2.
ภาพที่ทุกคนเห็นคือปรเมศคุกเข่าอยู่หน้านภัสรินทร์พร้อมแหวนเพชรประกอบคำขอแต่งงาน ท่ามกลางสายตาของแขกที่มาร่วมงานวันเกิดต่างรู้กันว่าไม่มีของขวัญชิ้นไหนจะถูกใจเจ้าของวันเกิดได้เท่าของชิ้นนี้
“แต่งงานกับพี่นะครับ”
นภัสรินทร์ห้ามน้ำตาไม่อยู่ รอยยิ้มดีใจปนตื่นเต้นเกลื่อนใบหน้าสวยหวาน เธอหันไปมองพ่อเลี้ยง เห็นสีหน้าแช่มชื่นของเขารู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มเตรียมการไว้หมดแล้ว
“รินครับ”
หญิงสาวพยักหน้า น้ำตามาพร้อมความตื้นตัน “ค่ะ รินจะแต่งงานกับพี่เมศ”
ปรเมศลุกขึ้น บรรจงสวมแหวนให้แล้วสวมกอดว่าที่เจ้าสาวของเขา เสียงปรบมือและคำแสดงความยินดีอบอวล บรรยากาศชื่นมื่น นภัสรินทร์เดินลงมาหารังสรรค์ กอดพ่อเลี้ยงด้วยความดีใจ
“ขอบคุณนะคะพ่อ”
“หวังว่าของชิ้นนี้รินคงชอบ”
ลูกเลี้ยงหัวเราะเขิน ๆ “ฝากน้องด้วยนะเมศ”
“ครับคุณอา”
“เรียกพ่อก็ได้”
คราวนี้ปรเมศเขินบ้าง แขกเหรื่อเดินเวียนมาแสดงความยินดีพร้อมชมไม่ขาดปากว่าทั้งคู่เหมาะสมกัน นักดนตรีร้องเพลงรักอย่างรู้งาน
ในขณะที่สองหนุ่มสาวชื่นมื่นสุขสม ไม่ใช่ทุกคนที่จะยินดีกับข่าวนี้ เมื่อภาพนั้นปรากฎชัดเต็มสายตาและบันทึกความหมายกระจ่างในสมอง มีบางคนที่อารมณ์เปลี่ยน
เอกสิทธิ์พ่นลมหายใจแรง เดินไปที่บาร์เครื่องดื่ม สั่งเหล้าไม่ผสมแล้วกระดกรวดเดียว ก่อนจะยื่นให้เป็นการขอเบิ้ลจนบาร์เทนเดอร์หนุ่มมองอึ้ง
ปัญวิชช์คอตก มองกุหลาบในมือด้วยความเจ็บช้ำ อยากเขวี้ยงทิ้งแต่ทำไม่ลง วันนี้มาถึงจนได้ วันที่เขาไม่ต้องการรับรู้และทำเป็นมองข้ามตลอด
วีรญากำมือจนเล็บจิกลงในเนื้อ เกลียดหน้ายิ้มแย้มของปรเมศที่สุดในชีวิต ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันหักหน้าเธอ สิ่งที่มันทำแค่ไม่กี่นาทีทำให้งานที่ทุกอย่างที่เธอเตรียมมาหลายวันไร้ความหมายไปในทันที
นภัสรินทร์เดินเร็ว ๆ มาที่ลานจอดรถ ดูเวลาแล้วคงพอไปเจอปรเมศได้ไม่ช้ามากนัก วันนี้เธอมีนัดกับชายหนุ่มไปพบบริษัทรับจัดงานแต่งเพื่อคุยถึงคอนเซปต์คร่าว ๆ ใกล้จะถึงรถหญิงสาวล้วงกระเป๋าสะพายหยิบกุญแจ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอกับใครบางคนยืนขวางอยู่
“วิช”
เธอชักคิ้วย่น แสดงออกให้เห็นว่าไม่ต้องการจะคุย หรือแม้แต่เจอหน้า เดินเบี่ยงไปอีกทาง แต่ชายหนุ่มก้าวมาขวางไว้
“ริน เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไร” นภัสรินทร์เสียงห้วน ๆ
