Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เซ็นซู พัดคู่ปราบมาร บทที่ 13 การร่ายรำบนกองเลือด ติดต่อทีมงาน

เซ็นซู บทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=22-09-2011&group=19&gblog=1

บทที่ 12 พลังปลุกวิญญาณhttp://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12132851/W12132851.html

บทที่ 13

การร่ายรำบนกองเลือด

สายลมอ่อนและแสงแดดอันอบอุ่นยามอรุณรุ่งสร้างความสดชื่นต่อมิสึกิที่กำลังก้าวเดินไปตามระเบียงด้วยกิริยาอันแช่มช้อยจนนางอดใจที่จะหยุดและทอดสายตามองทัศนียภาพในสวนที่งดงามไม่ได้ เหล่าผีเสื้อหลากสีแสนงดงามที่พากระพือปีกบินวนเวียนไปตามดอกไม้ที่ผลิบานรับแสงตะวันยามเช้าสร้างความประทับใจต่อหญิงสาวจนถึงกับเปรยออกมาอย่างชื่นชม

“ช่างงามเหลือเกิน”

ดวงตาเลื่อนผ่านเลยไปยังห้องของยาสึฮิระ นับเป็นวันแรกนับตั้งแต่โคโตโระถูกข้าศึกรุกรานที่นางได้มีโอกาสได้พูดคุยกับบิดา แต่ก็เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นเขาก็ต้องแยกตัวไปพบกับเหล่าที่ปรึกษาเพื่อหารือถึงการศึกซึ่งแม้ทางฝ่ายคาสึรางิจะขาดผู้นำ แต่สงครามก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ มิสึกิถอนใจออกมาเบาๆด้วยความกลัดกลุ้มเพราะถึงนางปรารถนาที่จะช่วยเหลือบิดาแต่ด้วยความที่เป็นหญิงทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เมื่อไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมืองได้แล้วหญิงสาวจึงเลือกวิธีช่วยยาสึฮิระด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้รับความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเรื่องบทกลอน ดนตรีหรือแม้แต่การร่ายรำ

เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วมิสึกิจึงละสายตาจากสวนและเดินตรงไปยังห้องที่ยาสึฮิระกำหนดให้เป็นสถานที่สำหรับการฝึกสอน ภาพของอาจารย์หนุ่มผู้กำลังนั่งรออย่างเคร่งขรึมทำให้ความวิตกกังวลเมื่อครู่มลายหายไป หัวใจของหญิงสาวเต้นไม่เป็นจังหวะ นางรีบวางมือไว้บนอกพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าดุจต้องการระงับความตื่นเต้นก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องและก้มศีรษะลง

“ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ”  

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็เพิ่งมาถึงเช่นเดียวกัน”

ฮารุคาเสะกล่าวอย่างสุภาพพร้อมกับค้อมตัวลง เขารอจนมิสึกินั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงกล่าว “จากเรือนพักมาที่นี่เป็นระยะทางไกลพอสมควร ท่านน่าจะนั่งพักให้หายเหน็ดเหนื่อยก่อน”

มิสึกิยกมือขึ้นป้องใบหน้าและหัวเราะออกมาเบาๆ

“ระยะทางจากจวนของท่านพ่อมาถึงที่นี่ไม่ได้ไกลมากมายอะไรนัก และข้าก็พร้อมที่จะเรียนแล้ว”

ชายหนุ่มมองนางด้วยความพอใจ เขาผงกศีรษะอย่างแช่มช้าพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการร่ายรำ ถ้าเช่นนั้นข้าจะสอนท่านตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน” ฮารุคาเสะเว้นระยะไปเล็กน้อยและมองหญิงสาวที่กำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจจากนั้นจึงเริ่มอธิบาย “การร่ายรำทุกอย่างมีพื้นฐานเบื้องต้นที่คล้ายกันนั่นก็คือวิธีการวางเท้าและจังหวะของการก้าวเดิน”

เขาชะงักคำพูดเมื่อเห็นดวงหน้างดงามกำลังฉายความไม่เข้าใจ ชายหนุ่มจึงหันไปหยิบพัดพร้อมกับพูด

