Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กนกนาคราช (บทที่ 9 คำขอร้องของพิมพ์วารี) ติดต่อทีมงาน

กนกนาคราช (บทที่ 1 ผ้าไหมโบราณ)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12086966/W12086966.html
กนกนาคราช (บทที่ 2 แรงดึงดูด)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12103088/W12103088.html
กนกนาคราช (บทที่ 3 แรงปรารถนานำพา)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12115475/W12115475.html
กนกนาคราช (บทที่ 4 ชายชุดแดง)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12128775/W12128775.html
กนกนาคราช (บทที่ 5 คำทำนายของอดีตชาติ)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12147685/W12147685.html
กนกนาคราช (บทที่ 6 ญาณทิพย์ของพิศลย์)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12152536/W12152536.html
กนกนาคราช (บทที่ 7 ความลับของปลายฟ้า)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12182646/W12182646.html
กนกนาคราช (บทที่ 8 ลางสังหรณ์ของพงศกร)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12200476/W12200476.html






บทที่ 9 คำขอร้องของพิมพ์วารี

ปลายฟ้าว่ายตามกระแสน้ำ ลงมายังดินแดนเอราปถอีกครั้งด้วยความเบิกบานใจ ร่างยาวยักษ์เคลื่อนไหวผ่านสายธาราเย็นใสอย่างเริงร่า พร้อมกับกวาดสายตามองหาร่างของนางนาคาสีเขียวผู้เป็นสหาย

จนสุดท้ายนาคสาวสีรุ้งก็จำต้องแปลงกายเป็นมนุษย์และเดินขึ้นฝั่งมา ด้วยที่ว่าข้างหน้านี้มีบ้านเรือนผู้คนปลูกอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ หากพวกเขาเห็นเธอในสภาพนางพญางูก็คงไม่พ้นจะต้องตกใจกลัวจนไม่เป็นอันทำมาหากินแน่...

ใบหน้าขาวนวลเนียนหันซ้ายขวา แพรสไบสีชมพูเลื่อมพรายพลิ้วสะบัดตามแรงลมต้นเดือนกรกฏาคม

“แม่นางเอราปถ... ข้ามาแล้ว...” ปลายฟ้าตะโกนเรียก เมื่อแลเห็นร่างอรชรในชุดสไบเขียวอ่อนและซิ่นสีเทาเข้มนั่งกอดเข่าอยู่ริมแม่น้ำโขง ใต้ร่มไม้ใหญ่

ปลายฟ้าสาวเท้าเข้าไปใกล้ขณะที่พิมพ์วารีรีบเอามือเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ

“อ้าว...แม่นางนั่นเอง” พิมพ์วารีลุกขึ้นยืน ปั้นยิ้มส่งให้กับปลายฟ้าที่ยืนพินิจดวงเนตรที่แดงก่ำของอีกฝ่าย

“มีเรื่องอะไรรึเปล่าจ้ะ ดูสีหน้าแววตาท่านไม่ค่อยจะสู้ดีนัก...”

“อ๋อ...ข้าไม่เป็นไรดอกจ้ะ สบายดี และก็ดีใจที่ได้พบแม่หญิงสีรุ้งอีกครั้งหนึ่ง”

“ข้าก็ดีใจที่ได้เจอแม่หญิง วันนี้เบื่อๆ เลยว่ายน้ำเล่นมาเรื่อยๆ ตามเคย วันนี้แม่หญิงพาข้าขึ้นไปเที่ยวชมเมื่องมนุษย์หน่อยจะได้ไหม ได้ยินว่าวันนี้มีงานบุญด้วยนี่...”

“จ้ะ...เป็นงานวันเข้าพรรษา แม่หญิงสนใจจะไปถวายผ้าจำนำพรรษาที่วัดด้วยกันไหม”

“ไปสิจ้ะ... นี่ก็สายแล้ว ข้าว่าเรารีบไปกันดีกว่า....” ปลายฟ้าผายยิ้มกว้าง ขณะที่พิมพ์วารีได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ก่อนสาวเท้าเดินนำนาคสีรุ้งสาวสู่หมู่บ้านอีกครั้ง...

งานบุญในครั้งนี้ ครึกครื้นด้วยผู้คนที่แห่มาทำบุญในวันเข้าพรรษา ปลายฟ้าดูท่าทางว่าจะตื่นเต้นที่ได้อยู่ท่ามกลางเหล่ามนุษย์ทั้งชายหญิง ในขณะที่ใบหน้าคมสวยของพิมพ์วารียังอัดแน่นไปด้วยความกังวลจากเรื่องของบิดาที่สั่งเสียไว้

“แม่นางเอราปถ ข้าอยากเดินไปดูขบวนแห่ตรงนั้นสักหน่อย ไปด้วยกันเถอะนะ” ปลายฟ้าเอื้อมมือไปเขย่าแขนอีกฝ่ายเบาๆ แต่ทว่าพิมพ์วารีกลับสั่นศีรษะ

“ข้ารู้สึกเพลียนิดหน่อยน่ะแม่หญิง แม่หญิงไปคนเดียวเถอะนะข้าจะนั่งรออยู่ใต้ร่มไม้นี่” พอเห็นสีหน้าหม่นหมองของอีกฝ่ายนาคสีรุ้งสาวก็ถึงกับเบิกตากว้างด้วยความแคลงใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่า ถ้าท่านไม่สบายข้าจะได้พากลับ...”

