เทวาอัศดา ตอนที่ 1 [นิยายอิงธรรมะ]
|
 |
หมอกสีเทาปกคลุมหนาทึบ จนมองเห็นรอบตัวได้เพียงไม่กี่ก้าว อากาศหนาวยะเยือกกัดลึกเข้าไปถึงกระดูก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังระงมไปทั่วทุกทิศ สิ่งรอบตัวบิดเบี้ยว ต้นไม้ไร้ใบแผ่กิ่งก้านน่าพรั่นพรึง พื้นเต็มไปด้วยโคลนเน่าเหม็นเหนียวเหนอะ การก้าวเท้าแต่ละครั้งช่างยากลำบาก ที่นี่คือที่ไหนกัน!? สถานที่น่ากลัวเช่นนี้ใช่โลกมนุษย์จริงๆหรือ ข้ายกมือขึ้นดู แต่มือของข้าหาได้เป็นดังเช่นที่เคยเป็น มันบิดงอเหี่ยวย่นมีแต่หนังหุ้มกระดูก ข้าก้มลงมองร่างกายเปลือยเปล่าไร้อาภร เหตุไฉนร่างของข้าจึงผอมแห้งจนเห็นกระดูกซี่โครงปูดโปน แขนยาวถึงเข่าผิดรูปผิดร่าง ผิวหนังสีเทาเต็มไปด้วยตุ่มหนอง ดูอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ร่างกายของมนุษย์ ถ้าเช่นนั้นข้าคืออะไรกัน
เสียงเห่าหรดังระงมน่าพรั่นหรึง ผสานกับเสียงร้องคำรามด้วยความอาฆาตแค้นดังขึ้นใกล้ตัว ทว่าหมอกลงหนาทึบเกินกว่าจะมองเห็นอะไร ข้าไม่รู้จะทำเช่นไร จึงได้แต่วิ่งกระ:-)กระสนไปบนพื้นโคลนเหนียวเหนอะ ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้ายใกล้เข้ามาทุกที ในที่สุดข้าก็หมดแรงล้มลง เสือขนาดใหญ่ผิดธรรมดาปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ดวงตาของมันอาบด้วยเลือดสีแดงสด ไหลย้อยออกมาจากเบ้าตา น้ำลายยืดเหนียวเป็นสายอยู่ในปากที่มีเขี้ยวสีม่วงคล้ำ นี่ไม่ใช่เสือ! มันคือปีศาจชัดๆ ข้านอนอยู่บนพื้น กลัวจนร่างกายแข็งเกร็งไม่อาจขยับเขยื้อน ได้แต่จ้องมองสัตว์ร้ายที่อยู่เบื้องหน้าอย่างหวาดผวา สภาพไม่ต่างจากเหยื่อไร้ทางสู้ เสือปีศาจกระโจนขึ้นมาบนร่างข้า ใช้อุ้งเท้าที่มีกรงเล็บแหลมงุ้มจิกลงบนอก มันอ้าปากแสยะเขี้ยวแล้วกัดลงกลางท้อง ก่อนจะสะบัดหัวกระชากผิวหนังของข้าจนหลุดล่อนออกมา เลือดสีแดงฉานพวยพุ่งอย่างสยดสยอง มันกัดอีกครั้งแล้วดึงหัวขึ้น ลำไส้เล็กและเครื่องในถูกลากติดเขี้ยวมันขึ้นไปด้วย ข้าหวาดกลัวจนอยากตายเพื่อหนีไปให้พ้น แต่ไม่รู้เพราะอะไรทั้งๆที่ร่างกายถูกฉีกกระชากจนเครื่องในทะลัก เจ็บปวดทรมานสุดทานทน แต่ข้ากลับไม่ตาย ได้แต่นอนมองเสือปีศาจกัดกินร่างกายตัวเอง พร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
“ม่ายย!!!” เสียงตะโกนโหยหวนดังขึ้นกลางห้องนอนมืดสลัว มีเพียงแสงจันทร์ส่องลอดผ้าม่านโปร่งบางให้เห็นสิ่งต่างๆได้อย่างเลือนลาง อัศดาจิกผ้าห่มแน่น ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เหงื่อไหลโชกหน้าผาก ทำเอาไรผมสีดำเปียกชุ่ม เขาหายใจหอบถี่ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ราวกับเพิ่งวิ่งทางไกลมา