารดาลงนอนดังเดิม ก่อนจะไหว้แล้วทรุดตัวลงนั่งพับเพียบข้างแท่นของแม่อยู่หัวนั่นเอง นางข้าหลวงทั้งหลายรู้งานจึงพากันเลี่ยงหลบไปโดยมิพักต้องรอให้ผู้เป็นนายสั่ง จอมนางลวปุระยกมือขึ้นลูบแก้มนวลธิดาอย่างแสนรัก

“เป็นเยี่ยงไรบ้างลูก เมื่อคืนสนุกฤๅไม่”

“พวกผู้ชายสนุกมากกว่าเจ้าค่ะแม่ท่าน ลูกกับพี่ๆ ได้แต่นั่งดู จิบเหล้าไปน้อยหนึ่งพองาม อยากมาหาแม่ท่านก็มามิได้”

เจ้าหญิงจามเทวีจงใจไม่พูดถึงเรื่องร้ายทั้งปวงที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้แม่อยู่หัวมัญชรีไม่สบายใจ ทว่าดูเหมือนท่านจะรู้ความอย่างเลาๆ จากปากนางข้าหลวงที่เล่าความสู่กันฟังเอง โดยไม่ได้ระวังว่าผู้ใดจะมาได้ยินบ้างแล้ว แววตาที่ทอดมองเจ้าหญิงน้อยจึงเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างปิดไม่มิด

“แน่ฤๅ แม่ยินว่าเจ้ากฤตมุขโวยวายเพลาที่พ่ออยู่หัวท่านตั้งเจ้ารามเป็นมหาอุปราช”

“แม่ท่านรู้”

“วิสัยหญิง พอจับกลุ่มกันได้จักไม่เจรจาความหรือนินทากาเลนั้นมีรึ” แม่อยู่หัวบอกกลั้วหัวเราะน้อยๆ “อันที่จริงก็พอกันทั้งชายหญิง สุดแต่ว่าจักมากหรือน้อยเท่านั้น ลูกยังมิได้ตอบแม่เลยว่าจริงฤๅไม่”

“จริงเจ้าค่ะ แต่ก็แค่โวยวาย ด้วยไม่มีผู้ใดใส่ใจพี่กฤตมุขประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งคือน้าปริชมันท่านปรามลูกชายไว้ก่อนที่จักมีเรื่องเจ้าค่ะ”

“ปริชมันน่ะรึปราม ที่ผ่านมาแม่เห็นนางตามใจเจ้ากฤตมุขอยู่ร่ำไป”

“เจ้าค่ะ”

เจ้าหญิงจามเทวีตอบรับไป ไม่ปรามได้เยี่ยงไรในเมื่อพระนางปริชมันคิดทำการใหญ่อยู่ จะปล่อยให้เจ้าชายกฤตมุขทำตนให้ข้าราชบริพารยิ่งเสื่อมศรัทธามากกว่านี้กระไรได้ ซ้ำเมื่อคืนนี้เจ้าตัวยังก่อเหตุซ้ำ ดีที่ไม่มีผู้ใดทราบความข้อนี้ แต่ก็อีกนั่นล่ะ เพลานี้การเบิกความที่ศาลาลูกขุนจะเป็นเช่นไรก็สุดรู้ คนอย่างศารทูลจู่ๆ ก็มาต้องโทษหนักเยี่ยงนี้ จะไม่พลั้งปากพาดพิงถึงตัวนายเลยฤๅ

“เป็นกระไรไปเจ้าดอกจำปาของแม่”

แม่อยู่หัวมัญชรีโปรดที่จะเรียกธิดาน้อยด้วยคำนี้เพลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง เจ้าหญิงจามเทวีซ่อนความกังวลด้วยการส่งยิ้มให้มารดา

“เปล่าเจ้าค่ะ”

“ขอให้เป็นดั่งคำลูกว่าเถิด พ่ออยู่หัวท่านตั้งเจ้ารามเป็นมหาอุปราชเยี่ยงนี้ แล้วการที่รามนครนั้นเล่าจักทำฉันใด ให้เทียวไปเทียวมาสองเมืองเห็นจักลำบากเอาการอยู่”

“ลูกยังไม่รู้เลยเจ้าค่ะแม่ท่าน ทั้งพ่อท่านทั้งเจ้าพี่รามยังไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย ลูกไม่แน่ใจว่าเจ้าพี่รามจักตัดสินใจเยี่ยงไร”

“เมื่อเช้าพ่ออยู่หัวมาที่นี่ มาหารือแม่ว่าถ้าจักกำหนดฤกษ์ใหม่ ให้ลูกออกเรือนด้วยเจ้ารามหลังขึ้นตรุษใหม่จักว่ากระไร”

“ไยพ่อท่านจึงเร่งนักเจ้าคะ ก็ฤกษ์เดิมอีกสองปีมิใช่ฤๅ”

เจ้าหญิงจามเทวีตกใจจริงๆ ที่อยู่ไม่อยู่พ่อท่านก็ใคร่เร่งลูกสาวออกเรือนถึงเพียงนี้ รอยกังวลที่ซ่อนไว้เมื่อครู่ก็พลันฉายชัดในแววตา แม่อยู่หัวมัญชรีเห็นเข้าก็พอนึกรู้ ถึงพระนางจะนอนเจ็บอยู่เยี่ยงนี้แต่หูตาของพระนางก็มีอยู่ทั่วไป มือเรียวเอื้อมแตะมือลูกสาวแล้วบีบเบาๆ

“แม่เห็นดีด้วยพ่ออยู่หัว ไฟในลวปุระร้อนและแรงขึ้นทุกที ถ้าลูกของแม่อยู่ห่างจากไฟได้จักดีใจนัก”

“เจ้าพี่รามจักยอมฤๅเจ้าขา มาตรว่ายอม เยี่ยงไรเจ้าพี่รามก็ต้องทำราชการอยู่ในลวปุระอยู่นั่นเอง”

“แม่ไม่คิดเยี่ยงนั้นหรอก เจ้ารามถนอมดอกจำปาดอกนี้เยี่ยงไรไยแม่จักไม่รู้ไม่เห็นเล่า แล้วลูกตรองดูเถิด วิสัยเจ้ารามไม่ใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง ที่เขายอมรับยศมหาอุปราชโดยไม่เกี่ยงงอน ไม่สิ ต้องบอกว่าเกี่ยงน้อยที่สุดทั้งที่เจ้าตัวไม่เต็มใจนั่นล่ะ เป็นด้วยเหตุผลกลใดแน่ มิใช่เพราะอยากกันตัวลูกให้อยู่ในที่ปลอดภัยหรอกฤๅ”

อีกคำรบหนึ่งที่เจ้าหญิงจามเทวีนิ่งเงียบ ไฟริษยาและความกระหายในอำนาจของบรรดาขัตติยราชทั้งหลายนับวันยิ่งแรงร้อน ความจริงข้อนี้ทุกคนในราชสำนักลวปุระรู้ดี และคำตัดสินโทษของศารทูลในวันนี้ก็อาจเป็นได้ทั้งน้ำดับไฟ หรือจะเป็นน้ำมันที่ซัดให้เพลิงโหมหนักขึ้นก็ได้ทั้งสิ้น แต่จะให้ทนนิ่งเฉยแล้วหลบเลี่ยงไปอยู่ที่รามนครตามที่คนรอบข้างต้องการได้ฤๅ ในเมื่อเชื้อไฟชั้นดีคือจามเทวีคนนี้ การไปอยู่รามนครก็แค่หน่วงเพลาให้ช้าลงเท่านั้นเอง


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 17:02:10




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com