“ข้าไม่เป็นไรดอกจ้ะ แม่หญิงไปเถอะ นานๆ จะได้ขึ้นมาเที่ยวงานบุญทั้งที...” นาคสีเขียวฝืนยิ้ม ก่อนบีบมือปลายฟ้าเบาๆ

“ถ้าอย่างนั้นรอข้าอยู่ตรงนี้นะ...” ปลายฟ้าบอกพร้อมรอยยิ้ม ก่อนหันหลังวิ่งดุ่มๆ เข้าไปดูขบวนแห่เทียนพรรษาด้วยความตื่นเต้น

ร่างระหงวิ่งตรงไปอย่างไม่ทันระวัง จนเผลอชนเข้ากับแผงอกหนาของใครอีกคนที่เดินสวนมาพอดี ปลายฟ้าเกือบจะถลาล้มหากแต่ก็ถูกมือหนาคว้าเอาไว้ได้ทันเสียก่อน

หญิงสาวเอาอีกมือจับแขนเขาไว้แน่น ขณะดวงตาทั้งสองคู่ประสานสายตากัน ก็เสมือนมีกระแสบางอย่างแล่นผ่าน กนกนาคราชในร่างมนุษย์หนุ่มรูปงามค่อยๆ ประคองตัวหญิงสาวขึ้นช้าๆ ขณะที่หัวใจของปลายฟ้าเต้นตุบตับไม่เป็นจังหวะ

“ท่าน...” นาคสาวเอ่ยอย่างกระอึกกระอัก ก่อนคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้านางที่จุดยิ้มและทอดมองด้วยแววตาอ่อนโยน

“แม่นางนี่เอง ไม่นึกว่าจะได้พบกันอีก...”

“ท่านกนกนาคราชใช่หรือไม่ ดีใจเหลือเกินที่ได้พบท่านอีกครั้งเช่นกันเจ้าค่ะ” ปลายฟ้าเริ่มทำตัวไม่ถูก เดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงย เอามือบิดชายสไบเล่นด้วยความขวยเขิน

“นี่แม่หญิงมาทำบุญหรือ...” นาคหนุ่มเอ่ยถามเสียงนุ่มเช่นเคย ปลายฟ้าเงยหน้าขึ้นน้อยๆ ก่อนบอกเสียงใส

“เจ้าค่ะ ข้ามาทำบุญกับเพื่อน นางเป็นนาคสีเขียวนั่งพักอยู่ทางฝั่งโน้น” นาคสาวเบนหน้าไปทางทิศที่พิมพ์วารีนั่งพักอยู่ เมื่อชายหนุ่มหันไปมองตาม เธอก็หันมามองเสี้ยวหน้าหล่อเหลาคมคายเต็มตา

จนเมื่อเขาสะบัดหน้าหันกลับมา ทั้งสองจึงได้ประสานสายตากันอีกครั้ง หากแต่ครานี้นาคสาวกลับเบิกตาค้างอย่างไม่กระพริบ รู้สึกราวกับว่าร่างกายเบาหวิวดุจปุยนุ่น แรงพลังบางอย่างดึงดูดเธอไว้ไม่ให้ละสายตาไปจากบุรุษตรงหน้านี้ เหมือนกับกนกนาคราชที่จดจ้องดวงหน้านวลเนียนและดวงตาสีรุ้งเลื่อมพรายเป็นประกายระยิบระยับของนาคสาวไว้อย่างหลงใหล ความเสน่หาและพึงใจต่อกันของทั้งสอง ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น...



พิมพ์วารีนั่งอยู่บนเตียงนอนขนาดหกฟุตของเธอ เบื้องหน้าของหญิงสาวคือผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มลายกนกสองผืนที่วางอยู่เคียงข้างกัน ฝั่งซ้ายเป็นของเธอ ส่วนฝั่งขวาเป็นของปลายฟ้าที่เธอได้รับมาจากวิศรุต

ความเคียดแค้น ชิงชัง หึงหวง และความทะเยอทะยานอยากเป็นหนึ่ง กำลังต่อสู้กับความถูกต้อง ความยุติธรรมและคุณธรรมฝ่ายดีในจิตใจของเธอ ภาพความฝันอันแสนประหลาด ประหนึ่งมันคือความจริงที่เกิดขึ้น ประหนึ่งมันคือเสี้ยวชีวิตของเธอเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ผืนผ้านี้มีอิทธิพลต่อเธอและปลายฟ้า ยิ่งเมื่อเธอได้มันมาครอบครองไว้โดยสมบูรณ์เธอก็ยิ่งรู้สึกและสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความโหยหาและสัญญาที่ติดตามมาจากภพชาติเดิม หากแต่เหนือสิ่งอื่นใด คุณธรรมที่เธอยึดมั่นอยู่ในใจมันก็ต่อต้านรุนแรง เมื่อฟ้าลิขิตให้ผ้าไหมผืนนี้ขาดออกเป็นสองส่วนแล้ว เธอก็ควรจะมอบส่วนนั้นคืนให้กับปลายฟ้าไป...

พิมพ์วารีระบายลมหายใจออกจนสุด ก่อนพับผ้าไหมของตัวเองใส่ไว้ในกระเป๋าถือใบใหญ่ ก่อนพับเก็บผ้าไหมส่วนของปลายฟ้าใส่ในช่องกระเป๋าส่วนหน้า โดยเธอตั้งใจว่าจะนำไปมอบให้กับอีกฝ่ายในเช้าวันนี้

เมื่อผ่านพ้นช่วงเคร่งเครียดไปแล้ว ร่างอรชรก็เดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายให้สดชื่น ก่อนออกมาแต่งตัวเพื่อไปทำงานตามปกติ แต่ไม่ทันจะได้ก้าวขาออกจากห้อง โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเสียก่อน

พอยกขึ้นดูเจ้าของห้องสาวก็ต้องย่นคิ้วด้วยความแปลกใจ เป็นเด็กสาวนามว่าอุสาผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องจากบึงกาฬที่โทร.เข้ามา

