Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนตราปาหนัน บทที่ ๑๐ : แกะรอยอดีต ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๐ : แกะรอยอดีต


สถานที่นั้นกะด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะมีอาณาบริเวณราวสองไร่เศษ ที่แต่เดิมเป็นบ้านพักส่วนบุคคล แต่ด้วยภาวะทางเศรษฐกิจหลังฟองสบู่แตก ทำให้เจ้าของบ้านต้องดัดแปลงพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งทำเป็นร้านอาหาร การตกแต่งอย่างง่ายๆ ด้วยบรรยากาศกลางสวน ทำให้ดูร่มรื่นและไม่ร้อนจนเกินไปนัก โต๊ะเก้าอี้ที่วางเรียงเป็นระเบียบ กระจายอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ใบหนารอบสวน  ทำให้พื้นที่โดยรอบดูโปร่งสบายไม่แออัด แม้จะมีลูกค้าทยอยเข้ามาเรื่อยๆ มิได้ขาด ยุวดีเป็นคนเลือกร้านนี้เองเพราะเห็นว่าอาหารอร่อยและราคาไม่แพงมากนัก พอหล่อนบอกชื่อร้าน คนรับเป็นเจ้ามือก็ส่ายหัว

“คุณยุ แพงกว่านี้ก็ได้ ผมไม่ว่าอะไรคุณหรอก ก็บอกแล้วว่าจะเลี้ยง”

“เพราะ 'จะเลี้ยง' นั่นแหละค่ะ ยุถึงยิ่งต้องเกรงใจ อีกอย่างร้านนี้ก็ใกล้บ้านยุด้วย อาจารย์จะได้ไม่ต้องลำบากไปรับไปส่งยุไงคะ”

“ผมละหน่ายกับความขี้เกรงใจของคุณจริงๆ ผมกะว่าถ้าคุณเลือกร้านแพงๆ ผมจะแกล้งลืมกระเป๋าเงินแล้วให้นายธุจ่ายซะหน่อย อดเลย เฮ่อ”


อติรุทธ์แกล้งบ่นไปอย่างนั้นเอง ถึงอย่างไรเขาก็เคารพการตัดสินใจของหล่อนอยู่วันยังค่ำ เพราะถ้ายังจะฝืนใจหล่อนด้วยการเลือกร้านตามความเหมาะสมของตนเอง หล่อนต้องปฏิเสธไม่ยอมรับแน่  


นิ้วเรียวสะกิดมือคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดูรายการอาหารอยู่ให้เงยหน้าขึ้น ก็เห็นผู้ร่วมโต๊ะพยักเพยิดให้ตนเองดูอะไรบางอย่างทางหน้าร้าน พอหันไปก็อมยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงสวมเสื้อโปโลสีเทาอ่อนแกมฟ้ากับกางเกงยีนส์สีขาวส่งให้เจ้าตัวดูคล้ายหนุ่มน้อยดูแปลกตาไปจากที่เคยเห็น เดินเคียงข้างเข้ามากับหญิงสาวร่างโปร่งระหงในชุดเดรสสีชมพูกุหลาบสั้นเหนือเข่าคืบหนึ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มปล่อยยาวถึงกลางหลัง คาดทับด้วยที่คาดผมสีขาวเข้ากับเข็มขัดผ้าและกระเป๋าสะพายใบเล็กสีเดียวกันที่เจ้าตัวใช้อยู่ ทั้งสองยืนเหลียวซ้ายแลขวาหาคนที่นัดไว้ พอเห็นสินธุยกมือขึ้นโบกหยอยๆ มาจากชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ต้นมะม่วงก็ยิ้ม ฝ่ายชายยกมือขึ้นตอบรับแล้วจึงแตะแขนฝ่ายหญิงให้เดินไปด้วยกัน

“นี่หรือคะคุณปาหนัน สวยดีนะคะ สมกับอาจารย์รุทธ์”

ยุวดีบอกอย่างชื่นชม สายตาผู้หญิงด้วยกันมองปราดเดียวก็รู้ว่าดวงหน้าสวยหวานนั้นไม่ได้แต่งแต้มเครื่องสำอางอื่นใดเลยนอกจากนวลแป้งเด็กเบาบางและลิปกลอสเท่านั้น สินธุฟังประโยคหลังแล้วก็ยิ้มอย่างเห็นด้วย  

