หมู่บ้านปาละเป็นหมู่บ้านที่ใส่ใจด้านการศึกษามากกว่าหมู่บ้านอื่นๆในเมืองอุตสาหะ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่ได้เป็นที่ชุมนุมของนักปราชญ์เฉกเช่นเมืองหลวง แต่ทุกคนล้วนอ่านออกเขียนได้ โรงเรียนประจำหมู่บ้านปาละ ทำการสอนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น ตั้งแต่แปดโมงถึงสิบโมงครึ่ง พักสิบห้านาทีแล้วสอนต่อจนถึงเที่ยง ที่ไม่สอนเต็มวันเพราะต้องการให้เด็กๆได้มีเวลาว่างในช่วงบ่าย ทั้งนี้เมื่อเริ่มเปิดสอนใหม่ๆ ทางโรงเรียนได้ทำการสอนถึงบ่าย ผลก็คือพ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกมาเรียนหนังสือ เพราะขาดคนช่วยงานที่ นอกจากนั้นยังให้เรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนให้เด็กๆมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเรียนแยกกัน เด็กผู้ชายเรียนในโรงเรียนซึ่งเคยเป็นวัดมาก่อน แต่ต่อมาไม่มีใครบวชแล้ว วัดจึงกลายเป็นสถานที่ร้าง ปล่อยไว้เฉยๆก็ไร้ประโยชน์ ขุนนางท้องถิ่นจึงได้ปรับปรุงให้กลายเป็นโรงเรียน ปัจจุบันมีโชปะเป็นอาจารย์ใหญ่ ส่วนเด็กผู้หญิงเรียนที่อดีตวังฤดูร้อนของพระมเหสีซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล มีวิราวันเป็นอาจารย์ใหญ่ วิชาที่สอนเป็นหลักคือภาษา เพราะเชื่อกันว่าเมื่อเด็กๆอ่านออกเขียนได้ ก็จะสามารถอ่านหนังสืออย่างอื่นต่อได้เอง ส่วนวิชาอื่นๆ ก็เช่นความรู้ทั่วไป ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ศาสนา และมารยาท ในโรงเรียนสตรีจะมีวิชาการเรือนเพิ่มเข้ามาด้วย ที่โรงเรียนไม่ได้สอนวิชาชีพ เพราะผู้คนในหมู่บ้านปาละมักประกอบอาชีพตามที่ครอบครัวของตนได้ทำสืบต่อกันมา เทวาก็เคยเรียนในโรงเรียนเช่นกัน เขาเป็นคนฉลาดเข้าใจอะไรได้ง่าย เมื่อเรียนจบ โชปะจึงต้องการให้เทวาเป็นอาจารย์ ช่วยเขาสอนหลังสือ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด นอกจากสอนหนังสือในตอนกลางวันแล้ว เทวายังต้องทำหน้าที่เป็นยามในตอนกลางคืนสลับเวรกับวิมุตและคนอื่นๆ เพราะโรงเรียนเคยเป็นวัดมาก่อนจึงมีเทวรูปล้ำค่าถูกเก็บอยู่มาก บางองค์ทำด้วยทองคำแท้ทั้งหมด นอกจากนั้นห้องสมุดของโรงเรียนยังมีตำราหายากมากมาย บางเล่มทำปกด้วยแผ่นทองคำหรือแผ่นเงิน มีการประดับด้วยหินสีและอัญมณี บางเล่มแม้ไม่ได้ทำปกหรูหรา แต่ก็เป็นตำราที่หายากยิ่ง จึงมีมูลค่าสูง โรงเรียนจึงตกเป็นเป้าหมายของพวกโขมย หลังช่วยเพื่อนร่วมชั้นเรียนในสมัยเด็กขนย้ายข้าวของไปยังบ้านหลังใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว เทวาก็พักทานข้าวกลางวันที่ร้านเล็กๆข้างถนน บ่ายวันนี้เขามีเวลาว่าง เนื่องจากตรวจการบ้านของเด็กๆ เสร็จตั้งแต่เย็นวันศุกร์ ถึงอย่างนั้นเขาก็มักจะถูกขอร้องให้ช่วยงานเล็กๆน้อยๆเสมอ ถ้าเทวาไม่ติดธุระเร่งด่วนจริงๆ เขามักให้ความช่วยเหลือในทันที จนได้รับฉายาว่าคนรับใช้สาธารณะ ช่างเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติและน่าภูมิใจเสียนี่กระไร