บทที่ 20 อนาคต
เพียงแค่ชั่วพริบตา ฤดูใบไม้ผลิก็ผ่านพ้น ฤดูใบไม้ร่วงเวียนมาหา วันหนาวคราวร้อนแป๊บเดียวก็ผ่านไปอีกปี ฉันยังเหมือนเดิม วันๆ ยังคงเดินไปเดินมาอยู่ในวังฉางชุน ประตูใหญ่ไม่ออกประตูข้างไม่ได้ผ่าน วางตัวอยู่ในกฎระเบียบยิ่งกว่าผู้หญิงที่เกิดในสมัยนี้จริงๆ เสียอีก พระนางเต๋อเฟยทรงพอพระทัยในตัวฉันมาก บางครั้งยังทรงมอบหมายธุระที่เป็นเรื่องส่วนพระองค์ให้ฉันไปจัดการ ยิ่งกว่านั้นคือฉันได้ขึ้นแท่นเป็นว่าที่ชายารองในพระราชโอรสแน่นอนแล้ว จึงไม่มีใครในวังนี้กล้ารังแกฉันทั้งต่อหน้าและลับหลังอีก ฉันเลยเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสบายใจ แต่ว่าปากคนเป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้จริงๆ มีบ้างเหมือนกันที่แอบนินทาฉันลับหลัง
อิ้นเสียงกับองค์ชายสี่เดินทางไปอันฮุย ดูเหมือนว่าจะไปจัดการเรื่องธุรกิจค้าเกลือ ฉันยอมให้พวกเขาออกไปนอกวังดีกว่า ถึงแม้จะลำบากยากเข็ญ แต่ถ้าอยู่ที่นี่ ความยุ่งยากจะยิ่งมากมาย เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นฉันเอาไปบอกใครไม่ได้เสียด้วย ได้แต่หวังในใจขอให้พวกเขาหลบไปไกลๆ ไม่ต้องมาประสบพบเจอ
อิ้นเสียงไม่ได้ส่งจดหมายมามากนัก คนโบราณส่งจดหมายเป็นเรื่องที่วุ่นวายน่าดู ในจดหมายเขาไม่ได้เล่าถึงความลำบากของตัวเองเลย แต่บอกเล่าบรรยากาศและวิถีชีวิตของผู้คน รวมถึงเรื่องสนุกๆ ให้ฉันฟัง แต่บ่าวผู้ทำหน้าที่ถือจดหมายบอกว่าเขาและองค์ชายสี่เหน็ดเหนื่อยมาก พระนางเต๋อเฟยทรงฟังแล้วก็นึกห่วง แต่ไม่มีหนทางทำอะไรได้ ที่สำคัญคือนี่เป็นความไว้วางพระทัยและพระเมตตาที่ฝ่าบาททรงมอบให้ พระนางจึงกำชับกับพวกบ่าวที่ตามเสด็จทุกครั้งว่าให้ดูแลองค์ชายให้ดี ส่วนฉันก็จะรวบรวมสิ่งที่เขียนไว้ในแต่ละวันฝากส่งกลับไปให้เขา
เฮ้อ... ฉันถอนหายใจหนักๆ ตั้งแต่ถูกยกให้อิ้นเสียง จดหมายของที่บ้านก็ขยันมาจัง เมื่อเดือนก่อนแม่ของฉันถูกพระนางเต๋อเฟยเรียกตัวเข้าวังเพื่อปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของฉัน ผู้เป็นแม่ตื้นตันในพระกรุณา ขอบพระทัยพระนางทั้งน้ำตา ส่วนฉันกลับรู้สึกอ่อนใจ อุตส่าห์หลบเลี่ยงครอบครัวตัวเองมาตั้งนาน ท้ายที่สุดก็เป็นเครื่องมือของนายท่านผู้เป็นพ่อจนได้ แต่แม่ในสมัยชิงของฉันคนนี้รักและหวังดีกับฉันมากจริงๆ
พระนางเต๋อเฟยทรงมีพระเมตตาให้เราสองแม่ลูกได้มีโอกาสพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว พอแม่ได้เจอฉันก็ร้องไห้ก่อนอย่างอื่น บอกคิดถึงแทบขาดใจ แต่ฉันยังไม่ทันจะได้ปลอบเธอก็หัวเราะออกมาพลางบอกว่าฉันทำให้เธอภาคภูมิใจมาก ตอนนี้พวกญาติๆ ที่บ้านมีแต่คนชมเธอว่าเลี้ยงลูกสาวดี เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหางตาอยู่ตลอด แต่ใบหน้าก็ซ่อนความดีใจไว้ไม่มิด ฉันจึงยิ้มไปกับเธอด้วย ในใจรู้สึกดีขึ้นมา ถึงฉันจะยังไม่รู้ว่าร่างที่อาศัยอยู่ในยุคสมัยนี้เป็นของฉันเองหรือเป็นของหมิงเวยตัวจริงกันแน่ แต่ก็รู้สึกรักผูกพันและหวงแหนมันแล้ว