“ใช่ นี่แหละ ไม่แปลกใช่ไหมที่พระฤๅษีของเราจะตบะแตกได้”

“เฮ้อ! เห็นอย่างนี้แล้วยุค่อยโล่งใจหน่อย คนที่ตามเกาะติดจะได้หมดหวังเสียที”

ยุวดีบอกกลั้วหัวเราะพลอยให้คู่สนทนาหัวเราะตามไปด้วย ก่อนจะบอกว่า

“ไม่แน่หรอกคุณยุ คุณรู้จักยายตีรันน้อยไป กล้วจะยิ่งแผลงฤทธิ์หนักกว่าเดิมสิไม่ว่า แม่นี่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซะด้วย”

หญิงสาวยิ้มขำกับสรรพนามที่สินธุใช้เรียกมิรันตี ก็อาจเป็นไปได้อย่างที่เขาว่า แต่หล่อนคิดว่าช่วงนี้มิรันตีคงไม่กล้าออกฤทธิ์หรอก ดูเจ้าหล่อนจะแหยงๆ ห้องทำงานของอติรุทธ์ด้วยซ้ำไปตั้งแต่เจอเหตุการณ์ประหลาดจนเป็นล้มลมพับเมื่อวันก่อน ทั้งที่อาจารย์หลายคนยืนยันแล้วว่ามิรันตีตาฝาดเห็นรูปวาดในห้องของอติรุทธ์มีชีวิตไปเองแท้ๆ


“ขอโทษที่มาช้าว่ะ พอดีตามหาบ้านหนันอยู่น่ะ”

อติรุทธ์บอกทันทีที่มาถึงโต๊ะพลางนั่งลงข้างสินธุ ส่วนปาหนันนั่งลงข้างยุวดี หญิงสาวได้ยินเหตุผลที่เขาบอกกับเพื่อนแล้วก็ย่นจมูกใส่

“ก็หนันบอกแล้วว่าไปเองได้ คุณนั่นแหละดื้อบอกจะมารับ เตือนแล้วก็ไม่ฟังว่าบ้านหนันซอยเล็กซอยน้อยเยอะ คุณไม่ฟังเองนี่คะ”

“สุดท้ายผมก็พบไม่ใช่เหรอ เอาน่าอย่าเพิ่งต่อว่ากันเลยครับ เดี๋ยวผมแนะนำเพื่อนใหม่ให้คุณก่อน นี่ยุวดี เลขานุการอเนกประสงค์ประจำภาควิชา ส่วนลูกหมูตัวกลมๆ ที่นั่งเคี้ยวของว่างตุ้ยๆ ไม่สนใจชาวบ้านอยู่ข้างคุณยุนั่นคือมิสเตอร์ต้น คุณยุ นี่ปาหนัน พยาบาลพิเศษของนายแม่ เอ้อ แม่ของนายธุเขาน่ะ พวกผมเรียกนายแม่”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณปาหนัน เรียกยุก็ได้ค่ะ สั้นดี” ยุวดีส่งยิ้มให้ปาหนันอย่างเป็นมิตร ก่อนหันไปทางลูกชายคนเดียวที่นั่งขนาบอีกด้านหนึ่งของตน “ต้นครับ สวัสดีลุงรุทธ์กับอาหนันหรือยังครับ”

ยุวดีกะดูแล้ว คิดว่าปาหนันน่าจะอ่อนกว่าหล่อนสักปีหรือสองปี ให้ลูกชายเรียกว่าอาน่าจะเหมาะกว่า เจ้าตัวป้อมวางส้อมที่จิ้มไส้กรอกทอดลงในจาน แล้วหันมายกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนแผล็บหนึ่ง

“สวัสดีคับ”

เท่านั้นเองที่เด็กชายต้นทักทาย ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับของกินต่อ คนเป็นแม่ถึงกับส่ายหัว

“อย่างนี้ทุกที ได้ของชอบแล้วเป็นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”  

“เด็กน่ะคุณยุ อย่าไปว่าแกเลย”

