(ต่อค่ะ)
"ชีพจรปกติ อัตราการหายใจปกติ การตอบสนองปกติ นอนหลับได้ปกติ" คิริลพูด มีทีแลนก้มหน้าก้มตาจดตาม
พวกเขา...สองคนที่รู้สติ และอีกหนึ่งคนที่หลับไหล...อยู่ในห้องแพทย์ในพระราชวัง ห้องนี้ค่อนข้างโปร่ง ผนังสามด้านบุผ้าไหมสีอ่อน หากด้านที่ติดกับโลกภายนอกทำด้วยแก้วสีทึบเพื่อให้แสงจากภายนอกส่องเข้ามาได้ สีของกำแพงแก้วเปลี่ยนแปลงผกผันกับสภาพอากาศ เมื่อตอนนี้ภายนอกอึมครึมมันจึงเป็นสีเหลืองมะนาวสดใส เตียงสี่เสาสำหรับผู้ป่วยสองหลังตั้งอยู่ชิดและขนานไปกับกำแพงแก้ว คั่นกลางระหว่างเตียงด้วยหน้าต่างกระจกสีซึ่งตอนนี้เปิดไว้กว้าง
"ก็ต้องหลับปกติแหงล่ะ เจอผงนิทราของภูตท่านเข้าไป ไม่หลับก็ประหลาด เมื่อไหร่จะตื่นก็ไม่รู้" ทีแลนว่าก่อนกระเซ้า "โมโหที่นางเรียกภูตท่านว่าสัตว์ประหลาดหรือ ถึงเล่นแรงอย่างนี้"
"วิธีนี้เร็วที่สุด สะดวกด้วย จะได้ไม่ต้องชักเย่อกัน" คิริลบอกยิ้ม ๆ ขณะเปิดถุงเล็กข้างเอว หยิบเมล็ดกลมสีแดงขนาดเท่าปลายก้อยขึ้นมา "แค่ผงอย่างอ่อน อีกเดี๋ยวคงรู้สึกตัว"
"แต่ผงนี่มันมีผลข้างเคียง พอตื่นขึ้นมาก็จะลืมเหตุการณ์ตอนก่อนหลับไปช่วงสั้น ๆ ด้วยไม่ใช่หรือ ถ้าถึงตาข้า ขอความกรุณาท่านอย่าได้ใช้ไอ้ผงนั่นเลยนะขอรับ ข้าจะพูดจารู้เรื่อง เป็นเด็กดี" ทีแแลนดูคิริลวางเมล็ดนั้นลงกลางหน้าผากของลูมินัส ก่อนทำหน้าเบ้อย่างสยดสยอง "ส่วนไอ้เมล็ดชอนไชของท่านนี่ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้กับข้าด้วย ขอร้อง"
คิริลนิ่งเงียบ ไม่ตอบ และคนบ่นก็พอเดาได้ว่าแพทย์หลวงคงกำลังร่ายเวทอยู่ในใจ เมล็ดสีแดงนั้นคือหนึ่งในเวทที่คิริล...ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลนักเวทอัญเชิญภูตพฤกษา...เชี่ยวชาญ มีไว้เพื่อตรวจร่างกายโดยเฉพาะ คิริลไม่ได้ตั้งชื่อ หากทีแลนเรียกมันว่าเมล็ดชอนไช เนื่องจากเมล็ดนี้สามารถงอกรากเวทมนตร์เข้าไปภายในสิ่งที่มันวางอยู่คล้ายรากไม้ที่แทรกในพื้นดิน เมื่อวางบนร่างคน มันก็แทรกเข้าไปได้ถึงทุกส่วนในร่างกาย ช่วยในการตรวจได้มาก แม้ว่าหลังจากตรวจร่างกายเสร็จ รากเวทมนตร์นั้นจะถูกถอนออกโดยสมบูรณ์ แต่ทีแลนก็ภาวนาว่าอย่าให้เขาต้องไปข้องแวะกับมันได้เป็นดี เขาไม่อยากโดนไช
"บาดแผลไม่รุนแรง ไม่มีแผลไหนลึก การทำงานของร่างกายปกติดีทุกอย่าง สมองไม่มีร่องรอยการกระทบกระเทือน ไม่มีร่องรอยว่าต้องมนตร์อะไรมา ไม่มีเวทมนตร์แปลกปลอมแอบแฝง" คิริลเอ่ยหลังเงียบไปครู่ใหญ่ หยิบ 'เมล็ดชอนไช' ออกจากหน้าผากของลูมินัส "แปลกที่อยู่ ๆ ก็ลืมเรื่องของตัวเองกับความเจ็บปวดไปเสีย แต่กลับยังจำชื่อตัวได้"