“อุสา...มีเรื่องอะไรรึเปล่าจ้ะ โทร.หาพี่แต่เช้าเลย” พิมพ์วารีย่อตัวลงน้อยๆ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบเอารองเท้าส้นสูงมาสวมใส่ขณะอีกมือถือโทรศัพท์ไว้แนบหู

“แม่ใหญ่บ่สบายค่ะ เป็นไข้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว อุสาเช็ดตัวให้เบิดคืน พอมาใกล้ช่วงตีสี่ไข้บ่ลด เลยได้จ้างรถลุงสัมฤทธิ์พาเข้าโรงพยาบาล” เด็กสาวสื่อสารด้วยภาษาอีสานอันเป็นรากเหง้า ขณะที่คนปลายสายใจหายวาบ

“จริงเหรอ ? แล้วนี่คุณยายเป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นรึยัง?” ผู้เป็นหลานสาวเอ่ยถามด้วยความร้อนรน

“หมอเผิ่นให้ดูอาการก่อนค่ะ แต่โตฮ้อนไข้บ่ยอมลดเลย ทั้งไข้สูงทั้งละเมอหาเอื้อยพิม อุสากะเลยต้องได้โทร.มาหาเอื้อยพิมนี่หละจ้ะ อยากให้เอื้อยพิมลงมาเบิ่งอาการแม่ใหญ่...” อุสาบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อหันไปมองยายพันวลีที่นอนซมด้วยพิษไข้ก็ชวนให้หดหู่ใจลงไปอีก

“ตกลงจ้ะ พี่จะรีบขับรถกลับบึงกาฬตอนนี้เลย บอกคุณยายด้วยนะเดี๋ยวพี่จะกลับไปหา ระหว่างนี้อุสาต้องคอยดูอาการคุณยายให้ดี มีอะไรก็รีบโทร.บอกพี่เลยนะจ้ะ”

“ค่ะๆๆ เอื้อยพิมขับรถดีๆ นะคะ อุสาสิถ่า...” เด็กสาวเมืองบึงกาฬย้ำเสียงหนักก่อนกดวางสายไป และหันมาเอาผ้าชุบน้ำคอยเช็ดตัวให้ผู้เป็นยายอีกครั้ง

พิมพ์วารีรีบออกรถ ขับมุ่งกลับสู่บ้านเกิดโดยเร็วที่สุด คุณยายพันวลีคือผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่ นับจากที่พ่อและแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อคราวเธออายุได้เพียงสิบขวบจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณยายพันวลีก็เป็นผู้อุปถัมภ์เลี้ยงดูพิมพ์วารีมาโดยตลอด ชีวิตของหญิงสาวไม่ได้หรูเริดอะไรนัก ออกจะล้มลุกคลุกคลานเสียด้วยซ้ำ นับตั้งแต่การที่ต้องไปทำงานพิเศษหลังเลิกเรียนตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมปลาย จนกระทั่งเก็บเงินเพี่อเป็นทุนการศึกษาในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ แต่เมื่อได้กลายเป็นนิสิตแล้วเธอก็ต้องหางานทำเพี่อส่งเสียตัวเองอีกเช่นเคย ลำบากตรากตรำจนกระทั่งเรียนจบและคว้าใบปริญญามาอย่างภาคภูมิใจ ความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นของหญิงสาวทำให้คนรอบข้างอดนับถือและยกย่องในตัวเธอไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็คือพงศกร เพื่อนร่วมงานหนุ่มของหญิงสาว ซึ่งถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านจะแตกต่างกันสุดขั้ว แต่ทั้งสองก็ไม่ยอมให้เส้นบางๆ นั้นกั้นขวางมิตรภาพอันดีงามของความเป็นเพื่อนได้ ทุกครั้งที่มีปัญหาพงศกรจะเป็นคนแรกที่หญิงสาวนึกถึง และทุกครั้งที่ทุกข์ใจพิมพ์วารีก็จะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เข้าใจพงศกรมากที่สุด ทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทที่รักกันมาก คล้ายกับใบหม่อนและปลายฟ้า ที่เป็นเพื่อนซี้กันมาตั้งแต่สมัยประถม

“กร...คุณยายฉันไม่สบายมาก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล ฉันกำลังขับรถกลับไปหาท่านที่บึงกาฬ เมื่อกี้ฉันโทร.บอกหัวหน้าแล้ว งานที่ค้างอยู่ฉันฝากแกประสานให้ด้วยนะ...” พิมพ์วารีสั่งเพื่อนหนุ่มทางโทรศัพท์ ขณะที่พงศกรได้แต่ทำหน้าเหรอหราอย่างตกใจ

“คุณยายแกไม่สบายเหรอพิม แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า แล้วแกจะลากี่วันเนี่ย...”

“หมอกำลังดูอาการอยู่ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะลากี่วัน ตอนนี้ขอให้ได้เจอยายก่อนก็พอ” น้ำเสียงหดหู่เอ่ยบอกขณะที่ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจ

“เอาเถอะ เดี๋ยวงานทางนี้ฉันจะดูให้ แกไม่ต้องเป็นห่วงนะ” พงศกรบอกเสียงเรียบ ก่อนที่พิมพ์วารีจะเอ่ยขอบคุณและวางสายไป พอจบจากการสนทนากับเพื่อนสนิทได้ไม่เท่าไหร่ หญิงสาวร่างระหงในชุดกระโปรงสั้นสีเหลืองอ่อนเข้ารูป รับกับเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวลายลูกไม้ก็เดินละลิ่วตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าเดือดดาล

พงศกรหยัดกายลุกขึ้นยืนด้วยสัญชาติญาณ สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าเธอกำลังโกรธจัด

“พิมพ์วารีอยู่ที่ไหน...” ปลายฟ้าตวาดถามเสียงดัง ทำเอาพนักงานหลายสิบคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่หันมามองเป็นแถว

“ไปทำธุระที่ต่างจังหวัดครับ คุณปลายฟ้ามีอะไรรึเปล่า...” พงศกรเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่ได้สะทกสะท้านกับอาการขึ้งโกรธของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

“ฉันต้องการพบเพื่อนคุณ มีเบอร์โทรศัพท์มั้ย แล้วบ้านเธออยู่ที่ไหน?”