สินธุบอก นัยน์ตามองเด็กชายที่ตั้งอกตั้งใจจิ้มไส้กรอกกินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความเอ็นดู เขามองเลยมาทางแม่เด็กด้วยแววตาอ่อนโยน แต่คนถูกมองไม่รู้ตัวเพราะกำลังช่วยกันกับเพื่อนใหม่เลือกอาหารอยู่ อติรุทธ์เพิ่งรินน้ำใส่แก้วให้ปาหนันกับตนเองเสร็จ หันมาเจอสายตาของสินธุก็แกล้งเอาศอกกระทุ้งเพื่อนเบาๆ ก่อนโน้มตัวกระซิบถาม

“ชอบเขา ทำไมไม่บอกล่ะวะ มัวแต่มองเป็นแมวจ้องปลาทองในตู้ไปได้”

“บอกไปตั้งหลายทีแล้ว คุณยุก็คิดว่าฉันพูดเล่นทุกที”

สินธุบอกด้วยน้ำเสียงท้อๆ คนที่รู้ว่าเหตุผลที่เขาหมั่นเทียวไล้เทียวขื่อขึ้นมาบนภาควิชาภาษาไทยเกือบทุกวัน เพียงเพื่อได้เห็นหน้า ได้พูดคุยกับยุวดี ก็มีแต่อติรุทธ์เท่านั้น ทว่าท่าทีของสาวเจ้าที่วางตัวเสมอต้นเสมอปลายในฐานะเพื่อน เช่นเดียวกับที่แสดงออกกับผู้ชายทุกคนที่เข้าหา ก็ทำให้ชายหนุ่มต้องซ่อนความรู้สึกของตนเองไปด้วย

“ก็นายเป็นเสียแบบนี้ ใครเขาจะคิดว่าพูดจริงล่ะ”

“กลัวว่ะ กลัวว่าถ้าเธอรู้ เราจะมองหน้ากันไม่ติด ช่างเถอะ แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ มิสเตอร์ต้น อย่ากินเยอะลูก ยังมีของอร่อยรออยู่อีกแยะเลย”

ชายหนุ่มตัดบทสนทนาด้วยการปรามเด็กชายแทน เด็กชายต้นก็วางส้อมเหมือนจะเชื่อฟังเป็นอย่างดี แต่ความจริงแล้วคือในจานไม่เหลือไส้กรอกแม้แต่ชิ้นเดียว ทำให้ผู้ใหญ่อดหัวเราะไม่ได้


ตลอดเวลาที่รับประทานอาหารนั้น สินธุไม่รู้ตัวว่ามีสายตาคู่หนึ่งลอบมองตนเองอยู่เงียบๆ การแสดงออกของเขาที่มีต่อเด็กชายต้นประหนึ่งว่าเป็นลูกหลานของตัวเอง ทำให้คนแอบมองอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ข้างเจ้าตัวป้อมก็ดูมีความสุขและสนิทสนมกับ 'ลุงธุ' ไม่น้อย ยุวดีมองคนนั่งตรงข้ามแล้วก็หลุบตาลงต่ำเสีย หล่อนไม่มีสิทธิที่จะคิดกับสินธุอย่างนี้ ความเป็นแม่ม่ายเรือพ่วงทำให้หล่อนต้องเจียมตัว จะมีแม่คนไหนบ้างที่อยากให้ลูกชายของตนไปคว้าแตงเถาตายมาเป็นคู่ ใครๆ ก็อยากได้ลูกสะใภ้ที่ไร้ข้อตำหนิทั้งนั้น

พอหันมาทางอติรุทธ์ ยุวดีก็อดยิ้มบางๆ ไม่ได้กับการใส่ใจดูแลที่ชายหนุ่มมีต่อปาหนัน หล่อนไม่เคยเห็นอติรุทธ์ทำกิริยาอย่างนี้กับใครสักที หล่อนจะดีใจที่สุด หากคนที่หล่อนนับถือว่าเป็นพี่ชายคนนี้จะลงเอยกับพยาบาลคนสวยได้ หญิงสาวละสายตาจากคู่ของอติรุทธ์ เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง

“คุณยุ กับข้าวไม่ถูกปากหรือครับ ทำไมไม่ค่อยทานเลยล่ะ”