“แค่คำอธิบายอาจจะเข้าใจได้ยาก ถ้าเช่นนั้นข้าจะแสดงให้ดู”

เขาหันไปทางนักดนตรีซึ่งนั่งสงบเสงี่ยมอยู่มุมห้อง เสียงหวานละมุนของเรียวเตกิดังขึ้น พัดในมือวาดขึ้นลงอย่างแช่มช้ารับกับการเคลื่อนไหวอันอ่อนช้อยของฮารุคาเสะ เขาวางเท้าแต่ละก้าวอย่างมีจังหวะรับกับเสียงเพลงที่กำลังบรรเลงด้วยทำนองสูงต่ำฟังคล้ายทุ่งหญ้าต้องลมที่กำลังสะบัดพลิ้วราวระลอกคลื่น ความงดงามในท่วงท่าการร่ายรำทำให้มิสึกิบังเกิดความรู้สึกเหมือนกำลังมองกลีบซากุระที่กำลังหยอกล้อกับสายลม จนเมื่อขลุ่ยเงียบเสียงลงนางจึงกล่าวออกมาเบาๆ

“งามเหลือเกิน”

“ความงามจะเกิดขึ้นหากท่านเคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง” ฮารุคาเสะพูดเสียงเรียบพลางก้มศีรษะให้กับหญิงสาว “ขอเชิญท่านหญิง”

มิสึกิลุกขึ้นและเริ่มต้นฝึกตามที่ฮารุคาเสะสอนอย่างตั้งใจ นางสามารถก้าวเดินเบื้องต้นได้ในเวลาอันรวดเร็วจนชายหนุ่มเอ่ยปากชม

“สมเป็นบุตรีของท่านยาสึฮิระ ยังไม่ทันครึ่งวันท่านก็สามารถเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นแล้ว”

“นั่นเพราะการสอนที่ดีของท่านต่างหาก” หญิงสาวกล่าวอย่างเขินอาย ฮารุคาเสะมองนางพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“นั่นเป็นแค่บทเริ่มต้นเท่านั้น ของจริงนับตั้งแต่นี้ต่างหาก”

เขาขยับไปสองสามก้าวและเอี้ยวตัวกลับมาด้วยท่วงท่าที่รวดเร็วแต่เต็มไปด้วยความงดงาม และเมื่อเห็นมิสึกิยังคงยืนนิ่งจึงเอ่ยถาม

“คิดว่าทำได้หรือเปล่าท่านหญิง”

“ด...ได้” นางตอบและก้าวเท้าตามที่เห็นเมื่อครู่ทันที อารามรีบร้อนทำให้การเอี้ยวตัวผิดจังหวะ หญิงสาวซวนเซและคงล้มลงหากฮารุคาเสะไม่ยื่นมือเข้าไปประคอง

“ไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู มิสึกิเงยหน้าขึ้นเพื่อตอบแต่เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วกำลังมองด้วยความห่วงใย พวงแก้มของหญิงสาวก็มีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา

“ข้าไม่เป็นไร” มิสึกิตอบเสียงแผ่วพร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตาของเขาอย่างขวยเขิน
เมื่อเห็นกิริยาเอียงอายของหญิงสาว ฮารุคาเสะจึงรีบคลายอ้อมกอดและก้มศีรษะลงพร้อมกับพูด

“ขออภัย แต่ข้ากลัวท่านจะล้มจนได้รับบาดเจ็บจึงจำต้องทำเช่นนั้น”

“ไม่เป็นไร” มิสึกิกล่าวทั้งที่ยังคงหลบสายตาของชายหนุ่ม “ขอบคุณท่านมาก”

“เราฝึกกันมานานพอดูท่านหญิงคงเหนื่อย วันนี้พอแค่นี้ก่อน” ฮารุคาเสะพูดและยิ้มเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าจะค้าน “การเรียนอย่างเร่งรีบจะทำให้ท่วงท่าร่ายรำขาดความงดงาม หากท่านมุ่งมั่นก็ขอให้กลับไปทบทวนสิ่งที่ข้าสอนและฝึกให้คล่องแคล่ว พรุ่งนี้ค่อยพบกัน”