"อย่าลืมเรื่องที่มองเห็นภูต"
"รอให้ตื่นแล้วค่อยลองซักอาการกันอีกที" คิริลสรุป
"ท่านว่านางเป็นผู้ทอแสงหรือเปล่า"
คำถามของทีแลนได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มประหลาดที่ทีแลนไม่เข้าใจความหมาย ดวงตาสีเขียวใสของคนยิ้มก็มีประกายประหลาดพอกัน ทีแลนได้แต่ทำหน้าเบื่อ ๆ เขารู้จักคิริลมานานเท่าอายุตัวเอง เพราะครอบครัวของทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่ให้ตายเถอะ จนป่านนี้ หมอนี่ก็ยังมีบางอย่างที่เข้าถึงยากเป็นบ้า ชอบทำตัวลึกลับ ไม่ชัดเจน ไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือไงก็ไม่รู้
"แล้วที่พวกลุง ๆ แกประชุมกันนั่นได้ข้อสรุปเรื่องไอ้ฝ่าบาทหรือยัง ถ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่ผู้ทอแสง จะเอายังไง" คนถามเปลี่ยนประเด็นเมื่อเห็นว่าที่ถามไปคงไม่ได้รับคำตอบ
"ยังสรุปกันไม่ได้ แต่ข้าว่าเจ้าชายคงไม่พ้นหรอก"
ทีแลนเบ้หน้า
"เพราะไอ้คำทำนายปัญญาอ่อนนั่นอีกล่ะสิ"
"ไม่มีใครพูดออกมาว่าใช้คำทำนายเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ แต่คงเป็นอย่างนั้น"
คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงทำเสียงฮึขึ้นจมูก
"แล้วพอลงมติมา ไอ้ฝ่าบาทผู้แสนเป็นเด็กดีก็จะทำตามอีก เหมือนตอนที่มันออกจากวังไปเมื่อปีก่อน" เขาเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยว "ถ้าข้ามีสิทธิขึ้นหอแสงเมื่อไหร่ จะไปเฉ่งไอ้พวกนักบวชให้เข็ดจนไม่กล้าทำนายอะไรพรรค์นี้อีกเลย คอยดู"
คิ้วสีเข้มของคิริลเลิกขึ้นพร้อมรอยยิ้มขัน ๆ
"เจ้าจะขึ้นไปในฐานะอะไร เชื้อพระวงศ์ ขุนนางชั้นสูง หรือว่าหนึ่งในสี่ประมุขของตระกูลนักเวท" เขาเย้า
คนโดนเย้ายิ้มกว้างอย่างถูกใจคำถาม
"เป็นขุนนางกับประมุขมันยาก เสียเวลานานด้วย ข้าแก่หงำก่อนพอดี ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์สิง่ายสุด แค่ขอพี่สาวของไอ้ฝ่าบาทแต่งงานเท่านั้นก็เรียบร้อย" แค่พูด ทีแลนก็อยากจะหัวเราะดัง ๆ ประการหนึ่งเพราะภาพเขากับเจ้าหญิงอเรียนน่าผู้แสนก๋ากั่นเอาแต่ใจแต่งงานกันมันตลกสิ้นดี และอีกประการหนึ่ง พอเขาพูดถึงอเรียนน่า ดวงตาสีเขียวใสซึ่งดูลึกลับอยู่เป็นนิจของคิริลก็หายลึกลับ มันหรี่ลงทันทีเหมือนระแวง ลงท้ายคนพูดเลยหัวเราะออกมาจริง ๆ "ล้อเล่นน่า เจ้าหญิงอเรียนน่าน่ะ ท่านจีบไปคนเดียวเถอะ ข้าไม่เอาด้วย ขืนแต่งไปมีหวังข้าโดนโขกสับเป็นทาสอยู่ก้นครัว"
