ล่องกัลปาลัยบทที่ 19 มาแล้วครับ ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านเช่นเคยครับ คุณ เพชรรุ้งพราย, คุณมานีโอลา, คุณ กุหลาบมอญ, คุณ mementototem,คุณนุ้ย นารีจำศีล,คุณโอ เขมปัณณ์, คุณสายธาร/กนกนารี, คุณนวลน้ำผึ้ง, คุณ wor_lek,อาจารย์จี GTW, คุณแก้วกังไส, คุณ รพิชา, คุณไก่ kdunagin, คุณเรียวรุ้ง, คุณ กาแฟเย็นเพิ่มช็อต, คุณ mimny คุณ Hermosa และเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ
สำหรับตอนที่ 18 ที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12190368/W12190368.html
บทที่ 19
ผมได้ยินเสียงดังมาจากบันไดด้านล่าง
ทนายความหนุ่มออกความเห็น ระหว่างเร่งฝีเท้าลงไปตามขั้นบันได โดยมีชลธรวิ่งตามติดมาด้วย ในแสงไฟฉายที่กวัดแกว่งไปมาวูบวาบกลางความมืดปราศจากแสงไฟเป็นเงาไหวระรัวบนผนังศิลาทึบ มือแข็งแรงของทนายภูไทจับข้อมืออีกฝ่ายกำไว้แนบแน่น ในขณะที่ตัวหล่อนเองก็ลืมตัวปล่อยมือให้อยู่ในอุ้งของอีกฝ่าย
ความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนสาวมากเสียจนชลธรแทบจะลืมความเหนื่อยของการออกแรงวิ่งจนแทบสุดฝีเท้า จนเมื่อผ่านเวิ้งบันไดลงมาด้านล่างนั่นแหละ หญิงสาวจึงต้องหยุดยืนหอบหายใจอยู่ชั่วขณะ
เมื่อเริ่มกวาดสายตาออกไปอีกครั้ง จึงมองเห็นบริเวณส่วนของห้องใต้ดินของทับสนธยาลึกต่ำลงไป ภูไทจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันถูกล็อคกุญแจปิดเอาไว้ หากในเวลานี้ บานประตูเหล็กบานนั้นกลับเปิดแง้มกว้างออกจากกัน
เขาผลักประตูบานนั้นให้ผายกว้างออกจนสุด มองเห็นแนวบันไดอิฐในระดับเกือบสองเมตรไต่วนลงไปสู่เวิ้งมืดทมิฬของบริเวณด้านล่างซึ่งยังไม่รู้ว่าจะลึกเข้าไปมากน้อยเพียงใด ภูไทหยิบไฟฉายที่ติดมือมาแล้วกราดแสงสว่างจ้าของมันลงไป
มั่นใจว่าเสียงร้องเมื่อกี้นี้ดังอยู่บริเวณแถวนี้แน่ๆ
แสงไฟฉายกวาดลากออกไปจนลงไปสู่บริเวณด้านล่าง ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเท้าลงไป
คุณภูไท
ในสายตาของชลธรมองเห็นแต่เศษฝุ่นดินฟุ้งขึ้นมา จนแทบจะกลั้นจามเอาไว้ไม่ได้ อันที่จริงหล่อนเองก็เป็นโรคภูมิแพ้อยู่บ้างแล้ว เพื่อนสาวของปีระกาจึงเผลอถอยห่างออกมาจากบริเวณปากทางลงชั้นล่างอย่างลืมตัว โถงแคบๆของห้องใต้ดินแบบนี้ ทำให้รู้สึกเกร็งขึ้นมาด้วยความหวั่นหวาด รู้ว่าตัวเองไม่ค่อยชอบที่แคบๆลักษณะแบบนี้สักเท่าใดนัก บางที มันอาจจะเป็นความกลัวที่ฝังรากลึกอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็กก็เป็นได้ ขณะที่ลังเลใจอยู่นั้นเองภูไทหันกลับมา ขมวดคิ้ว
ไม่ลงมาด้วยกันหรือครับ คุณชล? ผมว่าเสียงดังมาจากบริเวณนี้แน่ๆ ยังรู้สึกว่ามันสะท้อนก้องไปก้องมาอยู่เลยครับ
เอ่อ... ชลว่า ยายปีไม่น่าจะลงไปอยู่ที่นั่นเลยนะคะ มันเอ้อ...