“ข้าจะปฏิบัติตามที่ท่านสั่ง” มิสึกิกล่าวพร้อมกับก้มตัวลง “ขอบคุณท่านอาจารย์ พรุ่งนี้เราค่อยพบกัน”

ฮารุคาเสะค้อมตัวลงรับพร้อมกับกล่าวคำอำลา เมื่อมิสึกิเดินพ้นไปจากสถานที่เรียนแล้วเขาจึงเดินกลับเรือนพักแต่ต้องนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นโคดาจิกำลังยืนรออยู่ที่นั่น ทันทีที่เห็นนักนาฏกรรมหนุ่มเขาจึงค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าว

“คุณชายฟูจิวาระ” เขามองฮารุคาเสะด้วยดวงตาไร้แวว “ท่านยาสึฮิระมีคำสั่งให้เชิญท่านเข้าไปพบ”

แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ฮารุคาเสะกลับพยักหน้าและเดินตามโคดาจิไปโดยไม่ซักถามอะไรทั้งสิ้น เมื่อไปถึงห้องของยาสึฮิระเขาจึงค้อมตัวแสดงการคารวะ อีกฝ่ายผงกศีรษะรับพร้อมกับกล่าว

“มาเร็วดีนี่ สอนมิสึกิเสร็จแล้วหรือ”

“ครับ”

ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ยาสึฮิระมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงแสร้งทำเป็นเลื่อนมือไปหยิบถ้วยชามาถือไว้

“บุตรีของข้าออกจะดื้อรั้นไปสักนิด คงไม่สร้างความหนักใจให้กับเจ้า”

“ตรงกันข้ามท่านหญิงเป็นผู้ที่มีสติปัญญา นางสามารถจดจำสิ่งที่ข้าสอนในวันนี้ได้หมดภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน”

“ได้ยินแบบนี้ข้าก็สบายใจ” เจ้าเมืองโคะโตโระกล่าวพลางวางถ้วยชากลับลงไปตามเดิม “เจ้าพอจะรู้เรื่องที่คาสึรางิยกกองทัพมารุกรานเมืองของเราหรือไม่”

“ข้าพอจะทราบอยู่บ้าง และได้ยินมาว่าด้วยการนำทัพของท่านทำให้ทางเราเป็นฝ่ายมีชัย”

ฮารุคาเสะตอบ ยาสึฮิระยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

“ที่ทัพของเราเป็นฝ่ายมีชัยไม่ใช่จากข้า แต่เป็นความกล้าของทหารทุกคน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองและขอให้เจ้ามาแสดงการร่ายรำให้นักรบของเราได้ชม หวังว่าคงจะไม่ปฏิเสธ”

ผู้นำโคะโตโระกล่าวปิดประโยคด้วยถ้อยคำเชิงบังคับ นักนาฏกรรมหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจในเจตนาของอีกฝ่ายแต่กระนั้นเขาก็ยังเอ่ยปากถาม

“ท่านจะจัดงานในวันไหน”

“เย็นวันนี้ คิดว่าเจ้าน่าจะเตรียมตัวทัน” ยาสึฮิระตอบและยิ้มในหน้าเมื่อเห็นความยุ่งยากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮารุคาเสะ “แต่หากไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”

“หามิได้ ข้ากลับรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสร่ายรำในงานฉลองชัยของท่าน แต่เพราะเป็นการแสดงที่ออกจะกะทันหันเกินไปข้าจึงไม่อาจเตรียมชุดที่เหมาะสมได้ทัน หากเครื่องแต่งกายไม่ถูกใจท่านก็ขอได้โปรดให้อภัย”

“ขอเพียงเจ้ายินดีเข้าร่วมข้าก็พอใจแล้ว” ผู้นำโคะโตโระกล่าวอย่างอารมณ์ดี “หมดเรื่องแล้ว เชิญเจ้าไปเตรียมตัวตามสบาย”