"เจ้าหญิงไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น"
"เออ ไม่เลวร้ายก็ไม่เลวร้าย แต่ท่านน่ะจะทำอะไรก็ทำเสียทีเถอะ อยู่ต่อหน้าเขาก็เอาแต่ยิ้มไปยิ้มมาแบบนี้เมื่อไหร่มันจะสำเร็จ ถ้าข้าเป็นเจ้าหญิง ข้ารำคาญท่านตายชักไปแล้ว"
"เรื่องของข้า" คนที่ปกติเย็นเป็นน้ำทำตาดุได้เหมือนไอ้ฝ่าบาทไม่มีผิด เรียกเสียงหัวเราะดัง ๆ จากทีแลนได้อีกคำรบ
เสียงหัวเราะนั้นเรียกให้ลูมินัสตื่นขึ้น เธอครางฮือก่อนค่อยยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบ ๆ ตัวด้วยสายตางุนงง เมื่อเห็นหนึ่งเด็กหนุ่มหนึ่งชายหนุ่ม เด็กสาวก็สะดุ้ง รีบมองเลยไปด้านหลังทีแลน และเมื่อเห็นว่าไม่มีสัตว์ประหลาดที่เธอกลัว ก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มกว้าง
"ขอบคุณที่ท่านเก็บสัตว์ประหลาดสองตัวนั่นไปเสีย" เธอว่า ก่อนชะงัก หันมองรอบห้องอีกครั้ง และถามด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นร้อน "ท่านคนผมดำไปไหนแล้ว"
"มันไปทำธุระนิดหน่อย แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมา" ทีแลนบอก หัวเราะเบา ๆ "เจ้าก็มัวแต่กลัวภูตข้าจนลืมแนะนำตัวกัน "ข้าชื่อทีแลน...ทีแลน เซฟีร์ นี่คิริลจากตระกูลดาฟเน่ ส่วนท่านผมดำของเจ้าชื่ออาเธล เจ้าชายอาเธล แต่ข้าเรียกมันว่าไอ้ฝ่าบาท"
อาเธล...ลูมินัสชะงัก ทวนชื่อนั้นอยู่ในใจ...คุ้นหูเหลือเกิน...
"ไม่ตื่นเต้นเลยหรือ ได้เจอเจ้าชาย แถมได้มาพระราชวังที่ไม่ใช่ว่าจะมากันง่าย ๆ อีก" ทีแลนแกล้งถาม และได้รับคำตอบเป็นอาการส่ายหน้า
"คงเพราะข้าจำเจ้าชายไม่ได้ จำพระราชวังก็ไม่ได้ เลยไม่ตื่นเต้นสักนิด" เธอว่า "แต่พวกท่านเข้ามาพระราชวังได้ พวกท่านเป็นใคร อาศัยอยู่ที่นี่หรือ"
"คิริลเป็นหมอหลวง ส่วนข้าเป็นเด็กทำงานพิเศษ ส่วนใหญ่เราก็อยู่ในวังเพราะต้องทำงาน นาน ๆ ถึงจะได้กลับไปบ้านเกิด บ้านข้าอยู่ที่เซฟิรุส เมืองหลวงของเวสต์วินด์"
ลูมินัสเอียงคอ
"ท่านนามสกุลเซฟีร์ มาจากเซฟิรุส ถ้าอย่างนั้นท่านคิริลก็ต้องมาจาก...เมืองดาฟเนอุสหรือ"
ชาวเซฟิรุสและ 'ดาฟเนอุส' หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