“ยุทานช้าค่ะ”

“ไม่ใช่ว่ามัวแต่เหม่อนา นายต้นกับผมขึ้นจานที่สองแล้ว คุณจานแรกยังไม่หมดเลย ขืนช้าอดของอร่อยนะเอ้า เพราะผมกะนายต้นจะจัดการให้เรียบวุธเลย”

สินธุบอกด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย คำพูดที่ฟังดูเผินๆ เหมือนการหยอกเอินไร้สาระนั้น ความจริงคือการแสดงความเป็นห่วงตามแบบของชายหนุ่มนั่นเอง ยุวดียิ้มรับ

“ต่อให้ก่อนค่ะ รับรองว่าพอเครื่องติดแล้วไล่กวดทันแน่นอน”

“งั้นผมพักยกรอคุณก่อน ปล่อยให้นายต้นนำหน้าไป หมดแรงเมื่อไหร่ทีนี้เสร็จผมล่ะ”

คนในโต๊ะยกเว้นเด็กชายที่ตั้งหน้าตั้งตากินลูกเดียว ต่างอมยิ้มกับคำพูดของสินธุ อติรุทธ์ยักคิ้วให้ปาหนันเป็นเชิงบอกว่า ฟังการจีบหญิงของสินธุเสียบ้าง ยุวดีหัวเราะคิกพลางบอกว่า

“ตกลงค่ะ ยุจะเริ่มสตาร์ทเครื่องละ เตรียมตัวเลยนะคะอาจารย์สินธุ”

“ผมน่าจะปรับให้คุณทานข้าวสักสามจานนะนี่”

“ทำไมเยอะจังคะ สองจานก็แน่นแล้วนา”

“ก็คุณไม่ยอมเลิกเรียกผมเต็มยศสักทีนี่นา ทีกะไอ้รุทธ์ คุณยังเรียกมันว่าอาจารย์รุทธ์ได้เลย ทำไมไม่ยักเรียกผมว่าอาจารย์ธุบ้างล่ะ”

“ก็ได้ค่ะ เป็นอันตกลงโอเคซิกาแร็ต”

“ไฮ้! ไหงง่ายจัง”

“ก็ไม่อยากทานข้าวสามจานนี่คะ”

ยุวดีว่าแล้วก็ก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองก็เสทำทีเป็นตักข้าวเข้าปากไม่รู้ไม่ชี้แทน บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสุข และคงจะเป็นอย่างนั้นไปจนกระทั่งจบมื้ออาหาร หากไม่มีเสียงแหลมๆ ของใครคนหนึ่งแทรกตัดอากาศเข้ามาเสียก่อน

“ต๊าย ควงสองเลยหรือจ๊ะ ยุวดี เสน่ห์แรงไม่เบานี่”  

สองหนุ่มหนึ่งสาวจากธารารินวางช้อนลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ยุวดีหน้าตึงกับคำทักทายนั้น ส่วนปาหนันมองทุกคนงงๆ แล้วเริ่มเข้าใจเมื่อได้ยินสินธุแกล้งบ่นเสียงดัง ชนิดไม่สนใจว่าใครจะได้ยินบ้าง

“ตัวทำลายบรรยากาศมาแล้วเว้ย”

อติรุทธ์ไม่หันไปมองต้นเสียงเสียด้วยซ้ำ พอเห็นหล่อนจะวางช้อนเหมือนกับคนอื่นๆ ก็รีบเอื้อมมือมาแตะมือหล่อนแล้วบอกว่า

“ทานข้าวไปครับหนัน ไม่มีอะไร ไม่ต้องสนใจ”


เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบแผ่นหินอ่อนที่เจ้าของร้านวางเป็นทางเดินตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เข้ามายืนกอดอกข้างโต๊ะฝั่งติดทางเดิน ซึ่งมีอติรุทธ์กับปาหนันนั่งอยู่ หล่อนมองหน้าเลขานุการสาวอย่างหมิ่นๆ โดยไม่ทันสังเกตว่าคนร่วมโต๊ะมีใครบ้าง

“อยู่ที่ทำงานก็ทำเป็นเสงี่ยมหงิม ที่ไหนได้ร้ายกาจไม่เบา นี่คงกลัวคนนินทาล่ะสิท่า ถึงต้องพาเด็กที่ไหนไม่รู้กับเพื่อนมาด้วย”