กล่าวจบยาสึฮิระจึงผายมือเป็นเชิงอนุญาตให้ชายหนุ่มออกไปได้ เขาค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวคำอำลาและเดินจากไป โคดาจิซึ่งยืนระวังอยู่ด้านนอกมองจนอีกฝ่ายลับไปจากสายตาจึงหันมายังผู้เป็นนายพร้อมกับถาม

“ให้เขามาร่วมงานแบบนี้จะไม่เป็นไรหรือขอรับ”

“ต่อให้มีพลังแข็งแกร่งเพียงใดเจ้านั่นก็เป็นแค่นักนาฏกรรม เขาไม่มีทางทำอะไรข้าได้ เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกโคดาจิ”

*/*/*/*/*

สถานที่จัดงานเลี้ยงเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นสวนได้อย่างแจ่มชัด ผนังสองด้านถูกเปิดออกเพื่อรับสายลมยามค่ำได้อย่างเต็มที่ อีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าเมืองโคะโตโระเลือกใช้ห้องนี้ก็คือทุกคนที่มาร่วมงานจะได้ชื่นชมการร่ายรำอันงดงามของฮารุคาเสะซึ่งถูกกำหนดให้แสดงบนเวทีกลางสวนได้อย่างชัดเจน

เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากกลุ่มนายทหารระดับสูงที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งของห้อง แม้จะเป็นการสนทนาอย่างมีความสุขแต่โอริเอะซึ่งนั่งถัดจากยาสึฮิระต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พอใจนักเพราะหัวข้อที่คนเหล่านั้นพูดคุยกันส่วนใหญ่เป็นการดูแคลนและเย้ยหยันศัตรู ในความคิดของพวกเขาการดูถูกผู้พ่ายแพ้อาจจะเป็นเรื่องสนุกแต่สำหรับแม่ทัพผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างโอริเอะแล้วเขาจะให้เกียรติต่อนักรบทุกคนเสมอ แม้คนเหล่านั้นจะเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดก็ตาม

ดูเหมือนยาสึฮิระจะเข้าใจความคิดของโอริเอะ เขาจึงสั่งให้ข้ารับใช้รินสุราใส่ถ้วยและนำไปส่งให้ อีกฝ่ายรีบหันมาโค้งคำนับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ขณะที่กำลังยกถ้วยขึ้นดื่มผู้เป็นนายก็กล่าวขึ้นมา

“ถึงจะเป็นคำพูดที่ออกจะไม่เหมาะสมไปสักนิด แต่ก็เป็นสิ่งที่กล่าวออกมาจากความรู้สึก หากทางฝ่ายคาสึรางิเป็นฝ่ายมีชัยชนะทหารของพวกเขาก็คงจะทำแบบนี้เหมือนกัน”

โอริเอะค้อมศีรษะลง

“ข้าทราบดีแต่ก็อดรู้สึกสังเวชใจไม่ได้ เพราะถึงแม้จะเป็นข้าศึกแต่คนเหล่านั้นก็คือนักรบกล้าเหมือนกัน การนำพวกเขามาล้อเลียนเป็นเรื่องสนุกจึงไม่เป็นการสมควร”

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ จะห้ามพวกเขาไม่ให้พูดก็คงไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจงทำใจยอมรับมันเถิดนะโอริเอะ”

ยาสึฮิระกล่าวเสียงเรียบ แม่ทัพหนุ่มก้มศีรษะลงพร้อมกับรับคำ

“ขอรับ” เขาเลื่อนสายตามองผ่านร่างของผู้เป็นนายไปยังม่านไหมที่ว่างเปล่าและเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านหญิงยังไม่มาอีกหรือขอรับ”

“สตรีมักจะเสียเวลาในเรื่องการแต่งตัว” ยาสึฮิระตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะและหยุดนิ่งแทบจะทันทีเมื่อร่างงดงามเยื้องกรายเข้ามา หลังจากรอให้บุตรีนั่งลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วเขาจึงเอ่ยทักทาย