“ถ้าเป็นเรื่องงานยัยพิมให้ผมรับช่วงแทนครับ คุณฟ้ามีข้อสงสัยหรืออยากจะเพิ่มเติมตรงไหนงั้นเหรอครับ?”

“คุณพงศกร...ฉันไม่ได้จะมาติดต่อเรื่องงาน ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเพื่อนคุณ เรื่องส่วนตัว !” ปลายฟ้าเน้นเสียงจนฟังดูคล้ายตะคอก ขณะที่พงศกรได้แต่เม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจ อีกฝ่ายยังคงจ้องหน้าเขาอย่างอาฆาต ชายหนุ่มกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะบอกอีกฝ่ายไปหรือไม่

“ยัยพิมกลับไปเยี่ยมคุณยายที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาล ที่จังหวัดบึงกาฬครับ ผมบอกคุณได้เท่านี้ ต้องขอตัวไปทำงานก่อน” จบคำชายหนุ่มก็คว้าเอาแฟ้มเอกสารที่จะต้องนำไปเสนอหัวหน้าขึ้นมาถือไว้ ก่อนเดินเชิดหน้าจากไป ทิ้งให้คนข้างหลังกำมือแน่นอย่างเจ็บใจ...

แต่อย่างน้อย เธอก็ได้รู้ว่าพิมพ์วารีกำลังไปที่ไหน คิดเหรอว่าเธอจะตามไปไม่ถูก ยังไงเธอก็จะต้องตามกลับไปเอาผ้าไหมของเธอคืนมาให้ได้



ปลายฟ้าถลาร่างเข้าไปในรถยนต์ส่วนตัว ก่อนขับออกไปด้วยอาการร้อนรนพร้อมกับโทร.หาใบหม่อนเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ฉันกำลังจะไปบึงกาฬน่ะหม่อน เธอช่วยไปสืบให้ทีซิว่าบ้านของนังพิมพ์วารีมันอยู่ที่ไหน?” สั่งเพื่อนสนิทรัวเร็วจนอีกฝ่ายตั้งตัวไม่ทัน ใบหม่อนต้องขอตัวออกมาจากที่ประชุมเพื่อสนทนากับปลายฟ้า

“สืบเหรอ?...ทำไมต้องสืบ แล้วนี่เธอกำลังไปบึงกาฬ ไปทำไมน่ะฟ้า” อีกฝ่ายลากเสียงถาม ยิ่งทำให้อารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านทวีความรุนแรง

“ก็ไปตามเอาผ้าไหมของฉันคืนน่ะสิ วันนั้นวิศรุตเข้าไปที่ออฟฟิศฉันแล้วเขาก็หยิบเอาผ้าไหมของฉันมา พอฉันตามไปเอาที่บ้านก็บอกว่าส่งให้พิมพ์วารีไปแล้ว”

“หา...จริงเหรอฟ้า แล้วคุณวิศรุตเขาจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร เขารู้จักคุณพิมอย่างงั้นเหรอ? เขาไม่น่าจะรู้นะว่าเธอกับคุณพิมไม่ค่อยจะ...”

“ช่างเถอะหม่อน แต่ที่รู้คือฉันต้องตามกลับไปเอาผ้าไหมของฉันคืนมาให้ได้” ปลายฟ้าตวาดกลับ

“แล้วจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณวิศรุตเขาเอาผ้าไหมผืนนั้นให้คุณพิมจริงๆ น่ะฟ้า แล้วถ้าเขาหลอกเธอเพียงเพื่อจะให้เธอเข้าใจคุณพิมผิดล่ะ...”

“ไม่ใบหม่อน ฉันรู้สึกได้ว่าผ้าไหมฉันอยู่กับมัน...เธอทำตามที่ฉันสั่งเถอะน่า หาที่อยู่ให้หน่อย มันกลับไปเยี่ยมยายมันที่บึงกาฬ อีกสองชั่วโมงฉันจะโทร.กลับไปเอาคำตอบ ขอบใจมากนะ” พูดจบก็วางสายไปทันที ทิ้งให้ใบหม่อนต้องยืนนิ่วหน้าอยู่อย่างไม่สบอารมณ์




ด้วยความที่ชำนาญเส้นทาง พิมพ์วารีจึงบึ่งมาถึงโรงพยาบาลบึงโขงหลงในเวลาบ่ายสี่โมงเย็น พอถึงที่หมายแล้วจึงรีบตรงเข้าไปหาผู้เป็นยายทันที

บนเตียงคนไข้ในห้องพักผู้ป่วยนั้น ยายพันวลีกำลังลุกนั่งโดยมีอุสาคอยป้อนผลไม้เข้าปากให้อย่างช้าๆ ภาพที่ได้เห็นทำเอาหญิงสาวน้ำตาร่วง หลังจากที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมยายนานเกือบสองเดือนเพราะงานที่ยังสะสางไม่เสร็จ พิมพ์วารีรีบถลาร่างเข้าไปหา ก่อนกราบลงที่ปลายเท้าหญิงชราทันที