"เปล่า บ้านเกิดข้าชื่อบลังก้า อยู่ที่เซาธ์วินด์ ทั่วทั้งวินเดเมียร์คงมีแค่คนจากเซฟีร์เท่านั้นที่ชื่อสกุลกับชื่อบ้านเกิดคล้ายกัน เพราะเซฟิรุสนั้นค่อนข้างพิเศษ"
"เดิมทีเซฟิรุสไม่ได้ชื่อเซฟิรุส แต่เมื่อแปดร้อยปีก่อนมีเหตุให้เปลี่ยนเป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อตระกูลข้า เป็นตำนานยาวเลยล่ะ ถ้ามีเวลาข้าจะเล่าให้ฟังเป็นนิทานก่อนนอน รับรองฟังแล้วเจ้าต้องชอบ" ทีแลนบอกด้วยท่าทางเหมือนหลอกเด็ก "อันที่จริงเวสต์วินด์น่ะมีตำนานเยอะ เมืองของนักเวทก็อย่างนี้แหละ พลังมากก็ประสาทมาก เรื่องเลยเยอะตาม"
"นอกจากเวสต์วินด์แล้วมีที่อื่นอีกไหม เป็นเมืองอะไร" ลูมินัสซัก
"วินเดเมียร์แบ่งเป็นห้าเขตการปกครอง นอกจากเวสต์วินด์ของทีแลนแล้ว ก็มีเซาธ์วินด์บ้านเกิดข้าเป็นเมืองเกษตรกรรมเพาะปลูกพืช ต้นไม้ ดอกไม้ อุดมสมบูรณ์มาก นอร์ธวินด์เป็นเมืองเหมือง แหล่งผลิตอัญมณีเวทชั้นดี อีสต์วินด์เป็นที่รวมของช่างฝีมือ พวกงานไม้ งานปูนปั้น แกะสลักหิน เป่าแก้ว ถือเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนวินด์สอายเป็นเมืองแห่งการค้า เพราะเป็นศูนย์กลางการติดต่อซื้อขายของดินแดน พระราชวังลอยอยู่ที่ใจกลางวินด์สอาย ไม่ไกลจากต้นเทียนเท่าไร" คิริลบรรยายก่อนเสริมยิ้ม ๆ "ถ้ามันเยอะนักจนจำไม่ทัน เจ้าไม่ต้องจำ อยากรู้ค่อยถามทีแลนหรืออาเธลเอาแล้วกัน"
"เดี๋ยวนะ นี่เราอยู่บนฟ้าหรือ" เด็กสาวถามตาโต
"ข้าก็เห็นอยู่ว่าเจ้าหลับตามาตลอดทาง แต่ไม่คิดว่าจะไม่ได้ดูอะไรถึงขั้นนี้" ทีแลนหัวเราะ
"ใช่ เราอยู่บนฟ้า เจ้าลองมองออกไปนอกหน้าต่างสิ ห้องทำงานข้าหันไปทางต้นเทียนพอดี วิวสวยมาก"
เจ้าของห้องแนะนำดังนี้ ลูมินัสจึงทำตาม เธอกระเถิบตัวมาที่ปลายเตียง และชะโงกออกไป
ทิวทัศน์เบื้องหน้างดงามจนแทบลืมหายใจ พระราชวังนี้ลอยสูงขึ้นมาเหนือยอดไม้ที่สูงที่สุดร่วมสามเท่าตัว ลมกลางคืนในฤดูหนาวเย็นเยียบตีเข้าหน้าจนเกือบเจ็บหากสดชื่น ท้องฟ้าราตรีของวินเดเมียร์เป็นสีดำสนิท จึงยิ่งเห็นได้ชัดว่าเบื้องล่างดารดาษไปด้วยจุดแสงสลัวสารพัดสี แดง น้ำเงิน เขียว เหลือง ปะปนกันไปสุดลูกหูลูกตา แสงนั้นส่วนหนึ่งเกิดจาก เสาโคมซึ่งเรียงรายเป็นแนวขนาบถนนหนทางซึ่งเงียบสงัด ในโคมแก้วหลากสีที่หัวเสามีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง แสงอีกส่วนหนึ่งทอลอดออกมาจากช่องหน้าต่างประตูของสิ่งก่อสร้างน้อยใหญ่ บ้างเป็นอิฐ บ้างเป็นไม้หรือหิน บางหลังสร้างขึ้นจากแก้วสีทึบเช่นเดียวกับผนังห้องทำงานของคิริล แสงสุดท้ายที่โดดเด่นที่สุดคือจุดแสงสีส้มเหลืองตรงหน้าซึ่งระยับพริบพราวไปตามแรงลม มันกระจุกอยู่เป็นกลุ่มกว้างไล่จากพื้นและสอบขึ้นไปจนสุดสายตา