แม่กำชับนักกำชับหนาให้ฉันทำตัวดีๆ ต้องก้าวย่างอย่างรอบคอบ อย่าทำอะไรพลั้งพลาดให้คนอื่นเขาจับผิดเอาได้เป็นอันขาด ฉันรีบยิ้มพยักหน้ารับ ในใจคิดไปว่าวีรกรรมที่ฉันเคยก่อคงไม่เคยรู้ไปถึงหูเธอแน่ๆ ถ้าไม่เพราะสายข่าวของเธอไม่ดีก็ต้องเป็นเพราะมีคนหวังดีไม่อยากให้รู้ สุดท้ายเธอก็อาลัยอาวรณ์ไม่อยากต้องจากกันอีก ฉันจึงต้องปลอบว่าต่อไปคงได้มีโอกาสพบเจอกัน ตอนนี้อย่าเพิ่งเสียใจฟูมฟายไปเลย แม่น้ำตาร่วงพลางทิ้งท้ายประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ฉันต้องขมวดคิ้ว
ท่านพ่อของลูกก็ห่วงลูกมากนะ บอกว่าพรุ่งนี้จะส่งจดหมายมา
ฉันปั้นยิ้มพยักหน้า มองดูหลีไห่เอ๋อร์นำทางแม่กลับไป
มือของฉันคลี่จดหมายออกจนเกิดเสียง ฉันก้มลงอ่านข้อความที่ผู้เป็นพ่อเขียนมาถึง แต่ละอักษรในจดหมายใส่ความห่วงใยไว้ภายใน แต่น่าเสียดายว่าสิ่งที่เขาห่วงไม่ใช่ตัวฉัน กลับเป็นลาภยศสรรเสริญพวกนั้นต่างหาก! มันทำให้ฉันต้องเบ้ปากเลยทีเดียว
เดือนสี่ ลมที่พัดโกรกระเบียงทางเดินอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ฤดูใบไม้ผลิเวียนมาถึงอย่างไม่ทันรู้ตัว บางครั้งฉันก็คิดเหมือนกันนะว่าถ้าฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่มาจากอนาคตและฉันเป็นลูกของนายท่านบ้านนี้จริงๆ ฉันคงได้อ่านจดหมายจากคนเป็นพ่อจนตาลายแน่ ตัวอักษรสีดำบนกระดาษขาวตรงหน้านี้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้อ่านเอกสารสอดแนมของพวกจารชนเลย...องค์ชายสิบสามทรงกำลังทำอะไรอยู่บ้าง ทรงปฏิบัติกิจใดกับองค์ชายสี่...ข้อความในจดหมายเขียนแบบคลุมเครือ แต่ฉันเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าฉันฉลาดเกินไปหรือเพราะคนเป็นพ่อเลอะเลือนไปแล้ว แต่พอคิดดีๆ อีกทีก็รู้สึกว่าไม่ถูก เพราะทั้งพ่อและน้องชายที่ท่าทางจะเป็นพรรคพวกขององค์ชายแปดไม่น่าสะเพร่าทำให้คนอื่นรู้แกวขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นแล้วจดหมายนี่ต้องการล้วงลึกเรื่องของฉันหรือมีจุดประสงค์อื่นกันแน่ ฉันเดาไม่ออกเลย
เฮ้อ... ฉันนวดขมับตัวเองแรงๆ เรื่องราวชักสลับซับซ้อนเสียจนเกินความสามารถที่ฉันจะรับมือได้ แต่จะเลี่ยงก็ไม่ได้เหมือนกัน ทำได้แค่ใช้ความสงบสยบเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นจดหมายจากที่บ้านจึงทยอยมาอย่างไม่ขาดสาย ฉันต้องตอบจดหมายเหมือนจดไดอารี่ตอนวันหยุดปิดเทอมสมัยเด็กๆ ไม่มีผิด แต่ก็เป็นการตอบไปในทางที่ดูเหมือนฉันเป็นสตรีโบราณหัวอ่อนทั่วไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ดีอย่างที่คิดไว้ นับจากนั้นจดหมายก็น้อยลงทันตาเห็น เริ่มคืนสู่ความสงบ แต่ไม่นานนักก็มีจดหมายมาใหม่ ฉันอ่านจดหมายฉบับนี้อีกครั้ง ผู้เป็นพ่อบอกว่าให้ฉันกลับไปเยี่ยมบ้านก่อนแต่งงานบ้าง เพราะพิธีแต่งงานของฉันต้องจัดในวัง...