ทั้งที่นอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มนั่งพักสักครู่ พยายามตั้งสติ เมื่อร่างกายเริ่มสงบลง อัศดาก็ยกมือขึ้นมาดู มือของเขายังคงมีห้านิ้ว ยาวเรียวและแข็งแกร่งอย่างที่ควรเป็น เขาเปิดผ้าห้มออกก้มมองดูร่างกาย ทุกส่วนปรกติดี หาได้มีเครื่องในทะลักออกมาแต่อย่างใด จากนั้นก็มองไปรอบๆ นี่คือห้องนอนที่เขาคุ้นเคย หาใช่สถานที่น่ากลัวแต่อย่างใด
“เรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ไม่เป็นไร เจ้าไม่เป็นไร” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองเพื่อปลอบใจ เสียงยังสั่นเครือเพราะความหวาดกลัว
ถึงมันจะเป็นแค่ความฝัน แต่หาใช่ความฝันธรรมดาไม่ อัศดาฝันแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะช่วงนี้ เขาฝันติดกับแทบทุกคืน ช่างเป็นความฝันที่น่ากลัวนัก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาคงไม่ได้หลับได้นอน นานเข้าอาจจะกลายเป็นบ้าได้ เพราะอะไรกัน ทำไมข้าต้องฝันแบบนี้ด้วย
“เมื่อใดที่ข้าเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับใครคนใด ขอให้ข้าคิดว่าตัวเองต้อยต่ำที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง และยกย่องเขาผู้นั้นไว้สูงสุดในส่วนลึกของใจข้า
เมื่อข้าเห็นคนที่มีจิตใจชั่วร้าย เต็มไปด้วยความทุกขเวทนาและบาปกรรม ขอให้ข้าถือเอาบุคคลที่หาได้ยากเหล่านี้เสมือนหนึ่งผู้เป็นที่รัก ราวกับว่าข้าได้พบสมบัติล้ำค่า
เมื่อคนอื่นปฏิบัติไม่ดีต่อข้า ด้วยการข่มเหงรังแก กล่าวร้ายป้ายสี อันเนื่องจากความอิจฉาริษยา ขอให้ข้าน้อมรับความพ่ายแพ้ และหยิบยื่นชัยชนะแก่คนเหล่านั้น
เมื่อคนที่ข้าได้ทำผลประโยชน์แก่เขาด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ กลับทำร้ายข้าอย่างเจ็บปวด ขอให้ข้าจงมองเขาประหนึ่งปรมาจารย์สูงสุด
กล่าวโดยสั้น ขอให้ข้าหยิบยื่นประโยชน์และความสุขให้กับสรรพชีวิตทั้งปวงทั้งทางตรงและทางอ้อม ขอให้ข้าน้อมรับความเจ็บปวด และความทุกข์แทนสรรพชีวิตทั้งปวง”
แม้จะท่องประโยคเหล่านี้ทุกเช้าต่อเนื่องมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่ท่องจิตใจของเทวาก็ยังสั่นไหว เขาท่องมันเพื่อเป็นกำลังใจ และเพื่อเพิ่มความอดทนก่อนการเริ่มต้นชีวิตในแต่ละวัน โชปะซึ่งเป็นพ่อบุญธรรม เป็นคนมอบบทสวดนี้ให้แก่เขา และสั่งให้เขาพิจารณามันไปเรื่อยๆ เทวาคิดว่าตัวเองเข้าใจความหมายของบทสวดนี้ แม้มันจะค้านกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปก็ตาม ถึงจะเข้าใจ แต่เทวาสามารถปฏิบัติตามได้เพียงน้อยนิด เขาไม่มีความกล้าหาญและความมุ่งมั่นมากพอที่จะทำตามนั้นได้ทั้งหมด กระนั้นก็ยังหวังว่าการพิจารณาบทสวดทุกวัน จะทำให้เข้าใกล้จิตใจอันเปี่ยมด้วยความเมตตาและทรงพลังนั้นมากขึ้น