ยุวดีขยับจะโต้ตอบ แต่สองหนุ่มส่ายหน้าปรามไว้ก่อน มิรันตีเห็นคู่กรณีไม่โต้ตอบก็ยิ่งได้ใจ

“ไม่ตอบ แสดงว่าจริง ไหนขอฉันดูหน้าเหยื่อของเธอหน่อยซิ”  

พอเห็นหน้าคนร่วมโต๊ะถนัดตา สีหน้ามิรันตีก็เผือดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังฝืนเชิดหน้าประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมปรับเสียงหวาน

“อ้อ! รุทธ์กับธุนี่เอง นึกว่าใครที่ไหนเสียอีก ขอรันตีร่วมโต๊ะด้วยได้ไหมคะรุทธ์”

“ไม่ทราบใครเชิญ ด่าเขาอยู่แหมบๆ แล้วมาขอร่วมโต๊ะด้วย ไม่รู้สึกว่ามันทะ:-)หรือไงรันตี”

ยุวดีกับอติรุทธ์กลั้นหัวเราะกับคำพูดนั้น นานๆ ครั้งหรอกสินธุถึงจะใช้ถ้อยคำแสบๆ คันๆ อย่างนี้สักทีหนึ่ง มิรันตีหน้าบึ้งกระแทกเสียงใส่คนตอบอย่างไม่พอใจ

“ใครถามเธอสินธุ”

“ก็อยากตอบนี่ มีอะไรไหม”    

“รุทธ์ ฟังสินธุพูดสิ” หญิงสาวทำเสียงน่าสงสาร

“นายธุก็พูดถูกแล้วนี่ ได้ยินจากปากผมหรือนายธุก็มีค่าเท่ากัน อีกอย่างคุณน่าจะถามคนที่มาด้วยนะ ว่าต้องการแบบนั้นหรือเปล่า หัดคิดถึงใจคนอื่นบ้าง”

 อติรุทธ์ตอบโดยไม่รักษามารยาทจนหญิงสาวหน้าม้าน พลางพยักหน้าไปทางชายหนุ่มหน้าตาดีที่ยืนเก้กังวางตัวไม่ถูกอยู่ด้านหลังของเจ้าหล่อน ขณะที่สินธุกับยุวดีถึงกับหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จะมีเพียงปาหนันเท่านั้นที่เอื้อมมือมาแตะมือชายหนุ่มเป็นเชิงปราม มิรันตีเห็นกิริยานั้นก็ไม่พอใจ รีบปัดมือของปาหนันออกโดยแรงพร้อมกับตวาดแว้ด

“เอามือเธอออกไปเดี๋ยวนี้นะ อย่ามาแตะตัวรุทธ์”  

อติรุทธ์ลุกพรวดขึ้นทันที เขาปราดเข้าขวางกลางระหว่างสองสาว ผลักมิรันตีเข้าหาชายหนุ่มที่มาด้วยกัน นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ

“คุณต่างหากที่อย่าแตะต้องปาหนัน มิรันตี จะต้องให้ผมบอกคุณกี่ครั้งว่าเราต่างคนต่างอยู่ อย่ามาเกี่ยวข้องกันอีก”

“นี่รุทธ์ปกป้องมันหรือ”

“ใช่ เพราะหนันคือคนที่ผมรัก รักมากด้วย”

คำประกาศนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับตกตะลึง อติรุทธ์เองก็ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาบอกรักปาหนันเอาในสถานการณ์อย่างนี้ มิรันตีนิ่งอึ้งอยู่ชั่วอึดใจก็ได้สติ หล่อนผวาจะเข้าไปหาปาหนันอีกแต่ติดที่อติรุทธ์ขวางอยู่ ปาหนันที่นิ่งดูเหตุการณ์อยู่นานแล้ว เห็นท่าไม่ดีจึงลุกขึ้นยืนจับแขนชายหนุ่มพลางบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนแกมเรียกสติ ทว่าแอบเหน็บผู้หญิงตรงหน้าไปในทีด้วยความหมั่นไส้