เสี่ยวเวย! จู่ๆ ตงเหลียนที่เดินขึ้นมาจากระเบียงทางเดินด้านล่างก็ร้องทักให้ฉันตกใจ ยังจะอ่านจดหมายอยู่อีก อีกไม่นานก็จะได้พบหน้ากันแล้วไม่ใช่หรือ
ฉันสะดุ้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอทักแล้ว แต่ต้องอึ้งเมื่อเธอแซว
พูดอะไรของเจ้า อีกไม่นานอะไร
ตงเหลียนนั่งลงข้างๆ ฉัน เมื่อครู่ข้าได้ยินพระนางท่านตรัสว่าท่านพ่อของเจ้าทูลขอให้เจ้ากลับไปพักที่บ้านชั่วคราวก่อนที่จะแต่งงาน ฝ่าบาททรงถือหลักกตัญญูกตเวทีปกครองไพร่ฟ้า ย่อมทรงอนุญาตเป็นธรรมดา แล้วจะไม่ให้พูดว่าจะได้พบหน้าพ่อแม่เร็วๆ นี้ได้อย่างไร พูดจบเธอก็หยิบจดหมายในมือฉันไปตีแปะๆ ที่คาง
จดหมายจากที่บ้านคงบอกเจ้าแล้วกระมัง
ฉันยิ้ม ใช่ แต่ยังไม่ได้บอกวันที่แน่นอน ไว้ถึงเวลาค่อยว่ากันเถอะ
ตงเหลียนเอียงไหล่มากระแทกฉันพร้อมหัวเราะเจ้าเล่ห์
เห็นพระนางท่านดำริว่าพ้นเทศกาลเดือนสิบ*ไปแล้วก็จะจัดงานให้เจ้า ดีใจหรือไม่
ฉันหันไปชำเลืองมองเธอแล้วพยักหน้าจริงจัง
อืม! ดีใจสิ! ดีใจจนนอนไม่หลับเลย! แต่พอพูดจบฉันก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ดูสิ ขอบตาดำปี๋เลย
ฮิๆๆ ตงเหลียนหัวเราะร่วน เจ้านี่ช่างไม่อายบ้างเลย นับวันก็ยิ่งเอาใหญ่
ฉันยืนขึ้นบิดขี้เกียจ เฮ้อ! ข้าก็อยากหน้าบางนะ แต่ตั้งแต่เจ้ากับตงเหมยรู้เรื่องจดหมายนี้ก็ล้อเลียนข้าทุกวันจนหน้าข้าหมดยางแล้ว
ฮ่าๆๆ! เจ้านะเจ้า! ตงเหลียนลุกขึ้นดึงฉันให้ลงไปด้านล่าง ถ้าเจ้าแต่งงานไปแล้วจริงๆ พวกเราคงได้พบกันยากยิ่ง เฮ้อ... จู่ๆ ตงเหลียนก็นึกเศร้าใจขึ้นมา
ฉันหันไปมอง ขอบตาแดงขึ้นมาทันที คิดถึงวันเวลาตลอดสองปีที่เข้าวังมาอยู่ร่วมกับพวกเธอแล้วใจฉันก็ปวดแปลบ รีบกระแอมไล่ก้อนที่จุกอยู่ในคอ
อะแฮ่ม! เจ้าคิดไกลเกินไปแล้ว ข้ายังไม่ได้ไปไหนเสียหน่อย! อีกอย่าง วันหนึ่งเจ้าเองก็ต้องถูกปลดออกจากวัง ถึงตอนนั้น... ฉันพยายามคุมเสียง ข้าก็จะได้ไปดื่มเหล้ามงคลของเจ้ากับองครักษ์ถงไงเล่า!