แต่คุณชลเห็นหรือเปล่าครับว่าประตูเหล็กมันเปิดอยู่ ต้องมีใครลงมาแล้วเข้าไปในห้องข้างล่างนี่ก่อนเราแน่ๆ และอาจจะเป็นคุณปีระกาก็ได้
ใบหน้าของเขาขมวดอย่างครุ่นคิด ผิดแผกไปจากท่าทางชายหนุ่มขี้เล่นช่างเจรจาจากเดิมไปไม่น้อย
มือที่ถือกระบอกไฟฉายวาดปลายกระบอกออกไปอย่างลืมตัว และเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น สายตาของชลธรก็มองเห็นวัตถุบางอย่าง วางนิ่งอยู่ที่เชิงบันไดด้านบน เยื้องทนายหนุ่มออกไปเพียงไม่ถึงก้าว
คุณภูไทคะ นั่น...
ชายหนุ่มหันไปตามมือชี้ของหญิงสาว และก้มลงไปหยิบวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมาพิจารณาด้วยความพิศวงขีดสุด
มันคือนกหวีด...
ภูไทก้มลงเก็บมันขึ้นมาถือไว้ในมือ แล้วออกความเห็นกับตัวเองเบาๆ
หรือว่าเสียงร้องที่เราได้ยินจะมาจากนกหวีดตัวนี้?
ชลธรขมวดคิ้ว นึกไปถึงนกหวีดที่วางอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าปีระกาเป็นคนหยิบติดมือออกมาด้วยหรือเปล่า
แต่ชลมั่นใจนะคะ นั่นเป็นเสียงกรีดร้อง ต้องไม่ใช่เสียงนกหวีดแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครมาทำหล่นเอาไว้ต่างหาก หรือจะเป็นของยายปี?
หญิงสาวส่งเสียงค้านออกมาทันที แม้ว่าจะได้ยินเพียงครั้งเดียว แต่น้ำเสียงที่กรีดออกมาเหมือนเต็มไปด้วยความตระหนกใจ ยังทำให้หล่อนรู้สึกขนลุกซู่มาจนถึงเวลานี้
หรือว่า...
ภูไท หันกลับไปยังช่องทางเดินในเงามืดที่เปิดลึกเป็นช่องลงไปด้านล่างของส่วนห้องใต้ดิน แล้วเตรียมขยับฝีเท้า
ยายชล!
พลัน! เสียงร้องเรียกที่ดังมาจากด้านหลังนั่นเองที่ทำให้คนทั้งคู่หยุดชะงักอีกครั้ง แล้วเมื่อหันกลับไปก็มองเห็น...
ปีระกา ยืนหอบหายใจอยู่ที่เชิงบันไดชั้นสอง
**********************
อาตม์เบนหน้าออกมาจากเงามืดด้านใน เมื่อเห็นคนทั้งสามเดินกลับขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง เสียงถกเถียงพูดคุยกันค่อยจางลงจนร่างทั้งหมดเคลื่อนตัวลับผ่านมุมบันไดไปในที่สุด นัยน์ตาแก้ววาววามราวกับเรืองแสงขึ้นมาเองได้ ใบหน้าชายชรากระตุกยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ ก่อนจะหันกลับมา
บนพื้นขรุขระของส่วนห้องใต้ดินที่ลึกลงไป คือช่องอุโมงค์คดเคี้ยวขนาดใหญ่ต่อเชื่อมไปยังส่วนต่างๆของทับสนธยา มันไม่มีแผนผังใดๆถูกกำหนดไว้ นอกจากผู้สร้างมันแต่เพียงผู้เดียว
นั่นก็คือ หลวงอนุรักษ์วนาดร ที่ติดอยู่ภายใต้โลกเสมือนจริงของหนังสือเล่มนั้น!
สายตาของ หุ่นพยนต์ในโลกแห่งความเป็นจริง เบนกลับมาที่เสาอิฐในความมืดสลัวแทบปราศแสงสว่างใดๆส่องลอดลงมาถึง สายตาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างพิสดาร สามารถมองเห็นปลายเท้าที่ยื่นพ้นออกมาจากมุมเสานั้นได้ชัดเจน โดยเจ้าของร่างยังนอนสลบไสลไร้สติสัมปชัญญะอยู่ภายในนั้น
มะขิ่น นั่นเอง...