เทวาจ้องมองรูปวาดพระพุทธเจ้า ที่ใส่กรอบวางอยู่บนแท่นบูชาเบื้องหน้า รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนเรียวปากได้รูป
“ท่านเคยผ่านสถานการณ์เช่นในบทสวดนั้นมาแล้วใช่มั้ย...การจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ต้องใช้จิตใจที่เข้มแข็งมากสินะครับ ท่านช่างเป็นบุคคลที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก พูดไปก็รู้สึกละอายใจ ข้ามีความเข้มแข็งแบบนั้นเพียงน้อยนิด เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น” ชายหนุ่มก้มลงกราบสามครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองภาพวาดด้วยความซาบซึ้ง
“ถ้าไม่ได้ความพยายามของท่าน ข้าคงไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงเป็นเช่นไร”
เทวาลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เขาหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนงามออกมาจากตู้ มันใช้ได้สองด้าน ด้านหนึ่งเป็นสีม่วงแดง อีกด้านหนึ่งเป็นสีเขียวน้ำทะเล ปักด้วยไหมสีทองตรงปลายเป็นลวดลายอ่อนช้อย มีพู่ทำด้วยไหมสีทองชนิดเดียวกันเย็บติดไว้ที่ชายผ้า ราคาของมันคงแพงไม่น้อย ด้วยเงินเดือนของอาจารย์ในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เทวาไม่คิดจะซื้อของฟุ่มเฟือยที่เอาไว้โอ้อวดแบบนี้แม้แต่น้อย แม่เฒ่าชงโคเป็นคนให้เขา เทวาพยายามปฏิเสธ เพราะเห็นว่าผ้าคลุมไหล่ผืนนี้มีค่ามากเกินไป เขาไม่คู่ควรที่จะรับมันไว้ แต่แม่เฒ่าก็คะยั้นคะยอให้เขารับให้ได้ โดยกล่าวว่าเขาไปช่วยซ่อมหลังคาบ้านที่รั่วให้นางตั้งหลายครั้ง แบกนางขี่หลังไปหาหมอที่อยู่ห่างเป็นกิโล ทั้งยังช่วยดูแลหลานชายนางที่โรงเรียนอีก เทวาบอกให้แม่เฒ่าเก็บผ้าผืนนี้ไว้ให้ธาราซึ่งเป็นหลานสาว แต่แม่เฒ่ากลับบอกว่าหลานของนางไม่ชอบผ้าผืนนี้จึงได้ยกให้นาง สุดท้ายเทวาก็จำต้องรับผ้าคลุมไหล่ราคาแพงผืนนี้มาด้วยความเกรงใจ
มือเรียวจัดผ้าคลุมไหล่ให้เข้าที่เข้าทางโดยเอาด้านสีเขียวน้ำทะเลออก เงาของเขาในกระจกดูสง่างาม ไม่ต่างจากลูกชายขุนนางผู้สูงศักดิ์ แม้ผ้าผืนนี้จะทำให้เขาดูดี แต่มันกลับนำมาซึ่งความรู้สึกไม่สบายใจแบบแปลกๆ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่เคยใช้มัน แต่เก็บไว้ในตู้เฉยๆก็น่าเสียดาย วันนี้เขาจึงหยิบมันมาใช้เป็นครั้งแรก ในวันเสาร์ที่ไม่ต้องสวมชุดอาจารย์
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“นั่นใครครับ” เทวาถาม ขณะเดินไปที่ประตู
“ข้าคือวิมุต ให้เข้าไปได้มั้ย”
จากคุณ |
:
holyneko
|
เขียนเมื่อ |
:
8 มิ.ย. 55 08:10:52
|
|
|
|