“ทำไมรังเกียจที่จะคุยกับผมนักหนา” ปัญวิชช์ตัดพ้อ หญิงสาวหันมามองเขาตรง ๆ
“ฉันรู้ว่าเรื่องที่เธอจะพูดคืออะไรน่ะสิ แต่อยากพูดอะไรก็ว่ามา ให้แค่สองนาที”
“คุณจะแต่งงานกับอาผมจริง ๆ เหรอ คิดอีกทีได้ไหม ปฏิเสธได้ไหมริน ผมชอบคุณ”
ประโยคท้ายไม่ผิดไปจากที่คิด หากยามได้ยินก็แรงพอกระตุกใจเธอได้เหมือนกัน
“เพ้อเจ้ออะไรของเธอ แค่นี้ใช่ไหม” คำพูดเธอตัดรอน ทำท่าจะเดินไป แต่ชายหนุ่มไม่ยอมง่าย ๆ
“ผมชอบคุณไม่น้อยกว่าอาหรอกนะ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ”
นภัสรินทร์เหลือบมอง ไม่จำเป็นต้องบอกดวงตาของเขาก็เขียนความในใจชัดแจ้ง ไม่ใช่แค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่เธอได้ยินคำนี้ กิริยาแบบนี้ และความหวังที่แฝงด้วยความต้องการแบบนี้นับไม่ถ้วน “ทำไมเธอเป็นเด็กที่พูดยาก ไปหาคนที่อายุเท่ากันเถอะ”
“คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก อยากรู้ว่าแบบนี้ยังเห็นว่าเด็กอีกไหม”
ปัญวิชช์ดันหัวไหล่นภัสรินทร์ไปติดเสาต้นใหญ่ที่ค้ำตัวอาคาร หางตามองเห็นรปภ.ประจำลานจอดรถขยับ แต่ความใหญ่ของเสาบังหมด หญิงสาวตกใจ รีบยกมือป้องแต่เขาคว้าข้อมือทั้งสองข้างได้ทัน และกดไว้ด้วยแรงที่เหนือกว่า เสี้ยววินาทีก็ประทับริมฝีปากลงไปก่อนเธอทันตั้งตัว
นภัสรินทร์ตะลึง หากพอตั้งสติได้ก็ดิ้นรน ฟาดฝ่ามือบนแก้ม
“ฉันกำลังจะเป็นอาสะใภ้ของเธอนะ!!”
ปัญวิชช์ยืนตะลึง กว่าจะรู้ตัวหญิงสาวก็พายานพาหนะเคลื่อนออกไปแล้ว เหลือไว้แค่รอยแปลบปลาบบนแก้มยามที่ลมร้อนพัดผ่าน
หน้าคฤหาสน์สามชั้นบนเนื้อที่มากกว่าสี่ไร่ โดดเด่นด้วยเสาหินแบบโรมันต้นใหญ่ด้านหน้า ส่วนด้านในสิ่งแรกที่เห็นคือห้องโถงปูด้วยหินอ่อน ตกแต่งด้วยงานศิลปะและเครื่องลายครามของไทยดูโอ่โถงหรูหรา
แต่บรรยากาศไม่น่าอภิรมย์ อันเกิดชายชราวัยเจ็ดสิบรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวกับกางเกงสีครีม ท่วงท่ายังดูแข็งแรงขณะเคลื่อนกายมาใกล้ ใบหน้าเรียว ดวงตาเฉียบคมแฝงไว้ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานและกล้าแกร่ง เขาเดินวนเวียนไปมาพร้อมคำบ่นแสดงอาการฉุนเฉียว
“เจ้าวิชนะเจ้าวิช ทำไมแย่แบบนี้ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ดูสิต้องให้ผู้ใหญ่มารอ มันใช้ได้ซะที่ไหน นี่โทรหาหรือยัง”
ทรงพลหันมาถามกับคนรับใช้ที่ยืนสงบเสงี่ยมด้วยความเกรงกลัวในพายุอารมณ์
“ทะ...โทรแล้วค่ะ คุณวิชไม่รับสายค่ะ”
“แล้วโทรอีกหรือยัง”
“เอ่อ...”