“พิม...พิมมาแล้วบ่ลูก...” ยายพันวลียกมือขึ้นเรียก ใบหน้ายับย่นด้วยริ้วรอยประดับไปด้วยรอยยิ้มของความคิดถึง พิมพ์วารีขยับกายเข้าไปใกล้ และสวมกอดผู้เป็นยายทั้งน้ำตา มือเหี่ยวย่นนั้นยกขึ้นลูบหัวของหญิงสาวเบาๆ

“แม่ใหญ่จ๋า แม่ใหญ่เป็นหยังหลายบ่อ พิมขอโทษที่บ่ได้มาเบิ่งแม่ใหญ่เลย พิมขอโทษ...” หญิงสาวแนบหน้าลงกับตักหญิงชรา หยดน้ำตารินไหลจนเปียกชุ่ม

“แม่ใหญ่อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่อุสาบอกว่าเอื้อยพิมกำลังขับรถกลับมาบ้านนี่แหละจ้ะ” อุสาบอกเสียงใส ใบหน้าเด็กสาววัยสิบเจ็ดดูอิดโรยจากการไม่ได้นอนทั้งคืนหากแต่เธอก็ยังยิ้มแย้มเมื่อเห็นอาการของยายพันวลีดีขึ้น

พยาบาลเข้ามาตรวจดูอาการและวัดไข้ ก่อนจะบอกว่าอีกไม่นานก็คงกลับบ้านได้ รอให้คุณหมอเจ้าของไข้มาตรวจเช็คอีกที ได้ฟังดังนั้นพิมพ์วารีจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ระหว่างรอแพทย์เข้ามาตรวจจึงนั่งคุยกับคุณยายให้หายคิดถึง

“แล้วเป็นหยังยายถึงจับไข้ล่ะจ้ะ ยายไปตากฝนบ่ พิมบอกแล้วว่าบ่ต้องออกไปนา บ่ต้องออกไปหาเก็บเห็ด เก็บผัก ให้อุสาไปซื้อมาให้กะได้...” หลานสาวตัดพ้อเสียงอ่อนก่อนที่อุสาจะแทรกขึ้น

“ยายบ่ได้ไปเฮ็ดอิหยังแบบที่เอื้อยพิมว่าดอกจ้ะ ตอนค่ำเมื่อวานนี้ฝนตกอย่างแฮง ไฟกะดับพร้อม อุสาเลยฟ้าวมาหายายตั้งแต่ห้าโมงแลง พอมาฮอดกะเห็นยายนอนเป็นลมอยู่ริมแม่น้ำโขงแล้ว...” อุสาพูดพลางถอนหายใจ เหลียวมองใบหน้าหญิงชราที่เครียดขรึมลงไปอย่างมาก

“แม่ใหญ่ไปเฮ็ดหยังริมแม่น้ำโขงจ้ะ...” พิมพ์วารีกระชับมือเหี่ยวย่นของยายพันวลีไว้แน่น เฝ้ารอคำตอบจากหญิงชราที่ค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองหลานสาว แววตาเครียดเคร่งจริงจังนั้นทำให้พิมพ์วารีรู้สึกไม่สบายใจ...

“ยายคุยกับเผิ่น... เผิ่นมาบอกว่าสิเอาหลานกลับไป แต่ยายบ่ให้ แล้วฝนกะตกลงมา ยายได้ยินแต่เสียงฟ้าฮ้องก่อนสิล้มลงไปและบ่ฮู้สึกโต...”

“ไผ...ไผสิมาเอาโตพิมไป...” พิมพ์วารีร้องถามด้วยสีหน้าจริงจัง อุสาขยับกายเข้ามาใกล้หญิงสาวด้วยอาการขนลุกซู่

“พญานาค... พ่อพญานาคผู้ใส่ชุดสีเขียว เผิ่นบอกว่าเป็นพ่อของหลานตั้งแต่เก่าก่อน บ่อยากเห็นหลานต้องทนทุกข์กับบ่วงที่ผูกไว้ อยากดึงให้กลับลงมาอยู่นำกันคือเก่า...แต่ว่า แต่ว่ายายบ่ให้เผิ่นเอาไปดอก” พูดจบหญิงชราก็ร้องไห้โฮ ก่อนที่พิมพ์วารีจะโผเข้าสวมกอดยายพันวลีไว้แน่น

“ยายบ่ต้องห่วงดอกจ้ะ บ่มีไผเอาพิมไปดอก ยายแค่ตาลายหน้ามืดหละกะเป็นลมสื่อๆ...” หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหลังหญิงชราพลางปลอบเบาๆ หากแต่ใจกลับคิดไม่เหมือนกับคำพูด เธอรู้สึกและสัมผัสได้ถึงแรงห่วงหาของบางอย่างที่ดึงเธอให้กลับมายังบึงโขงหลงอีกครั้ง...



ปลายฟ้ามาถึงเมืองบึงกาฬในที่สุด หลังจากที่โทร.ติดต่อใบหม่อนไม่ได้หลายชั่วโมง จู่ๆ เพื่อนสนิทก็โทร.กลับมาพร้อมกับแจ้งข่าวสำคัญ

“ขอโทษด้วยที่โทร.บอกช้า ฉันได้ข้อมูลมาแล้ว คุณพิมเธอพักอยู่ที่อำเภอบึงโขงหลง คุณยายเธอที่เข้าโรงพยาบาลก็คงพักรักษาตัวอยู่ที่นั่น...” ใบหม่อนบอกด้วยน้ำเสียงไม่สู้จะเต็มใจนัก

“ขอบใจมากนะ เดี๋ยวถ้าฉันเสร็จธุระแล้วจะโทร.กลับ” ปลายฟ้าบอกรวบรัดคล้ายรีบตัดบทก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบแทรกขึ้น