แม้เทวาจะยินดีที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น แต่เขาก็ไม่ลืมไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนว่าคนที่ขอให้เขาช่วยเหลือมีความเดือดร้อนจริงหรือไม่ หรือแค่ขี้เกียจสันหลังยาว แล้วเอาเขามาเป็นคนรับใช้ชั่วคราว ถ้าเป็นกรณีหลังบางครั้งเขาก็ปฏิเสธไป หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ ชายหนุ่มเดินเล่นอย่างอารมณ์ดีไปตามถนน หยุดทักทายปราศรัยคนรู้จักที่เจอโดยบังเอิญบ้าง เทวาเห็นธาราเดินถือถุงใส่ผักออกมาจากร้านขายผัก เขากำลังอยากเจอนางอยู่พอดี จะได้คุยเรื่องผ้าคลุมไหล่ผืนนี้ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากคืนมันให้นาง “สวัสดีธารา” เทวาทักพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หญิงสาวสะดุ้งโหยงแก้มร้อนผ่าวจนเป็นสีแดงระเรื่อ เมื่อเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ให้ข้าช่วยถือของไปส่งที่บ้านนะ” ไม่ทันที่ธาราจะได้ตอบอะไร เทวาก็คว้าถุงใส่ผักมาจากมือนาง ธาราเป็นผู้หญิงตัวเล็กและผอม เขาซึ่งแข็งแรงกว่าสมควรช่วยอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งนางยังเป็นคนดีมากด้วย เทวาเป็นหนึ่งในผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เสนอความช่วยเหลือให้ผู้อื่นก่อน เขาไม่รู้เลยว่าเจตนาอันไร้เดียงสาของเขา ได้ขโมยหัวใจหญิงสาวหลายคนในหมู่บ้านไปโดยไม่รู้ตัว แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ชายบางคนหมั่นไส้ “ขะขอบคุณนะคะ” หญิงสาวเขินจนไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม นางไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าอัศดากำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ “ไม่เป็นไร ข้ายินดีที่ได้ช่วย” เทวายิ้มให้ ธารายิ้มตอบ ทันใดนั้นหญิงสาวก็ต้องผงะเมื่อสังเกตเห็นผ้าคลุมไหล่ของเทวา “ผะผ้าคลุมไหล่ผืนนั้น...” หญิงสาวหน้าซีดขึ้นมาทันใด “ข้าว่าจะคุยกับเจ้าเรื่องนี้อยู่พอดี ยายของเจ้าให้ข้ามา แต่ข้าคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะรับผ้าคลุมไหร่ราคาแพงแบบนี้ไว้ เจ้าเอามันกลับคืนไปเถอะ ผ้าผืนนี้เหมาะกับเจ้ามากว่าข้าเยอะ” เทวากล่าวอย่างเบิกบาน เขาไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย หญิงสาวมีสีหน้าลำบากใจ “แต่ข้าไม่ชอบมัน” “เจ้ารังเกียจของที่ข้าให้ ถึงขนาดนั้นเลยหรือ!?” เสียงหนึ่งโพล่งแทรกขึ้น เทวาและธาราหันไปมองด้วยความตกใจ จึงพบว่าอัศดากำลังยืนจ้องพวกเขาด้วยใบหน้าขุ่นเคือง ราวกับมีความแค้นแสนสาหัสรอแก้แค้นมานานแรมปี เทวารู้ได้ทันทีว่ามีปัญหาใหญ่แน่ เป็นตามที่สังหรณ์ไว้ไม่มีผิด ผ้าคลุมไหล่หรูหราผืนนี้กำลังนำหายนะมาให้เขา “อะอัศดา...ข้า...” ธาราหวาดกลัวจนพูดตะกุกตะกัก “เดิมที...ข้าก็ไม่อยากได้...