"นั่นแหละ ที่ที่ไอ้ฝ่าบาทมันไป ต้นเทียน"
"ไปทำอะไรหรือ"
"หากเจ้าเกี่ยวข้อง เจ้าจะได้รู้ในไม่ช้า แต่หากไม่เกี่ยวข้อง ก็ไม่ควรรับรู้เรื่องนี้" คิริลตัดบทก่อนที่คนปากเบาจะเล่าจนหมดไส้พุง เขาคว้าแบบบันทึกผลการตรวจร่างกายและปากกาขนนกมาจากทีแลน "ทีนี้เจ้าลองตอบคำถามข้าหน่อย รู้หรือเปล่าว่าถ้าเจ้าโดนมีดแทง จะเป็นยังไง กลัวโดนแทงไหม"
"กลัวสิ ก็...มันเจ็บ"
"แปลว่ารู้จักความเจ็บปวด แค่ตอนนี้ไม่รู้สึกเท่านั้น" คิริลสรุปพลางจดลงในแบบบันทึก "รู้หรือเปล่าว่าสัตว์ประหลาดของทีแลนที่เจ้าเห็น มันคือตัวอะไร"
เด็กสาวส่ายหน้า
"ไหนลองร้องเพลงสิ"
"เพลง ?" ลูมินัสทวนตาปริบ ๆ และเมื่อคิริลพยักหน้ารับรอง เธอก็เอียงคออย่างครุ่นคิด
ครู่หนึ่งท่วงทำนองแผ่วหวานก็ถูกขับขาน เพลงนั้นไม่มีเนื้อร้อง หากเพียงเสียงใสที่ไต่บันไดเสียงขึ้นลงเป็นท่วงทำนองก็เพียงพอที่จะทำให้ทีแลนตาโต
"ร้องเพลงเพราะนะเจ้า เพลงอะไร ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน" เด็กหนุ่มถามเมื่อดนตรีสั้น ๆ นั้นจบท่อนลง
"ไม่รู้ แต่ข้านึกออกเพียงเพลงนี้เท่านั้น"
"ว่าแต่ร้องเพลงมาเกี่ยวอะไรกับที่ท่านซักอยู่นี่ล่ะ" คนไม่ใช่หมอและไม่ค่อยเข้าใจกรรมวิธีของหมอหันมาถาม
คิริลยิ้มแทนคำตอบ เขาโน้มตัวไปที่โต๊ะหัวเตียงผู้ป่วยของลูมินัส หยิบเทียนบนเชิงซึ่งเขาจุดไว้ให้แสงสว่างขึ้นมาพินิจ เทียนเล่มใหม่ ปกติเขาใช้ได้เป็นวัน ทว่าในวันนี้ ใช้ไปเพียงไม่ถึงชั่วยามกลับหดสั้นเหลือเพียงครึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าสีน้ำตาลอ่อนของชายหนุ่มกว้างขึ้นนิด ลึกลับขึ้นอีกหน่อย เมื่อยามเขาเป่าเทียน บอกว่า
"เจ้านอนพักไปก่อนเถิด คุณหนู"
เมื่อไร้แสง ลูมินัสก็หลับตามที่เขาบอกได้อย่างง่ายดาย ทีแลนหงายหลังนอนแผ่ ครู่เดียวก็มีเสียงหายใจสม่ำเสมอสองเสียงประสานกัน
ในความมืด มีเพียงดวงตาสีเขียวใสของแพทย์หลวงเท่านั้นที่ส่องประกาย
รอยยิ้มอย่างพอใจที่ปรากฏบนริมฝีปากฉายชัดในดวงตาเช่นกัน
แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 55 05:57:27
จากคุณ |
:
พลอยฟ้าปรายฝน
|
เขียนเมื่อ |
:
11 มิ.ย. 55 05:48:12
|
|
|
|