“ฟ้า...ฉันขอร้องอย่างหนึ่งได้มั้ย ถ้าหากว่าคุณพิมเธอเอาผ้าไหมไปจริง อย่าทำอะไรรุนแรงนะ...ฉันไม่อยากให้เกิดเรื่องเหมือนคราวนั้นอีก คุยกับเขาดีๆ นะฟ้า...” ใบหม่อนเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ซึ่งพอจะคลายความร้อนรนในตัวปลายฟ้าลงไปได้มาก

“ฉันจะพยายามก็แล้วกันนะใบหม่อน เธอไม่ต้องห่วงนะ...” ปลายฟ้าเม้มปากแน่น ก่อนกดวางสายไป สภาพอากาศในตัวเมืองบึงกาฬเริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝน ขณะที่ดวงตากลมรีเบิกกว้าง จดจ้องถนนที่จะมุ่งหน้าไปยังบึงโขงหลงก่อนเหยียบคันเร่ง พายานพาหนะไปตามหาเอาของรักกลับคืนมา ท่ามกลางเกลียวเมฆดำมืดและหมู่มวลพายุที่เคลื่อนลอยติดตามหญิงสาวไปประหนึ่งข้าทาสผู้จงรัก



ลมเย็นที่พัดกรูเข้ามาใส่ร่างอรชรนั้นทำให้พิมพ์วารีขนลุกซู่ บัดนี้เป็นเวลากว่าหกโมงครึ่งแล้ว ตะวันโพล้เพล้อยู่ที่ขอบฟ้าเตรียมจะลาลับ หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองกลุ่มเมฆสีดำที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับพายุที่ส่งเสียงคำรามก้องด้วยความพิโรธและสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบชวนให้หวาดเสียว

ยิ่งได้เห็นต้นไม้ริมทางโค่นล้มระเนระนาดก็ชวนให้ใจเสีย อุสาที่ประคองยายพันวลีออกมาจากโรงพยาบาลก็ตกใจไม่แพ้กัน ได้ยินเสียงผู้คนร้องโฮกันเซ็งแซ่ บ้างว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะพัดเข้าสู่ตัวเมือง

“เฮาถ่าให้พายุสงบก่อนค่อยพายายกลับบ้านกะได้มั้งเอื้อยพิม...” อุสาเสนอขึ้น แต่ทว่ายายพันวลีกลับสั่นศีรษะไม่เห็นด้วย

“ยายอยากเมือเฮือน...อยากไปเบิ่งเฮือนว่าตอนนี้เป็นจั่งได๋ พายุเข้าจั่งซี้เฮาแฮ่งต้องไปอยู่เฮือนไปรักษาเฮือนไว้” หญิงชรายืนยันด้วยสีหน้ามุ่งมั่น พิมพ์วารีบีบมือเหี่ยวย่นสองสามทีก่อนพยักหน้ารับ

“จ้ะ...พิมสิพายายเมือเฮือน...” รับคำเสียงเข้มก่อนจะบอกอุสาให้ช่วยประคองยายพันวลีมาที่รถ พอสองร่างเข้าไปในรถได้เท่านั้นแหละ ฝนเม็ดใหญ่ก็สาดเทลงมาทันที

ต้นไม้ใหญ่น้อยโอนเอนเพราะแรงลม ผู้คนต่างวิ่งหนีกันเข้าไปหาที่หลบซ่อน สายฟ้าแลบแปลบปลาบประหนึ่งคนกดเล่นสปอร์ตไลท์ พร้อมกับเสียงสาดเปรี้ยงของฟ้าที่ผ่าลงยังบริเวณรอบตัวเมือง

ขณะที่ทรุดนั่งตัดสินใจอยู่ในรถ เสมือนมีอะไรบางอย่างร้องเตือนให้หญิงสาวได้รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึง มีอะไรบางอย่างที่กำลังตรงมาหาเธอพร้อมกับลมพายุอันเกรี้ยวกราดนี้ แต่แม้ความรู้สึกกริ่งเกรงนั้นจะอดทำให้หญิงสาวหวั่นใจไม่ได้ หากแต่พลังอำนาจที่เธอรับรู้ได้ในกายเธอ ในจิตใต้สำนึกของเธอ ก็ร้องบอกให้เธอฮึดสู้...

พลันนั้น...พิมพ์วารีก็ตัดสินใจผลักประตูรถออกไปอย่างแรงก่อนดันมือกระแทกปิด สายฝนสาดเทลงใส่ร่างอรชรที่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังพิโรธ ดวงตากลมใสทั้งสองข้างเบิกกว้างจนสุด ก่อนสูดเอาอากาศเย็นชื้นเข้าปอด กำหนดจิตไปเข้าไปยังหมู่มวลเมฆดำครึ้มใจกลางพายุร้าย...

“ฉันขอได้ไหม... ขอให้หยุดเพียงชั่วครู่ ฉันจะพายายกลับบ้าน...” หญิงสาวร้องออกไปสุดเสียงก่อนที่สายฟ้าจะฟาดลงบริเวณใกล้ๆ จนร่างบางสะดุ้งโหยง หากแต่ดวงตากลมโตก็ยังคงเบิกค้างอยู่กลางอากาศอย่างไม่ยอมแพ้ แสงสีขาวแปลบปลาบจากมวลพายุ สะท้อนลงใส่ดวงตาดำขลับเป็นประกายสีเขียวมรกตลึกล้ำน่าเกรงขาม...