จากนั้น ชายชราผู้เป็นอมนุษย์จากจินตภพ ก็เดินย้อนกลับขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับพวงกุญแจประจำกาย เสียงลูกกุญแจกระทบกันกรุ๋งกริ๋ง เบาๆในความเงียบ เมื่อก้าวขึ้นมาถึงบริเวณประตูเหล็กและดึงมันกลับเข้าไปดังเดิม ก่อนจะหยิบกุญแจเหล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แม่กุญแจที่ภูไทมีโอกาสเห็นตั้งแต่วันก่อนว่ามันถูกล็อคเอาไว้นั่นเอง
โดยไม่รีรอ ลุงอาตม์ของปีระกา ก็หยิบมันคล้องเข้ากับสายโซ่ที่ห้อยค้างเอาไว้แล้วกดล็อคเข้าหากันโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงค่อยๆเดินอย่างเชื่องช้าขึ้นไปสู่บริเวณโถงชั้นล่างของทับสนธยา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทิ้งร่างของหญิงสาวคนรับใช้ผู้ลอบผ่านเข้ามายามวิกาล ให้นอนสลบไสลอยู่ภายในเรือนจองจำอันวกวนของอุโมงค์ห้องใต้ดินแห่งทับสนธยาต่อไป...
*****************************
แสงแดดอุ่นยามแรกอรุณทอลำแสงลอดผ่านม่านหน้าต่างระเบียงเข้ามา จนทำให้ปีระกาต้องหยีตาแล้วเบี่ยงร่างพลิกกลับไปอีกด้านหนึ่ง หากยังไม่ทันจะได้ทำตามใจปรารถนาเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือของยายชลก็ดังขึ้นถี่ระรัว ในเมื่อเจ้าหล่อนตั้งโปรแกรมชนิด ปลุกถาวร ขึ้น แถมยังวางเอาไว้ไกลจากเตียงนอน จนหล่อนต้องโผเผลุกขึ้นมากดปิดจนได้
ส่วนเจ้าตัว คนตั้งนาฬิกา กลับนอนหลับปุ๋ยไม่แพ้ปีระกาเช่นเดียวกัน ทายาทสาวแห่งทับสนธยายกนิ้วกดคลึงศีรษะตัวเองเล็กน้อย รู้สึกเหมือนยังมึนงงอยู่ไม่หาย โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อคืนที่เกิดขึ้นเหมือนกับเป็นความฝัน มากกว่าความจริง หญิงสาวตั้งใจจะบอกเรื่องราวทั้งหมดเล่าให้กับชลธรรับฟังร่วมกัน แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้ต้องหยุดชะงักเอาไว้ ถ้าสองคนรู้เรื่องของธามดีไม่ดี อาจจะยิ่งทำให้เรื่องราววุ่นวายใหญ่โตมากขึ้นไปอีกก็ได้
ในเมื่อชายหนุ่มผู้นั้น หาใช่มนุษย์ปกติธรรมดาเสียทีไหนกันเล่า?
น่าแปลกนัก เมื่อนึกไปถึงธาม หัวใจของนักเขียนสาวก็กลับรู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นึกแล้วก็น่าอายอยู่ไม่น้อย เมื่อหล่อนปล่อยให้ธามได้เห็นสภาพตัวเองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย แต่ตัวเองกลับไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขาเลย และตัวปีระกาก็ไม่เคยคิดติดใจสงสัยอะไรมากมาย จนเมื่อได้เห็นตัวจริงของธามเข้าแล้วนั่นแหละ
หัวใจนักเขียนสาวกระตุกวูบอีกครั้ง ใบหน้าร้อนผ่าวโดยไม่เจตนา
ทำไมหนอ ภาพชายหนุ่มรูปงามคนนั้น ถึงฝังติดอยู่ในสมองจนไม่อาจสลัดให้หลุดออกไปได้เล่า??