น่าหมั่นไส้จริงแม่คนนี้ ตงเหลียนน่าแดงเรื่อ ยื่นมือจะมาหยิกฉัน แต่ฉันรีบชิงวิ่งหนีก่อน
หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ตงเหลียนหัวเราะชอบใจไล่ตามหลังมา
ฉันอ้อมหลังภูเขาจำลองมาถึงผนังบังตาด้านหน้าตำหนักใหญ่ของพระนางเต๋อเฟย มองเลยไปเห็นคนหลายคนยืนอยู่หน้าประตู คล้ายกับ... ฉันรีบลดจังหวะก้าว
ดูอะไรอยู่หรือ ตงเหลียนที่ตามมาด้านหลังชะโงกหน้ามาดูด้วย โธ่ ข้าก็นึกว่าอะไร
ฉันหันกลับไปมองเธอ ใครกันเหรอ
ตงเหลียนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อพลางกระซิบบอก
พระอัครชายา สงสัยจะเสด็จมาตรัสเรื่องประพาสทางใต้ของฝ่าบาท ครั้งนี้พระนางท่านอาจจะต้องตามเสด็จด้วย พวกเราก็คงได้ไปเหมือนกัน เรากลับห้องกันเถอะ คงตรัสกันมิใช่ชั่วประเดี๋ยว วันนี้ไม่ใช่เวรรับใช้ของเรา หากมีเรื่องอะไรก็คงมีคนมาเรียกเอง ตงเหลียนหันมาเห็นฉันก็ชะงัก เจ้าเป็นอะไร ทำไมสีหน้าไม่ชวนมองเลย
ไม่มีอะไร สงสัยเมื่อครู่วิ่งเร็วไปหน่อย ไปเถอะ
ฉันฝืนยิ้มหันเดินไปก่อน ได้ยินเสียงตงเหลียนพูดเล่นอะไรสักอย่างซึ่งฉันก็หัวเราะตาม แต่จริงๆ แล้วไม่ได้สนใจเรื่องที่เธอพูดเลยเพราะมัวแต่คิด ในที่สุดก็เริ่มขึ้นแล้วสินะ...
เสี่ยวเวย
หา?
เสียงอวี้เกอเอ๋อร์ดังมาจากด้านหลัง ฉันขานรับแต่ยังไม่ทันจะหันไป
ให้! อวี้เกอเอ๋อร์เดินมายัดของอย่างหนึ่งใส่มือฉัน
ฉันก้มลงมองถุงผ้าหูรูดสำหรับพกติดตัวในมือ อะไรเหรอ
อวี้เกอเอ๋อร์ยิ้มเผล่ ถุงพกอย่างไรเล่า!
ฉันชำเลืองตาพลางยิ้ม เจ้าเลียนแบบใครไม่เลียน ดันไปเลียนแบบตงเหลียนเสียได้
ม่านประตูถูกเลิกขึ้น ตงเหลียนเดินเข้ามาปั้นหน้าเฉย
เลียนแบบอะไรข้า หือ?