แต่เจ้าคะยั้นคะยอให้ข้ารับต่างหาก...” “ถึงเจ้าไม่อยากได้ แต่ทำไมต้องเอาไปให้เทวาด้วย!?” เสียงของอัศดาแข็งขึ้น จนเกือบกลายเป็นตวาด เทวาถือถุงไว้ในมือซ้ายแล้วเอื้อมมือขวาไปจับไหล่อัศดา “ใจเย็นๆก่อนสิ ถ้าเจ้าอยากได้คืน ข้าคืนให้ก็ได้” อัศดาหันมาพร้อมกับประเคนหมัดใส่แก้มเทวาเข้าเต็มๆ ถึงเทวาจะเคยฝึกการต่อสู้ แต่เขาไม่คิดว่าอัศดาจะเลือดร้อนขนาดต่อยหน้าเขากลางถนนแบบนี้ ผักนานาชนิดหล่นกระจายออกจากถุง พร้อมกับร่างเทวาที่ล้มลง เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้น ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดมองเป็นสายตาเดียว เทวายันตัวลุกขึ้น การกระทำอันป่าเถื่อนอัศดาและความเจ็บปวดที่แก้มซ้ายทำให้เขาโกรธอย่างมาก ความคิดแรกคือพุ่งเข้าใส่คนที่ทำร้ายเขา แล้วตอบโต้กลับให้อีกฝ่ายเจ็บปวดยิ่งกว่าตน แต่สติที่พร่ำเพียรฝึกมา บอกเขาให้ใจเย็นไว้ก่อน การตอบโต้กลับด้วยวิธีการรุนแรง ไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากทำให้เรื่องบานปลายมากขึ้น เทวาพยายามนึกถึงบทสวดเมื่อเช้า โลกนี้มีเรื่องและคนที่ไม่น่าพึงพอใจมากมาย สิ่งที่เขาต้องทำก็คืออดทน “ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้” เทวาพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปรกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ความโกรธเคืองที่พยายามสะกดกลั้นไว้ ทำให้เสียงของเขาแตกพร่าสั่นเครือ อัศดาตรงเข้ามากระชากคอเสื้อเทวา ดวงตาของเขาเหมือนอสูรร้าย เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดราวกับมีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ข้างใน “เจ้าไม่มีสิทธิห่มคลุมผ้าผืนนี้” เขาแค่นเสียงออกมาอย่างโกรธเคือง เทวามองอัศดาด้วยความหวั่นใจ เขาสู้กลับได้ก็จริง และมั่นใจว่าชนะได้แน่ แต่มันจะดีจริงหรือ “หยุดนะ!!!” ธาราร้องห้ามพร้อมกับเข้ามายื้อยุดแขนของอัศดาไว้ “เจ้าไม่มีสิทธิทำร้ายเทวานะ” “อย่ามายุ่งนางสารเลว!!!” อัศดาผลักร่างบอบบางของหญิงสาวอย่างแรงด้วยโทสะ จนร่างบางล้มลงไหล่กระแทกพื้น นางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เทวาผลักร่างอัศดาออก แล้วรีบเข้าไปช่วยธาราทันที “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า!?” เขาโอบไหล่นางไว้อย่างปกป้อง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้อัศดาขุ่นเคืองมากเข้าไปใหญ่ “ชกข้ายังพอว่า แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะถึงขั้นทำร้ายผู้หญิง” คำพูดของเทวานับว่าเสียดแทงใจไม่น้อย ถึงเขาไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่เคยคิดจะลงไม้ลงมือกับผู้หญิง เรื่องเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วเสียจนอัศดาไม่ทันได้คิด บวกกับโกรธจนหน้ามืด จึงได้เผลอผลักธาราไป “ก็นางแส่ไม่เข้าเรื่องเองต่างหาก” อัศดากล่าวอย่างไม่แยแส อัตตาของเขาหนาเกินกว่าจะยอมรับผิด แม้รู้อยู่แก่ใจว่าผิด ทำไมข้าต้องรับบทเป็นผู้ร้าย