“อ้าว โทรแล้วก็โทรอีกได้นี่ บางทีมันคงไม่ได้ยิน ไปเลย เฮ้อ เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้ ใช้ไม่ได้พอกัน”
คนรับใช้รีบลนลานออกไป สวนกับเปรมิกาลูกสาววัยปลายสี่สิบที่เดินออกมา เธอเป็นลูกสาวคนเดียวในบรรดาสามพี่น้อง มีศักดิ์เป็นอาของปัญวิชช์อีกคน ดูแลกิจการเครื่องลายคราม มีลูกสาววัยรุ่นหนึ่งคนกำลังเรียนชั้นม.5
“คงใกล้มาถึงแล้วมั้งคะ คุณพ่อใจเย็น ๆ ค่ะ”
“จะให้ใจเย็นได้ยังไง คุณพิทักษ์เขาอุตส่าห์มา พ่อนะอุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาว่าวันนี้มีแขก ตั้งใจจะแนะนำมันให้เขารู้จักจะได้ฝากฝังกันได้ แล้วดูมันทำสิ”
เปรมิกาตั้งใจจะมาทำให้อีกฝ่ายเย็น เพราะตอนนี้บรรดาคนรับใช้ หลาน พากันไม่กล้าเข้าใกล้ ทุกคนเงียบกริบอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง บรรยากาศเลยอึมครึมไปทั่ว
“จะคิดว่าแขกไม่ว่าอะไรก็ไม่ได้ ไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึก คอยดูนะ มาเมื่อไหร่ต้องสั่งสอนกันบ้าง เจ้าเด็กไม่รู้จักโต ให้ท้ายกันจนเคยตัว”
พูดไม่ทันจบ รถเก๋งสีขาวก็แล่นปราดเข้ามา ปัญวิชช์เดินย่ำปัง ๆ เปรมิกาเห็นอารมณ์หลานก็ไม่แจ่มใส แต่อดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงแข็ง
“ไปไหนมา ทำไมมาช้า”
“รถติด” หลานชายตอบห้วน ๆ
“ทำไมไม่เผื่อเวลาล่ะ” คนเป็นอายังค้างกับที่ถูกบิดาเหวี่ยงใส่จึงสะบัดเสียง ผลก็คือทรงพลหันขวับ
“รู้ได้ยังไงว่าหลานไม่เผื่อเวลา เธอก็รู้ว่าการจราจรในกรุงเทพมันเข้าใครออกใครซะที่ไหน ว่าแบบนี้คนรีบก็เสียใจสิ เอาล่ะ วิชไปอาบน้ำอาบท่าซะ เดี๋ยวรีบมากินข้าว แขกรอนานแล้ว”
ปัญวิชช์แทบจะเดินไปโดยไม่ฟังปู่พูดให้จบ ส่วนทรงพลก็เดินตามออกไป ทิ้งไว้แต่เปรมิกาที่ยืนนิ่งเหมือนโดนคาถา ณ จังงังด้วยความมึน แล้วใครกันที่โมโหจนทำคนใช้กลัวหัวหด ยังบ่นไม่ทันขาดคำว่าปัญวิชช์เหลวไหล แต่พอเธอแทรกเข้าไปเท่านั้นล่ะ หลานชายถูกและเธอผิดทันที
เปรมิกาหมุนกายกลับ เห็นเทวันผู้เป็นสามียืนยิ้มล้อ ๆ ก็เชิดหน้า “อย่าหัวเราะนะ”
“ไหนคุณบอกผมเองว่านอกจากคุณพ่อไม่มีใครแตะเจ้าวิชได้”
“ก็มันเผลอไป” เธอบอก อีกฝ่ายเดินมาแตะแขนทำนองปลอบ
“ผมล่ะอยากเกิดเป็นเจ้าวิชบ้างจริง ๆ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
หลังมื้อเย็นภาคบังคับ ปัญวิชช์ยังไม่หายอารมณ์เสีย นอกจากคำขอซ้ำ ๆ ของปู่ที่อยากให้เขาไปเรียนต่อแล้ว ใจของเขายังติดอยู่กับนภัสรินทร์ อยู่กับภาพที่อาของเขาของเธอแต่งงาน สัมผัสบนริมฝีปากที่ช่วงชิงจากหญิงสาวซึ่งไม่เต็มใจ ไม่บรรเทาอาการร้าวรานใจตอนนี้