“ฉันบอกให้หยุด... หยุดเดี๋ยวนี้ !” สิ้นเสียงตะโกนก้องนั้น สายฟ้าก็ฟาดลงอีกครั้ง พร้อมกับหญิงสาวที่กำลังขับรถมุ่งหน้าตรงมายังบึงโขงหลงที่เหยียบเบรกกะทันหันจากการที่ควบคุมรถไม่อยู่เพราะถนนลื่น

ปลายฟ้ารู้สึกใจหายวาบ ก่อนหอบหายใจด้วยความระทึก ลมพายุที่ซัดซาดและเคลื่อนที่มาพร้อมกับเธอพลันได้อ่อนกำลังลง สายที่ฝนที่พร่างพรูกลายเป็นเพียงปอยฝนเล็กๆ เพียงเท่านั้น มวลเมฆสีดำเข้มทำท่าว่าจะเคลื่อนกายทอดทิ้งหลบลี้หนีไปอีกทาง...

เมื่อท้องฟ้ากลับมาสงบนิ่งดังเดิม พิมพ์วารีจึงคลายยิ้มอย่างพอใจ ก่อนกล่าวขอบคุณพายุที่จำใจลาจาก ร่างที่เปียกโชกรีบกลับเข้ามาในรถและรีบขับพายายพันวลีและอุสากลับสู่ยังบ้านพักให้เร็วที่สุด



“ฉันคลาดกับมันจนได้...คลาดกันจนได้” ปลายฟ้ากัดฟันกรอดๆ ขณะถลาร่างลงจากรถเมื่อมาถึงโรงพยาบาลบึงโขงหลงและรู้ว่าพิมพ์วารีพายายที่มาพักรักษาตัวกลับบ้านไปแล้ว

“แล้วจะเอายังไงต่อ นี่ก็ค่ำแล้วนะ ฉันว่าเธอหาที่พักก่อนดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะให้ลูกน้องดูให้ว่าคุณพิมเธอพักอยู่ที่ไหน?”

“แต่ว่า...” ปลายฟ้ายังดื้อดึงก่อนที่ใบหม่อนจะเตือนเสียงเข้ม

“ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน ฉันก็จะไม่ช่วยเธออีกนะฟ้า เธอหัดห่วงตัวเองบ้างสิ...เธอเป็นผู้หญิงนะ ยิ่งเดินทางไปตัวคนเดียวแบบนั้นยิ่งอันตราย เธอกำลังสร้างรีสอร์ทที่บึงกาฬไม่ใช่เหรอ กลับไปพักที่นั่นก่อนสิ”

“ไม่...ฉันจะหาโรงแรมนอนที่บึงโขงหลงนี่แหละ ยังไงพรุ่งนี้ก็จะต้องได้ของฉันคืน” ปลายฟ้าเน้นเสียง สุดที่ผู้เป็นเพื่อนจะทัดทานได้อีกต่อไป เมื่อจบการสนทนากันแล้วหญิงสาวจึงต้องจำใจเดินกลับเข้ามาในรถด้วยความเจ็บใจ

พิมพ์วารีทอดสายตามองบรรยากาศหลังพายุฝนพ้นผ่านริมฝั่งโขง เป็นภาพที่เธอไม่ได้เห็นมาร่วมสองเดือน ได้กลับมายังบ้านเกิดอีกครั้งก็ชวนให้เธอรำลึกถึงความหลังอันแสนสุขเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

จนตะวันลาลับไปจึงได้จัดเตรียมสำรับอาหารเย็นให้กับผู้เป็นยายโดยมีอุสามาคอยช่วยงาน อุสานั้นเป็นลูกสาวของน้าชายเธอซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านปูนไม่ห่างกันนัก แต่ด้วยความที่ยายพันวลีอยู่คนเดียว เด็กสาวจึงต้องมาคอยดูแลและอาศัยอยู่ยังบ้านไม้ริมแม่น้ำโขงหลังนี้ด้วย

“แล้วใบตองนี่ เก็บมาเฮ็ดหยังกันเหรออุสา...” หญิงสาวลากเสียงถาม ขณะที่ทั้งหมดกำลังเอร็ดอร่อยกับมื้ออาหารเย็น โดยเฉพาะยายพันวลีที่คิดถึงป่นปลาดุกฝีมือหลานสาวคนนี้นัก

“กะเมื่อวานป้าสำลีเผิ่นมาจ้างให้แม่ใหญ่เฮ็ดพาขวัญให้ ลูกสาวป้าสำลีเผิ่นสิแต่งงานน่ะจ้ะ นี่กะเหลือเวลาแค่มื้ออื่นแล้วบ่ฮู้ว่าสิเฮ็ดทันบ่อ...” อุสาบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนอ่อย... หากทำพาขวัญให้กับผู้ว่าจ้างไม่ทัน ก็อดที่จะเสียดายเงินค่าว่าจ้างไม่ได้

“ถ้าจั่งซั้นเอื้อยสิซ่อยเฮ็ด...มื้ออื่นเฮามาเฮ็ดแต่เช้านอ...”

“จ้ะ...” อุสาตอบรับด้วยความดีใจ ก่อนที่หญิงชราจะแทรกขึ้นเบาๆ

“หละกะมื้ออื่นแม่ใหญ่สิเฮ็ดพิธีเสียเคราะห์ให้พิมนำเดอ...เตรียมโตไว้เดอหล่า...”