โดยมีเทวาเป็นพระเอกแสนดีคอยปกป้องนางเอกผู้บอบบางด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งขัดใจ เขาจะอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกทำไม ชายหนุ่มก็ผลักผู้คนที่มุงดูอยู่ ให้แหวกออกจากกันอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ จากนั้นก็เดินจากไป “ลุกขึ้นไหวมั้ยธารา” เทวาถามขึ้นอย่างห่วงใย เขาลืมความเจ็บปวดที่ใบหน้าของตัวเองไปเสียสนิท เพราะมัวแต่เป็นห่วงธารา “ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เจ็บไหล่เท่านั้น” ธาราจับเทวาที่ยื่นให้ ปล่อยให้เขาช่วงพยุงนางลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผู้คนที่มุงดูอยู่ก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง “คนอะไรนิสัยแย่ที่สุด อัศดาช่างเป็นคนป่าเถื่อนสิ้นดี เขากล้าดียังไงถึงมาชกเจ้าแล้วยังผลักข้าอีก” น้ำเสียงของธาราเต็มไปด้วยความโกรธเคือง การถูกอัศดาชกทำให้เทวาเข้าใจเรื่องราวชัดเจนขึ้น อัศดาชอบธารา เรื่องนี้เขารู้นานแล้ว เพราะอัศดาแสดงออกมาอย่างเปิดเผย แต่ธาราไม่ชอบเขา แม้นางจะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแต่อัศดาก็ยังตามตื๊อไม่เลิก ผ้าคลุมไหล่ราคาแพงผืนนี้อัศดาคงซื้อให้ธารา นางไม่ชอบแต่จำใจต้องรับไว้ จึงให้แม่เฒ่าชงโคซึ่งเป็นยาย แล้วแม่เฒ่าก็เอาผ้าเจ้ากรรมมาให้เขาอีกที เขาก็เลยต้องรับหมัดของอัศดาไปเต็มๆ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าธาราชอบเขา เอ...แล้วธาราชอบข้ารึเปล่านะ ชายหนุ่มชักไม่แน่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก...” เทวากล่าว มองธาราด้วยสายตาอ่อนโยนแต่แฝงไว้ซึ่งความเศร้า “อย่าเกลียดอัศดาเลยนะ” “ทำไมเจ้าถึงพูดแบบนั้น เขาต่อยเจ้านะ ไม่โกรธบ้างหรือไง” คิ้วโก่งบางของหญิงสาวขมวดย่นด้วยความข้องใจ “ดูสิผักตกพื้นเลอะเทอะหมดเลย...แย่จริง” เทวาชิงเปลี่ยนเรื่อง “ข้าจะซื้อให้เจ้าใหม่ มาช่วยข้าเลือกทีสิ” เขาเดินนำไปที่ร้านขายผัก ธาราเดินตามไป “เจ้าไม่ต้องซื้อให้ข้าหรอก มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าสักหน่อย อัศดาต่างหากที่ผิด” หญิงสาวแย้ง “ไม่หรอก ข้าผิดที่ไม่ดูแลถุงใส่ผักให้ดี ถ้าข้าหลบหมัดของอัศดาได้ ผักก็คงไม่ตกลงพื้น มันเป็นความผิดของข้าเอง ให้ข้าซื้อให้เจ้าเถอะนะ” เขาหยิบผักกระหล่ำขึ้นมาดู เพื่อหาลูกสวยๆ “เจ้าไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ทั้งๆที่หน้าถูกชกจนเขียวแบบนั้น ไม่โกรธอัศดาบ้างหรือไง” เทวาหันมามองธารา “หน้าข้าเริ่มเขียวแล้วเหรอ” เขายกมือขึ้นแตะแก้ม “ก็ใช่น่ะสิ มีคราบเลือดติดด้วย” ธาราว่า “อา...