คิกๆๆ อวี้เกอเอ๋อร์แอบขำ ส่วนฉันส่ายหน้าเอือม
ข้าคงไร้สามารถในการนินทาคนลับหลังจริงๆ
ตงเหลียนเดินไปล้างมือที่กะละมังสำริดริมหน้าต่าง ก่อนจะรับผ้าขนหนูจากอวี้เกอเอ๋อร์ไปเช็ดมือ
เจ้าเพิ่งรู้หรือ อุตส่าห์นำของมาให้ด้วยความปรารถนาดียังถูกเจ้านินทาเอาได้ ข้าซึ้งใจแล้ว
ฉันหัวเราะหึๆ พลางยื่นน้ำมันหอมถนอมมือส่งให้เธอ
ข้าผิดไปแล้ว
ตงเหลียนพยักหน้าพอใจ ฉันจึงกระเถิบไปด้านข้างให้เธอได้นั่งลง
ครั้งหน้าข้าจะดูให้ดีก่อนว่าเจ้าอยู่แถวนี้หรือไม่แล้วค่อยนินทาเจ้า
ฮ่าๆๆ!
อวี้เกอเอ๋อร์หัวเราะลั่น ตงเหลียนยิ้มหมั่นเขี้ยวหยิกฉัน ขณะกำลังเล่นกันสนุกสนานตงเหมยก็เดินเข้ามาในห้อง เห็นพวกเราเล่นสนุกกันจึงยิ้มพูด
แม่สาวทั้งหลาย พอรู้ว่าเจ้านายท่านบรรทม พวกเจ้าก็ออกฤทธิ์กันเลยเชียว
อวี้เกอเอ๋อร์ปราดเข้าไปเล่าความเป็นมา ตงเหมยเลยหัวเราะบ้างแล้วก็หันไปพูดกับตงเหลียน
ถ้าเจ้าเจรจาชนะนางได้ ฝนคงตกลงมาเป็นสีแดงกระมัง
ฉันขึงตาใส่เธอ เจ้าหมายความว่ายังไง พูดเสียข้ากลายเป็นคนปากจัดเลย
ฮ่าๆๆ! พวกนางหัวเราะกันใหญ่ ฉันมองค้อนทำทีว่าโกรธ แล้วก็ลุกขึ้นเดินจะไปรินชา
โอ๊ย! หัวเราะจนท้องแข็ง เลิกสนุกกันได้แล้ว นี่ ตงเหมยหันมาทางฉัน
หือ? ระหว่างที่รินชาฉันก็ขานตอบเธอ
นั่นเป็นของที่องค์ชายสี่ประทานมา เป็นของดีมากเชียวนะ
โอ๊ย! ร้อน!
น้ำร้อนหกรดมือฉัน แก้วหล่นกระทบพื้นโต๊ะดังเพล้ง ฉันทนเจ็บวางกาน้ำชาลงบนโต๊ะ พวกตงเหมยต่างรีบเข้ามาดู
สวรรค์! ลวกมือแดงไปหมดแล้ว อวี้เกอเอ๋อร์เร็วเข้า ไปหยิบผงหยกขาวมาเร็ว ตงเหลียน เจ้าไปเอาน้ำเย็นมาประคบนางก่อน
เจ็บจังเลย! สายตาพร่าเลือนไปหมดเพราะน้ำตาคลอหน่วย สุดท้ายก็ล้นออกมาทั้งๆ ที่ฉันพยายามกลั้นไว้
ทำไมถึงซุ่มซ่ามอย่างนี้นะ...