เขาเจอนภัสรินทร์ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธอมาสอนพิเศษภาษาอังกฤษให้เพื่อนสนิทเพื่อเตรียมสอบเอ็นทรานซ์ เขาตั้งใจจะไปลากเพื่อนออกไปเที่ยวแต่กลายเป็นต้องติดแหงกไปเพราะเหตุผลเรื่องเรียน และอันเนื่องมาจากครูสอนพิเศษสุดสวยคนนั้นด้วย
แรกที่เห็น ภาพของเธอเหมือนเป็นรอยสัก สลักแน่นลงในใจเขาดั่งรอยจารึกที่ไม่มีวันเลือนหาย เพื่อนเย้ยว่าเขาคิดเกินจริง แต่ปัญวิชช์รู้สึกในวินาทีนั้น เธอ...จะต้องเป็นเจ้าสาวของเขา ไม่มีเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าเธอจะอายุมากกว่าเขาสี่ปี แม้ว่าเธอจะใช้สายตาที่มองเขาเป็นเด็กเสมอ แต่ปัญวิชช์ไม่สนใจ เขาเชื่อในคติตื้อเท่านั้นที่ครองโลก ใครที่เป็นคนคิดขึ้นมาต้องรู้ว่ามันได้ผลถึงได้เผยแพร่วลีนี้
วันที่อาเมศพาเธอมาบ้าน เหมือนเป็นวันที่ฟ้าถล่ม โลกสวยหรูของเขาพังทลาย ทั้งคู่คบหาเป็นแฟนกัน เขารู้ว่าเธอเป็นใคร ปู่ของเขาก็ดูจะพอใจ แต่ปัญวิชช์ไม่ยอมแพ้ คิดเอาว่าตราบใดที่เป็นแค่แฟน ยังไม่เป็นสามีภรรยาเขาก็ยังมีโอกาส หรือแม้แต่อาขอเธอแต่งงานแล้ว ก็ยังมีช่องว่างได้เมื่องานยังไม่เกิด
ตลอดระยะเวลาหลายปี อาเมศรู้ว่าแฟนตัวเองยังมีคนมาจีบ แต่ไม่มีวันรู้ว่าคนที่มาวนเวียนอยู่คือหลานตัวเองและสิ่งที่ปัญวิชช์ได้รับมาไม่เปลี่ยนไปเลย นภัสรินทร์ยังคงมองเขาด้วยสายตาดูแคลนแกมขบขัน ทั้งที่เขารักเธอ
“โธ่เว้ย!!”
ถ้าเพียงคู่แข่งไม่ใช่อาของเขาเอง เขาคงไม่โมโหขนาดนี้ มันอึดอัดที่ทำอะไรไม่ได้ เรือนสีขาวริมสระบัวหลังนี้เขามักจะใช้เป็นที่ทำงาน เขียนหนังสือ หรือวาดรูป เป็นห้องเดี่ยวที่แบ่งมุมทำงานกับที่นอนได้สัดส่วน มีห้องน้ำในตัว ปัญวิชช์มองไปบนผนัง รูปวาดหญิงสาวเรียงราย ภาพสีน้ำ ภาพสเก็ตซ์ ภาพเหมือน ทุกภาพบรรจงถ่ายทอดด้วยรัก
ปัญวิชช์ยอมไปนั่งคอยเพื่อนเรียนพิเศษเพื่อได้มองหน้าคุณครูสุดสวย วันหนึ่งเธอคงอดไม่ไหว ตวัดเสียงใส่
‘วาดอะไรคะ’
‘วาดรูปคุณนั่นแหล่ะครับ’ ปัญวิชช์เห็นสีหน้าไม่พอใจ ‘ทำไม หวงเหรอครับ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวผมจ่ายค่าแรงให้’ จนระยะหลังเธอคงชิน หรือไม่ก็ตัดความรำคาญ ทำเป็นมองไม่เห็นเขาเสีย ปัญวิชช์ต้องมาคิดมุกเรียกร้องความสนใจใหม่
เขาทิ้งร่างนอนแผ่บนเตียง ปิดหน้าซ่อนความในใจ แม้จะอยู่เพียงลำพังแต่อาการเจ็บร้าวรายล้อมจนไม่อยากขยับเขยื้อน นภัสรินทร์จะแต่งงาน เขาผิดหวัง เขาอกหัก เขาจะทำอย่างไรได้อีก
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
8 มิ.ย. 55 10:17:02
|
|
|
|