“คุณรุทธ์คะ พอเถอะค่ะ เรามีเด็กมาด้วย อย่าให้แกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลยนะคะ”

อติรุทธ์มองไปทางเด็กชายต้นก็เห็นหนูน้อยนั่งมองตาแป๋วอยู่ เขาสูดลมหายใจลึกยาวเพื่อระงับความไม่พอใจแล้วสบตากับปาหนันด้วยสายตาขอบคุณ มิรันตีหันขวับมองหน้าหญิงสาวที่คิดว่าเป็นมารหัวใจทันที พอเห็นหน้าปาหนันชัด ก็หน้าซีดเบิกตากว้างอย่างตกใจ หล่อนผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือจับแขนคนที่มาด้วยยึดไว้แน่น เพราะอีกฝ่ายมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับผีสาวที่ตนเห็นในห้องทำงานของอติรุทธ์ราวกับเป็นคนคนเดียวกัน

“จ...เจคะ เราเปลี่ยนร้านกันเถอะค่ะ รันตีไม่อยากทานร้านนี้แล้ว”

หล่อนรีบดึงแขนนายเจที่ยืนงุนงงอยู่ออกไปอย่างรวดเร็ว อย่าว่าแต่นายเจอะไรนั่นเลย แม้แต่กลุ่มของอติรุทธ์เองก็ไม่เข้าใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของมิรันตีเช่นกัน

“แปลก เป็นอะไรของเขานะ ทำยังกับเห็นผีแน่ะ”    

สินธุว่าพลางส่ายหัว ยุวดีได้ยินคำ 'เหมือนเห็นผี' ก็หัวเราะ จริงอย่างที่สินธุว่า เพราะท่าทีของมิรันตีเหมือนกับเมื่อวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน หล่อนรอจนอติรุทธ์กับปาหนันนั่งลงแล้ว จึงบอกว่า

“ยุลืมเล่าไป วันศุกร์ที่อาจารย์รุทธ์กลับไปแล้วน่ะค่ะ อาจารย์มิรันตีเธอว่าเธอเห็นผีในห้องอาจารย์รุทธ์ ตกใจจนเป็นลมเลยนะคะ พอพวกเรายกโขยงไปพิสูจน์ก็ขำกันใหญ่เชียวค่ะ ก็ที่อาจารย์มิรันตีเธอคิดว่าผีน่ะ ที่แท้เป็นรูปวาดผู้หญิงแท้ๆ จริงสิ เธออ้างว่าก่อนเจอ ได้กลิ่นดอกลำเจียกด้วยนะคะ อาจารย์ศาสตราต้องชี้ให้ดูดอกลำเจียกบนโต๊ะ เธอถึงยอมเงียบได้”

ยุวดีเรียกดอกปาหนันว่าดอกลำเจียกตามความเคยชินของตนเอง อติรุทธ์ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว รูปวาดนั้นเขามีอยู่จริง แต่ดอกปาหนันมาได้อย่างไร ในเมื่อวันนั้นเขาแน่ใจว่าไม่ได้เก็บดอกอะไรขึ้นมาบนห้องเลยสักดอกเดียว หลังออกจากวัดเจ็ดยอดเขาก็รีบกลับมาที่ภาควิชาก่อนเวลานัดของนักศึกษาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ท่าทีของมิรันตีที่เห็นหน้าปาหนันเมื่อครู่นี้บวกกับเรื่องราวที่เลขาสาวเล่าให้ฟัง มันคิดไปเป็นอื่นไม่ได้เลย คนเดียวที่ทำได้คือลำเจียก และดูเหมือนว่าตอนนี้สินธุกับปาหนันเองก็คิดออกเช่นกัน อันที่จริงเขาก็อยากจะขอบคุณลำเจียกที่หล่อนช่วยจัดการมิรันตีให้ ถ้าไม่ติดว่าสิ่งที่หล่อนต้องการคืออะไร การปรากฏตัวของลำเจียกในครั้งนี้บอกชัด หล่อนตามติดเขาตลอดเวลา อยู่ที่ว่าจะแสดงให้เขาเห็นหรือรับรู้หรือเปล่าเท่านั้น


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 55 17:10:43

แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 55 17:08:25

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 7 มิ.ย. 55 17:11:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com