“เจ้ามาช้า”

“ต้องขออภัยต่อท่านพ่อด้วย ที่มาช้าเพราะข้ามัวแต่ซ้อมการร่ายรำ”

“หากอาจารย์รู้ว่าเจ้าจริงจังเช่นนี้คงดีใจ” ผู้บิดากล่าวเชิงหยอก หากไม่มีม่านไหมกางกั้นเขาคงเห็นว่าใบหน้าของบุตรีนั้นมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา เมื่อเห็นมิสึกินั่งนิ่งไม่ตอบสิ่งใดนอกเหนือกว่านั้นยาสึฮิระจึงหันกลับไปสนใจงานเลี้ยงอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ข้ารับใช้ประจำจวนขออนุญาตเข้ามาหา เมื่อเห็นนายผงกศีรษะเขาจึงค้อมตัวลงจนหน้าผากจรดพื้นและรายงาน

“คุณชายฟูจิวาระพร้อมแล้วขอรับ”

“งั้นก็ให้เขาแสดงได้เลย”

ยาสึฮิระกล่าวด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงถดกายถอยออกจากห้องและเดินหายไปยังเรือนด้านข้าง เหล่านักรบที่นั่งอยู่ในงานพากันหันไปพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจที่ในงานเลี้ยงฉลองชัยเช่นนี้กลับมีการร่ายรำของชาวนาฏกรรม แต่เมื่อเสียงของบิวะบรรเลงขึ้นทุกคนก็พากันสงบปาก และพอมีเสียงหวีดหวิวของเรียวเตกิดังเสริมขึ้นมา ทั้งนักรบและเหล่าที่ปรึกษารวมทั้งข้ารับใช้ที่ยืนอยุ่ในบริเวณนั้นต่างหันไปจ้องเวทีกลางสวนเป็นตาเดียว

ท่ามกลางแสงไฟจากคบเพลิงที่วางไว้ทั้งหกด้าน ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความทึ่งเมื่อเห็นกลีบดอกไม้จำนวนมากกำลังโปรยปรายลงมาจากด้านบน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เห็นว่ามันมาจากที่ใดความประหลาดใจก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อกลีบดอกไม้ทั้งหมดเคลื่อนมารวมตัวกันและหมุนวนนิ่งอยู่กลางเวที โดยมีร่างสูงสง่าของนักนาฏกรรมหนุ่มซึ่งไม่มีใครรู้ว่าปรากฏตัวขื้นเมื่อใดกำลังร่ายรำด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงามอยู่ตรงกลาง และเมื่อเขาหมุนพัดเป็นวงกลม กลีบดอกไม้ทั้งหมดก็กระจายออกจากกันแต่ยังคงปลิวอยู่กลางอากาศล้อมรอบตัวของฮารุคาเสะ ความสวยงามของการร่ายรำและกลีบดอกไม้ที่พลิ้วไปมาตามจังหวะเสียงดนตรีสร้างความประทับใจต่อทุกคนเป็นยิ่งนัก แม้นักรบที่อยู่ในอาการเมามายที่สุดยังต้องปล่อยถ้วยสุราให้หลุดจากมือพร้อมกับหลุดปากออกมา

“นี่ไม่ใช่การร่ายรำ หากแต่เป็นเทพลงมาอวยพร”

คำรำพึงนั้นได้ยินไปถึงมิสึกิ นางรีบยกแขนเสื้อขึ้นเพื่อปิดบังรอยยิ้มอันเกิดมาจากความชื่นชมได้ ต่างจากยาสึฮิระที่นั่งนิ่งไม่กล่าวสิ่งใด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่จ้องนักนาฏกกรรมหนุ่มเขม็งอย่างไม่พอใจ ประโยคที่ฮารุคาเสะกล่าวไว้เมื่อตอนกลางวันหวนเข้ามาในความทรงจำ

‘แต่เพราะเป็นการแสดงที่ออกจะกะทันหันเกินไปข้าจึงไม่อาจเตรียมชุดที่เหมาะสมได้ทัน หากเครื่องแต่งกายไม่งดงามก็ขอได้โปรดให้อภัย’  