ตงเหมยช่วยฉันเก็บกวาด ปากก็บ่นไปด้วย ขณะที่พวกตงเหลียนแยกย้ายกันไปหยิบของ แป๊บเดียวทุกคนก็จัดการเรียบร้อย ตงเหมยสังเกตดูรอยแผล
ดีนะที่แค่เป็นรอยแดง ไม่ได้บวมพอง คงจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็น ตงเหมยเงยหน้าขึ้นมาถาม เจ็บมากหรือไม่ ให้ตามหมอหลวงมาดูหน่อยไหม
ฉันส่ายหน้าฝืนยิ้ม ไม่ต้องหรอก เรื่องเล็กแค่นี้เอง อย่าให้เดือดร้อนถึงหมอหลวงเลย มีหมอใหญ่อย่างเจ้าคอยดูแลก็พอแล้ว
ตงเหลียนหัวเราะ พี่เหมยไม่ต้องห่วงหรอก เจ้าดูสิ นางยังคุยเล่นได้อยู่เลย ไม่เป็นไรแล้วล่ะ
ตงเหมยเบ้ปาก ยิ่งโตก็ยิ่งซุ่มซ่าม กับแค่รินน้ำชายังให้ลวกมือตัวเองได้
อวี้เกอเอ๋อร์ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ ไม่ได้เกี่ยวกับอายุหรอก คงเพราะได้ยินว่าองค์ชายสี่กลับมาแล้ว องค์ชายสิบสามก็ต้องกลับมาด้วย ดีใจล่ะสิ
พอพูดถึงเรื่องนี้พวกเธอก็หัวร่อต่อกระซิกกันใหญ่ ฉันฝืนยิ้มไปกับพวกเธอ แต่กระจกบนโต๊ะกลับสะท้อนเงารอยยิ้มของฉันได้น่าเกลียดกว่าตอนร้องไห้เสียอีก สาวใช้กลุ่มนี้หัวเราะกันไปหัวเราะกันมาไม่ยอมหยุดจนฉันยิ้มแห้ง ตงเหลียนถึงได้เอียงหน้ามามองฉัน
ทำไมเล่า ไม่ชอบใจหรือ
ฉันส่ายหน้า แต่ยังไม่ทันได้เปิดปากหัวหัวหนึ่งก็โผล่มาจากม่านประตูทำเอาฉันตกใจ เจ้าเด็กหลีไห่เอ๋อร์หัวเราะคิกคัก
พี่สาวทั้งหลาย พระนางท่านตื่นบรรทมแล้ว ทรงเรียกให้ไปหาแน่ะ
ตงเหมยสงสัย ทำไมวันนี้ทรงตื่นเร็วนัก องค์ชายสี่ยังทรงกำชับไม่ให้ใครกวนเลย
คงเป็นสายสัมพันธ์แม่ลูกกระมัง พระนางท่านทรงรู้ว่าพวกขององค์ชายสี่เสด็จกลับมาแล้ว จึงทรงบรรทมต่อไม่ได้ หลีไห่เอ๋อร์หลิ่วตาท่าทางแปลกๆ พาให้พวกของตงเหลียนอดขำไม่ได้
เจ้าลูกลิงน้อย หลักแหลมจริงนะ ว่าแล้วตงเหมยก็หันมาสั่ง อวี้เกอเอ๋อร์ เจ้าไปกับข้า เสี่ยวเหลียน เจ้าเก็บของแล้วค่อยตามไป เธอหันมาทางฉัน เสี่ยวเวย เจ้าพักผ่อนเถอะ หากพระนางถามถึงข้าจะทูลให้เจ้าเอง
ฉันพยักหน้า เมื่อตงเหมยเห็นหน้าตาเหงาซึมก็คิดจะพูดอะไร แต่ฉันส่ายหน้าบอกเสียก่อน
ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่เจ็บนิดหน่อย อีกสักพักก็คงหาย เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก รีบไปเถอะ
ตงเหมยยิ้มแล้วเดินออกไปพร้อมอวี้เกอเอ๋อร์ หลีไห่เอ๋อร์แลบลิ้นทะเล้นใส่ฉันทีหนึ่งก่อนจะแจ้นตามไป
เจ้าจะนอนพักสักหน่อยไหม ตงเหลียนเก็บของมือเป็นระวิง แต่ก็ยังมีใจถามฉัน
ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้นเสียหน่อย เจ้าเก็บของเสร็จแล้วก็รีบไปเถอะ