“พิมบ่ได้เป็นหยังนี่แม่ใหญ่ เป็นหยังต้องเสียเคราะห์นำ ?” ผู้เป็นหลานสาวร้องถาม ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นความนิ่งเงียบจากหญิงชรา อดไม่ได้ที่พิมพ์วารีจะโยงไปถึงเรื่องที่ยายพันวลีบอกว่าจะมีคนเอาเธอกลับไปอยู่ด้วย... หากแต่ถ้าทำพิธีเสียเคราะห์แล้วมันทำให้ผู้เป็นยายสบายใจหญิงสาวก็ไม่อยากจะขัดใจอะไร



พงศกรบังเอิญเจอกับธันย์และพิศลย์ที่ห้างสรรพสินค้า หลังจากที่ทั้งสามเข้าไปดูหนังสือในร้านเดียวกัน เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วจึงมานั่งสนทนากันในร้านไอศกรีมต่อตามประสาคนรู้จักกัน

“ฝากบอกคุณพิมด้วยนะครับว่าขอให้คุณยายเธอหายไวๆ” ธันย์เอ่ยบอกหลังจากที่ถามถึงพิมพ์วารีและพงศกรได้แจ้งให้เขาทราบว่าเพื่อนสนิทเดินทางกลับบึงกาฬตั้งแต่เช้า

“ครับ...” พงศกรยิ้มหวาน ก่อนหันมายังพิศลย์ที่จ้องมองเขาอย่างไม่วางตา

“คุณมีอะไรรึเปล่าครับคุณพิศลย์...” พออีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างตรงๆ พิศลย์ก็ถึงกับสะดุ้งโหยง

“อ๋อ...คือ เอ่อ ผมแค่รู้สึกเหมือนว่าเราสองคนเคยเจอกันมาก่อนน่ะครับ” พอได้เห็นเพื่อนหนุ่มพูดตะกุกตะกักอย่างประหม่าธันย์จึงแซวขึ้น

“ไอ้พิศลย์นี่มันมีญาณพิเศษนะครับคุณกร ไม่เชื่อคุณกรลองถามมันดูสิว่าตอนนี้คุณกำลังคิดอะไรอยู่...” ธันย์หรี่ตามองเพื่อนหนุ่มด้วยความเจ้าเล่ห์ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอามือที่วางพาดอยู่บนหน้าขาหยิกแขนธันย์เข้าให้

ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังกัดกันอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของพงศกรก็ดังขึ้น เมื่อรู้ว่าเป็นพิมพ์วารีโทร.มาพงศกรก็รีบรับสายอย่างไม่รีรอ

“ทุกอย่างโอเคมั้ยพิม คุณยายเป็นยังไงบ้าง...” พอได้ยินชื่อหญิงสาวที่กำลังคิดถึง ธันย์ก็ชะงักงัน รีบหันมาจ้องหน้าพงศกรที่กำลังสนทนาอยู่กับเพื่อนสนิทด้วยความตั้งใจ

“จ้ะ ยายอาการดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้ก็กลับมาพักที่บ้าน เออ...กร ฉันต้องขอลาต่ออีกซักพักนะ อยากอยู่ดูแลคุณยายก่อนซักอาทิตย์นึง”

“ได้...เออ ใช่สิ พรุ่งนี้ฉันต้องลงไปที่รีสอร์ทคุณปลายฟ้า งั้นเดี๋ยวฉันแวะไปหาเธอที่บ้านด้วยดีกว่า”

“งั้นเหรอ?...” พอได้ยินชื่อหญิงสาวคนนั้นน้ำเสียงของพิมพ์วารีก็เบาลง

“เออ พิม...ฉันนึกขึ้นได้พอดี เมื่อเช้านี้...” พงศกรชะงักงันเมื่อช้อนสายตาขึ้นมองธันย์ที่ตั้งใจฟังการสนทนาของเขากับพิมพ์วารี ชายหนุ่มรีบหยัดกายลุกขึ้นก่อนขอตัวออกไปคุยโทรศัพท์นอกร้าน

“พิม เมื่อเช้านี้คุณปลายฟ้ามาขอพบเธอถึงที่ออฟฟิศแน่ะ บอกว่ามีเรื่องจะคุยเป็นการส่วนตัว พอฉันบอกว่าเธอไม่อยู่ก็ไม่พอใจ จะพบเธอให้ได้ ฉันเลยบอกว่าเธอกลับบ้านไปเยี่ยมคุณยายที่บึงกาฬ ยังไงซะระวังตัวไว้หน่อยก็ดีเหมือนกันนะพิม ฉันไม่รู้ว่าแม่นั่นจะมาไม้ไหนอีก...”

พอได้ฟังคำพูดของเพื่อนสนิทก็ถึงกับทำให้หญิงสาวต้องเบิกตาโพลง พิมพ์วารีรีบวางสายพงศกรไปก่อนตรงมาคว้าเอากระเป๋าสะพายใบใหญ่ ค้นหาเอาผ้าไหมที่เธอใส่ไว้ก่อนเดินทางกลับมา ผืนหนึ่งคือผ้าไหมส่วนของเธอ และอีกผืน...คือผ้าของปลายฟ้า

“เธอจะต้องตามมาเอาผ้าไหมของเธอคืนแน่...” พิมพ์วารีเอ่ยกับตัวเองด้วยความหนักใจ ไม่รู้ว่าหากปลายฟ้าเดินทางมาถึงที่นี่จริงๆ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเอาเสียเลย...

หากแต่นั่งขบคิดเรื่องผ้าไหมนั่นไม่นานเท่าไหร่พงศกรก็โทร.กลับมาอีกรอบ คราวนี้น้ำเสียงเพื่อนหนุ่มดูลิงโลดดีใจ ก่อนจะรีบเอ่ยบอกเรื่องสำคัญที่ทำให้หัวใจของพิมพ์วารีเต้นแรงขึ้นมา

“คุณธันย์กับเพื่อนก็จะเดินทางมาที่บึงกาฬด้วย และพอฉันบอกว่าตัวเองจะไปหาเธอที่บ้าน คุณธันย์ก็ดีใจใหญ่บอกว่าจะขอมาเยี่ยมคุณยายเธอด้วยอีกคน ยังไงเสียเธอก็อย่าลืมเตรียมต้อนรับเขาให้ดีๆ หละยัยพิม....”

แก้ไขเมื่อ 10 มิ.ย. 55 21:48:06

แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 55 18:37:32

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 55 18:35:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com