สงสัยหน้าข้าคงหมดหล่อไปหนึ่งอาทิตย์” เทวาเปรยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก แอบดีใจที่ไม่มีฟันซี่ไหนหัก เทวาเป็นคนถ่อมตน มีอย่างเดียวที่เขาไม่ถ่อมตน คือคิดว่าตัวเองหล่อนี่แหละ “ไปที่บ้านข้าก่อนเถอะ ข้าจะใส่ยาให้ บ้านข้าอยู่ใกล้ๆนี่เอง” ธารากล่าว “งั้นเจ้าเลือกผักก่อนสิ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะได้ซื้อผักให้เจ้า” เทวายิ้มเจ้าเล่ห์ ดูเหมือนจิ้งจอกตัวน้อยที่วิ่งเล่นอยู่ในป่า แต่ไม่นานก็ต้องหุบยิ้ม เพราะเจ็บแก้ม “ก็ได้ข้ายอมแพ้แล้ว จะเลือกผักให้เดี๋ยวนี้แหละ เชื่อเจ้าเลย” ธาราทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมเดินไปเลือกผักแต่โดยดี นางจดจ่ออยู่กับการเลือกผัก เมื่อหันไปมองเทวาอีกทีก็พบว่าเขากำลังช่วยขนลังใส่ผักเข้ามาในร้าน “นี่เทวา...” ธารามองเขาอย่างงุนงง “มีอะไรเหรอ” ชายหนุ่มถาม เขาวางลังลงบนชั้น “เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ” ธาราเอ่ยถามด้วยความข้องใจ “เจ้าช่วยข้าเลือกผักอยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมไปยกลังซะล่ะ” “เจ้าของร้านกำลังวุ่นวายเรื่องจ่ายเงินให้คนส่งผักอยู่น่ะ เขาเลยขอให้ข้าช่วยยกลังเข้ามาให้” เทวากล่าว “อะไรกันเข้ามาในร้านแป๊บเดียวก็ไปช่วยงานเจ้าของร้านซะแล้ว ชอบทำตัวเป็นคนรับใช้จริงๆเลยนะ” ธาราว่า “ไม่ได้เป็นคนใช้สักหน่อย แค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ก็เท่านั้น ยังเหลืออีกสามหลัง เจ้าเลือกผักไปก่อนนะ” พูดจบเขาก็เดินไปยกลังเข้ามาอีกใบ ธาราได้ยืนมองเขาอย่างข้องใจ “แล้วทำไมเจ้าต้องอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นด้วยล่ะ ในเมื่อคนอื่นไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าสักหน่อย” นางถาม “ผิดแล้ว ข้าได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นมากมาย ชีวิตอับบอบบางนี้คงไม่สามารถอยู่รอดมาได้ถึงยี่สิบสี่ปี ถ้าไม่ได้รับความกรุณาจากผู้อื่น อีกอย่างค่าจ้างของข้าก็มาจากภาษีที่รัฐจัดเก็บจากประชาชน ถ้ามีใครเดือดร้อน ช่วยได้ก็สมควรช่วย ข้าพยายามระลึกถึงสิ่งนี้ไว้เสมอ” เทวาวางลังผักลงแล้วจัดเรียงให้เสมอกัน “เจ้าเนี่ยเป็นคนดีจังเลยนะ อยากให้หมู่บ้านนี้มีผู้ชายแบบเจ้าเยอะๆจัง” ธารายิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายชื่นชมขณะมองเทวา นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเลย ถ้าธาราชอบเขาจริงคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เพราะเขาไม่มีความรู้สึกพิเศษต่อนาง “ข้าไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอก” เทวากล่าวเสียงเรียบอย่างถ่อมตัว หลังจากซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เทวาก็ช่วยธาราถือของไปที่บ้าน นางใส่ยาให้เขาแล้วเอาผ้าผันแผลมาปิดทับรอยช้ำไว้ ครอบครับของธาราชวนเทวาทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะมีธุระต้องไปทำ ................................................. คนงานก่อสร้างเข็นรถใส่อิฐสีแดง ที่เผาด้วยความร้อนสูงไปยังบ้านที่กำลังก่อสร้าง แล้วลำเลียงอิฐใส่ตะกร้าที่เกี่ยวติดไว้กับรอก “เฮ้ยยย” เขาให้สัญญาณ คนงานที่รออยู่ข้างบนบ้านที่กำลังก่อสร้าง สาวเชือกช้าๆดึงตะกร้าขึ้นไปข้างบน