ฉันยิ้มพลางเดินไปนั่งที่ม้านั่งข้างหน้าต่าง ต้นหลิวด้านนอกหน้าต่างหลายต้นทิ้งยอดทอดกิ่งแผ่ใบออกไปแล้วดูอ่อนช้อยเหลือเกิน สายลมอุ่นอ่อนที่มีเฉพาะฤดูใบไม้ผลิโชยพัดมาไม่ขาดสาย ตงเหลียนซึ่งอยู่ด้านหลังเล่าจ้อไม่หยุด ทำให้ฉันได้รู้ว่าองค์ชายสี่กลับมาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิแล้วจึงมาคารวะพระมารดา องค์ชายสิบสามก็ตามมาเหมือนเคย ทั้งคู่มีของฝากให้กับทุกคนด้วยเพราะเห็นว่าตอนนี้ผู้ถวายการดูแลพระนางเหนื่อยหนักกันมาก ของทุกชิ้นได้เขียนแยกรายชื่อไว้หมดแล้ว แต่ละคนจะได้รับของต่างกัน บรรดาบ่าวรับใช้จะได้พวกถุงพก... ฉันเหม่อฟังไปคล้ายกับจะได้ยินทุกอย่าง และก็เหมือนกับไม่ได้เข้าหูเลย
เช่นนั้นข้าไปนะ
ฉันสะดุ้งเงยหน้าขึ้น ตงเหลียนยืนก้มลงมามองฉัน
ดูเจ้าสิ นั่งเหม่ออีกแล้ว เอ้า! รับไว้
ของชิ้นเดิมวางลงมาบนมือ ฉันเผลอกำถุงผ้านั้นอย่างไม่รู้ตัว
เก็บไว้ดีๆ นะ นี่น่าจะเป็นของดี ระวังอย่าให้คนใจคดที่ไหนมาลอบฉวยไปล่ะ
ตงเหลียนเลิกผ้าม่านแล้วหันกลับมากำชับฉัน
รู้แล้วน่า ฉันยกมุมปากรับคำ
ตงเหลียนหัวเราะก่อนจะวางใจปล่อยม่านลง
ภายในห้องเงียบสงบ ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นฟังเสียงลมหายใจของตัวเองผสานเข้ากับเสียงลมเฉื่อย ผ่านไปพักใหญ่ก็เริ่มทนไม่ไหวก้มลงมองดูถุงพกสีน้ำเงินใบเล็กทำจากผ้าแพรต่วนเนื้อนิ่ม ปักลายรูปกิ่งเหมยอ่อนพลิ้ว เรียกได้ว่างานฝีมือชั้นเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ฉันลูบจมูก สงสัยตัวเองจะคิดมากเกินไป ในเมื่อฝากคนอื่นมาให้ได้ก็คงไม่มีอะไรลึกซึ้ง พอใจสงบลงแล้วฉันก็มองลวดลายอย่างละเอียด เพราะช่วงนี้เรียนการปักเลยรู้สึกสนใจมากหน่อย นี่ล่ะมั้งที่เขาเรียกงานปักแบบอันฮุย ประณีตงดงามจริงๆ ปักได้เนียนสนิทไม่เห็นปมด้ายเลย ข้างในก็เหมือนกัน รอยเชื่อมต่อยัง...นี่มันอะไร ฉันหรี่ตาเพ่งมองด้วยความประหลาดใจ ด้านในนั้นเหมือนจะปักข้อความอะไรไว้ ฉันรีบพลิกด้านในออกมาดู
สายธารผืนน้ำกว้าง ท้องนภาย่อมหยัดสูง ฉันตาสว่างขึ้นทันที นี่มันอักษรของฉันนี่ ดิ้นเงินเส้นเล็กสะท้อนแสงแวววับเมื่อต้องกับแสงแดด เหมือนกับดวงตานิ่งเฉยขององค์ชายสี่ ฉันนิ่งมองอยู่พักหนึ่ง เฮ้อ...ฉันรีบพลิกถุงผ้ากลับตามเดิม ในใจรู้สึกฝาดเหมือนเพิ่งกินลูกพลับห่ามๆ
ฉันเดินไปปลดกุญแจหีบและเลิกเสื้อผ้าออกทีละชั้นๆ กล่องพู่กันกล่องหนึ่งและหนังสือชุดหนึ่งปรากฏอยู่ข้างใต้ ฉันลูบนิ้วไล้พวกมันอย่างไม่ตั้งใจ แต่กลับรู้สึกว่าของธรรมดาๆ เหล่านี้ทำให้หนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาได้ ฉันรีบเอาถุงพกใส่ไว้ด้านล่างสุดแล้วหยิบเสื้อผ้าซ้อนทับกลับไปเหมือนเดิมก่อนปิดล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา เมื่อเสร็จแล้วฉันก็ถอยไปนั่งบนเตียงจนกระทั่งตงเหลียนมาหาฉันถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองนั่งจ้องหีบนั้นตลอดบ่าย