เจ้าเมืองโคะโตโระกำมือแน่น เพราะในตอนแรกเขาคิดว่านักนาฏกรรมหนุ่มคงแต่งกายในชุดร่ายรำธรรมดา แต่ชุดที่ฮารุคาเสะใส่ในตอนนี้นั้นเป็นสีขาวและแดงอันเป็นเครื่องแบบที่พวกข้ารับใช้ประจำศาลนิยมสวมใส่กันในงานพิธี

“เจ้าต้องการเย้ยหยันข้าใช่ไหม”

ยาสึอิระคำรามออกมาเบาๆ แม้จะเต็มไปด้วยความโกรธแต่เมื่อเห็นเหล่าบรรดานักรบและที่ปรึกษาทุกคนชื่นชมในความงามของการร่ายรำ เขาจึงพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่แสดงท่าทีใดออกมา ขณะที่กำลังตกอยู่ในความขุ่นเคืองเสียงของเรียวเตกิก็บรรเลงในทำนองพลิ้วไหวราวกับคลื่นบนผิวน้ำ ฮารุคาเสะหมุนตัวเป็นวงพร้อมกับสะบัดพัดในมือลง กลีบดอกไม้รอบตัวเขาก็ถูกสายลมพัดพาเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงและโปรยปรายลงบนร่างของผู้ที่อยู่ในนั้นทุกคนไม่เว้นแม้แต่ยาสึฮิระ เหล่านักรบพากันรวบกลีบดอกไม้หลากสีขึ้นมาสูดดมอย่างแช่มชื่นพร้อมกับเอ่ยปากชมนักนาฏกรรมหนุ่มอย่างพอใจ มีเพียงยาสึฮิระเท่านั้นที่กำมือแน่น เขามองกลีบดอกไม้สีแดงสดราวกับเลือดที่ตกอยู่ตรงหน้าด้วยดวงตากร้าวก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องฮารุคาเสะที่กำลังก้าวเข้ามา เมื่อชายหนุ่มค้อมตัวลงคำนับเขาจึงถามเสียงดัง

“เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร”

แม้น้ำเสียงจะไม่แสดงความเกรี้ยวกราดแต่สีหน้าของเจ้าเมืองโคะโตโระทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นต่างพากันเงียบกริบ ฮารุคาเสะก้มศีรษะให้เขาอีกครั้งก่อนตอบ

“ไม่ทราบว่าท่านกล่าวถึงสิ่งใด”

ยาสึฮิระจ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เริ่มแรกคือเครื่องแต่งกายของเจ้า นี่เป็นการฉลองชัยชนะของเหล่านักรบ เหตุใดจึงแต่งตัวราวกับพวกที่ร่ายรำตามศาลเทพเจ้าเช่นนี้”

“ข้าได้แจ้งให้ท่านทราบตั้งแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้เตรียมชุดที่เหมาะสมสำหรับงานพิธี อีกอย่างชุดที่ข้าสวมใส่อยู่นี้จะใช้เฉพาะพิธีกรรมสำคัญเท่านั้น ในเมื่องานฉลองในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเหล่านักรบสำหรับผู้รับใช้เทพอย่างข้ามันคือพิธีอันทรงเกียรติ ดังนั้นชุดนี้จึงเหมาะสมที่สุด”

เจ้าเมืองโคะโตโระขบกรามแน่น เขาชี้ไปที่กลีบดอกไม้ตรงหน้า

“และดอกไม้พวกนี้เล่า เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”

ฮารุคาเสะก้มศีรษะลงอีกครั้ง

“กลีบดอกไม้หลากสีที่โปรยปรายบนร่างของเหล่านักรบ คือความยินดีในชัยชนะและปลื้มปิติที่พวกเขามีชีวิตรอดกลับมา ส่วนกลีบดอกไม้สีแดงนั้นหมายถึงอำนาจกับความกล้าหาญ ซึ่งในที่นี้ผู้สมควรได้รับมีเพียงท่านเท่านั้น”  