คนงานอีกคนปลดตะขอเกี่ยวลอกแล้วยกตะกร้าใส่อิฐออกไป จากนั้นก็เกี่ยวตะกร้าเปล่าเข้าแทนที่ แล้วปล่อยเชือกนำตะกร้าหย่อนลงไป เพื่อให้คนงานที่อยู่ด้านล่างนำอิฐใส่ขึ้นมาอีก คนที่เดินผ่านไปมารู้ได้ทันที ว่าบ้านที่กำลังก่อสร้าง เป็นบ้านของคนมีฐานะ เพราะคนธรรมดาทั่วไปสร้างบ้านเพียงชั้นเดียว ด้วยอิฐและหินเชื่อมติดกันด้วยปูน ส่วนบ้านคนมีฐานะจะสร้างสองถึงสามชั้น นอกจากนั้นยังฉาบปูนทับอิฐอีกทีเพื่อให้ได้ผนังที่เรียบสวย จากนั้นก็ทาสี สีที่นิยมคือสีแนวธรรมชาติ เช่นสีเขียวตั้งแต่เขียวอ่อนไปจนถึงเขียวเข้ม เขียวอมเหลือง เขียวอมน้ำเงิน สีน้ำตาลและสีครีม มีการวาดลวดลายตามผนัง อัศดาเดินกอดอกสีหน้าบอกบุญไม่รับ แค่เรื่องของเทวากับธาราก็ทำให้เขาอารมณ์เสียมากแล้ว เจ้าพ่อค้ารับซื้อของป่ายังกดราคากวางที่เขาขายให้อีก วันนี้มีแต่เรื่องน่าขัดใจ เขาเตะก้อนหินที่อยู่บนถนนเพื่อระบายอารมณ์ ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีแสด พวกนกทยอยบินกลับรัง อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะลับขอบฟ้า บนทางเท้าที่ไม่ได้แยกออกจากถนนชัดเจน มีผู้คนเดินผ่านไปมาประปราย รถม้าวิ่งเอื่อยอยู่กลางถนน ร้านรวงเริ่มทยอยกันปิด อัศดามองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เห็นรถม้าจึงเดินข้ามฝั่ง เมื่อเท้าของเขาสัมผัสลงบนกึ่งกลางถนน เสียงเกือกม้ากระทบพื้นก็ดังกึกก้องขึ้น เขาหันไปมองด้วยความตกใจ รถม้าคันหนึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูง มุ่งตรงมาหาเขา อัศดาเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ทำไมถึงมีรถม้าวิ่งมาได้ ในเมื่อข้ามองดูรอบๆแล้วแต่ไม่เห็นสักคัน!? สารถีดึงบังเหิยนสุดตัว แต่สายไปแล้ว เขาไม่อาจหยุดม้าได้ทัน เรื่องเกิดขึ้นเร็วมากจนอัศดาทำอะไรไม่ถูก ขาของเขาแข็งเกร็งเพราะความตื่นตระหนก ทันใดนั้นมือของใครบางคนก็กระชากต้นแขนของเขาอย่างแรง ร่างสูงล้มลงพร้อมกับผู้ที่ช่วยเขาให้รอดพ้นจากความตาย รถม้าวิ่งผ่านเขาไปอย่างฉิวเฉียด แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ลุกขึ้น ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นอีก “อันตราย!!! ข้างบน!!!” อัศดาเงยหน้าขึ้น พบก้อนอิฐจำนวนมากกำลังหล่นลงมาบนศีรษะ ในขณะนั้นเอง มือของใครบางคนก็กระชากตัวเขาออกมาได้ทันท่วงที มีเพียงเศษอิฐเล็กๆกระเทาะออกมาโดนขาเท่านั้น อัศดานั่งนิ่ง ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาเฉียดตายแล้วไปแล้วถึงสองครั้ง เรียวปากของสั่นเทาด้วยความกลัว ถ้าไม่ได้มือของใครก็ไม่รู้มาช่วยดึงไว้ เขาคงตายไปแล้ว “เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า!?” เสียงหนึ่งถามขึ้นอย่างห่วงใย แต่ก็สั่นเครือเพราะความตกใจไม่แพ้กัน อัศดาหันไปมองผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วพบว่าชายผู้นั้นคือเทวานั่นเอง
จากคุณ |
:
holyneko
|
เขียนเมื่อ |
:
11 มิ.ย. 55 16:25:24
|
|
|
|