ยาสึฮิระหยิบกลีบสีแดงอันหนึ่งขึ้นมาและโยนไปตกตรงหน้านักนาฏกรรม

“แล้วดอกไม้นี้เล่า ช่วยบอกข้าหน่อยว่ามันหมายความว่าอะไร”

ฮารุคาเสะเหลือบตามองกลีบดอกไม้ที่มีลักษณะเรียวยาวต่างจากกลีบชนิดอื่นและค้อมตัวลงเล็กน้อย

“คนทั่วไปมักจะมองว่าดอกฮิงันคือเครื่องหมายแห่งความตาย ในสายตาของผู้รุกรานทุกคน ท่านมีความหมายนี้เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อนามของยาสึฮิระปรากฏขึ้น ย่อมหมายถึงความพินาศของศัตรู”

เสียงกล่าวพึมพำดังมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในห้อง ที่ปรึกษารวมทั้งนักรบต่างพากันพยักหน้าราวกับพึงพอใจในคำอธิบายของนักนาฏกรรมหนุ่ม ส่วนยาสึฮิระเมื่อได้ฟังทุกอย่างจบลงความโกรธขึ้งก็เริ่มบรรเทาเบาบาง แต่กระนั้นเขาก็ยังมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ

“ความหมายของเจ้าเป็นไปตามนั้นจริงหรือ”

“ทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้ากล่าวทุกประการ”

ฮารุคาเสะตอบอย่างนอบน้อม เจ้าเมืองโคะโตโระจึงยืดตัวนั่งอย่างสง่าและยิ้มอย่างพอใจ

“ดี” เขาหันไปสั่งห้ข้ารับใช้รินเหล้าใส่ถ้วยและนำไปส่งให้ชายหนุ่ม เขาน้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ

“ขอบพระคุณในความกรุณาของท่าน แต่ข้าเป็นผู้รับใช้เทพ ไม่อาจดื่มเมรัยได้”

ยาสึฮิระมองอย่างไม่ชอบใจ โอริเอะจึงรีบคว้าถ้วยมาจากมือของข้ารับใช้และหันไปก้มศีรษะให้นายของตน

“ความเมตตาของท่านยาสึฮิระ คุณชายฟูจิวาระขอรับไว้ด้วยความยินดียิ่ง ส่วนเหล้าถ้วยนี้หากเขาไม่สามารถดื่มได้ข้าก็ขอเป็นผู้จัดการแทน”

เขายกสุราขึ้นดื่มจนหมดและส่งคืนถ้วยเปล่าคืนให้กับข้ารับใช้จากนั้นจึงค้อมตัวให้กับผู้นำโคะโตโระอย่างนอบน้อม อีกฝ่ายจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“ทำได้ดี” ยาสึฮิระเอ่ยชมพร้อมกับชูถ้วยสุราในมือขึ้น “จงดื่มเพื่อแม่ทัพผู้ชาญฉลาด และความสงบสุขของโคะโตโระ”

เหล่าที่ปรึกษาและบรรดานักรบต่างชูถ้วยในมือขึ้นพร้อมกับเปล่งคำอำนวยพรให้กับเมืองอันเป็นที่รัก เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้วฮารุคาเสะจึงอนุญาตกลับไปยังที่พัก ระหว่างที่กำลังเดินนำขบวนนักดนตรีอยู่นั้นก็บังเกิดสายลมรุนแรงพัดผ่านมา สำหรับผู้มีพลังพิเศษอย่างนักปราบมารเช่นเขาแล้วสายลมนั้นคือเสียงหัวเราะของปิศาจ ชายหนุ่มจึงนิ่วหน้าและหันไปสั่งคนของตน

“พวกเจ้ากลับไปก่อน”

ทั้งหมดค้อมตัวลงพร้อมกับกล่าวรับคำ เมื่อเห็นว่าทุกคนพ้นไปจากระยะที่ได้ยินแล้ว
ฮารุคาเสะจึงหันไปยังต้นโมมิจิ

“มีธุระอะไร”

ไพราซึ่งยืนกอดอกอยู่โคนต้นเผยอยิ้ม

“ไม่มี แค่อยากจะบอกว่าข้ารู้สึกชื่นชมการร่ายรำอันงดงามของเจ้า” จอมอสูรเว้นระยะคำพูดและมองนักนาฏกรรมหนุ่มอย่างรู้เท่าทัน“โดยเฉพาะเหตุผลที่กล่าวกับยาสึฮิระ แม้ข้าจะไม่เข้าใจความหมายดอกไม้ของพวกเจ้าแต่ก็ดูออกว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเป็นการเตือนสติ”

“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่หากไม่มีธุระอะไรแล้วข้าก็ต้องขอตัว”

ฮารุคาเสะทำท่าจะเดินออกไปทันที แต่ไพรากลับกางแขนกันเขาเอาไว้พร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ที่มานี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระพวกนั้น แต่จะมาเตือนเจ้าต่างหาก”

“เรื่องอะไร”

ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย จอมอสูรหันหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองอิวะและพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูจริงจังมากขึ้น

“ระหว่างที่พวกเจ้ากำลังสนุกกับงานเลี้ยง ข้าได้ไปที่เมืองอิวะและพบว่าเจ้าเมืองจอมกระหายเลือดนั่นกำลังเดินทางไปที่คาสึรางิ ความจริงแล้วข้าเองก็ไม่อยากยุ่งเรื่องราวของมนุษย์เท่าใดนัก แต่บังเอิญไปพบกับอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ”

ดวงตาดุเลื่อนกลับมายังฮารุคาเสะ

“มีอสูรตนหนึ่งให้ความช่วยเหลือซาวาระ แม้ข้ายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นใครแต่เจ้าอสูรตนนี้ก็มีพลังเกือบจะเทียบเท่ายาสึฮิระ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก์คือ มันเป็นผู้บงการปิศาจทุกตัว”

“แล้วมาบอกข้าทำไม” นักนาฏกรรมหนุ่มถามด้วยความสงสัยและมองอีกฝ่ายอย่างระแวง “เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่”

ไพราหันหน้าไปยังห้องที่กำลังมีงานเลี้ยงและมองด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

“แค่รอยยิ้มของนาง”

กล่าวจบร่างของจอมอสูรก็เลือนหายไป ทิ้งให้ฮารุคาเสะที่กำลังยืนอึ้งด้วยความคาดไม่ถึงไว้เพียงลำพัง หลังจากนิ่งงันไปได้ชั่วอึดใจชายหนุ่มจึงพึมพำออกมา

“หรือว่าเจ้า...”

เขาหันไปยังจวนของยาสึฮิระและจ้องนิ่งอยู่เช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงระบายลมหายใจออกมาเบาๆจากนั้นจึงเดินกลับเรือนพักของตนด้วยความหนักใจ


*/*/*/*/*

เผลอแป๊บเดียวผ่านไปครึ่งปีแล้วนะคะ วันเวลาช่าวเร็วเสียจริง มองกระจกดูหน้าตัวเองแล้วตกใจ นี่เราแก่ไปอีกปีแล้วเหรอเนี่ย!
บ่นเรื่อยเปื่อยค่ะ หุ หุ
มาคุยกันดีกว่า

ว้าย ฮารุคาเสะ เอวต่ำ ซิกส์แพ็ค ว้าย
เฮ้ย ขออภัย ลืมตัวไปหน่อย...ครับ
จากคุณ : zoi  
- ง่า เล่นเอามูนนี่อึ้งไปเลยค่ะ

ฉากโหด ยังมี
เลยทำให้เรื่องเครียดมากพอสมควรเลยครับ
จากคุณ : Psycho man  
- เรื่องนี้ออกแนวสงคราม ฉากโหดเยอะค่ะ แต่พยายามลดให้น้อยลง


ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามงานของมูนนี่นะคะ วันนี้ขอปิดท้ายด้วยภาพฮารุคาเสะร่ายรำบนผิวน้ำค่ะ

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 07:55:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com