เสียงเพราะๆทุ้มๆที่เย้าแหย่อย่างเคยชิน กลับทำให้หล่อนหวั่นไหวแปลกๆ โดยเฉพาะนัยน์ตาคมกล้าคู่นั้น นัยน์ตาแจ่มกระจ่างอย่างที่หล่อนไม่เคยเห็นในบุรุษผู้ใดมาก่อน แม้แต่รูปถ่ายของคุณปู่ทวด หลวงอนุรักษ์วนาดร ในตอนหนุ่มๆปีระกาก็คิดว่ายังไม่อาจเทียบกับ พ่อรูปทอง คนนี้ได้
บ้าจริงๆ คิดอะไรเป็นตุเป็นตะไปได้หนอเรา ปีระกาเอ๊ย?
เพ้ออะไรแต่เช้าจ๊ะ คุณปีระกา เจ้าขา!!
หันมาอีกที ก็เห็นยายชลนอนเท้าคาง จ้องมองมาตาแป๋วอยู่แล้วด้วยความสงสัย
เอ... พอถามก็หน้าแดงอีกด้วย ปีระกาทอมบอยไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนนะ มันแปลกๆพิกล?
คราวนี้หล่อนจึงเสเปลี่ยนเรื่องทันที ก่อนเพื่อนตัวดีจะจับพิรุธของตัวเองได้
เพ้ออะไร? ก็กำลังสงสัยเหตุการณ์เมื่อคืนน่ะสิ ถ้าไม่วิ่งลงมาตาม คงอดเห็นเธอจู๋จี๋กับตาทนายภูไทนั่นแน่ๆ
คราวนี้หมอนทั้งใบถูกขว้างออกมาปะทะหน้าพอดี แต่ปีระกาก็คว้าไว้ทัน เพราะรู้แต่แรกแล้วว่ายายชลจะต้องแก้เขินด้วยวิธีนี้
คิดบ้าๆน่ะสิ ยายปี! นี่ถ้าไม่เพราะมาตามหาเธอจนหัวปั่นทั้งคืน ก็คงไม่เจอคุณภูไทเขาหรอก ทุกอย่างวุ่นวายก็เพราะเธอคนเดียวน่ะแหละ ริอ่านคิดอุตริทำพิเรนทร์ แล้วยังมาทำไก๋แซวเพื่อนเอาซะอีก
ปีระกายิ้ม แสร้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อเห็นสีระเรื่อปรากฏบนผิวแก้มเนียนละเอียดของเพื่อนสาวที่รู้จักนิสัยเป็นอย่างดี เห็นท่าทางอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังประทับใจชายหนุ่มทนายความผู้นี้อย่างแน่นอน ดีไม่ดี เหตุการณ์เมื่อคืนก่อนหน้าหล่อนจะลงมาพบ อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของยายชลคืนหน้าไปเร็วกว่าที่คิดก็ได้!
อ๋อ... ก็ฉันสร้างสถานการณ์ให้เธอกับนายภูไทได้ใกล้ชิดกันน่ะสิ ว่าแต่... แล้วมันดีมั๊ยล่ะจ๊ะ?
คราวนี้ยายชลแทบจะยกมะเหงกใส่หน้าอีกฝ่าย ที่ตีสีหน้าทะเล้นอย่างคนรู้ทัน
พูดเลอะเทอะอีกแล้ว สงสัยจะจินตนาการเอามาก นักเขียนนิยายน้ำเน่าเขาเป็นอย่างนี้ทุกคนรึเปล่า ฮึ?
ยังไม่ทันจะตอบอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆที่หน้าห้อง พร้อมเสียงแหบห้าวดังขึ้น
เสียงของลุงอาตม์!
********************
ผู้ดูแลทับสนธยาอย่างไม่เป็นทางการ บัดนี้กลับยืนสงบนิ่งในอิริยาบถสำรวมอยู่หน้าห้อง มีเพียงนัยน์ตาข้างหนึ่งเท่านั้นที่หรุบแสงลง ในขณะที่นัยน์ตาเทียมอีกข้างหนึ่งแวววามล้อกับแสงตะวันยามเช้า
ชายชราขึ้นมาตามให้หล่อนและชลธรลงไปรับประทานอาหารเช้าอย่างสุภาพ ความสงสัยในข้อมูลจาก ธาม แทบทำให้ปีระกา เอ่ยปากถามออกไปแล้ว แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน
ทั้งเรื่องของนายอาตม์ที่เป็นข้ารับใช้ คอยติดตามหลวงอนุรักษ์วนาดร ซึ่งเดินทางออกมาจากหนังสือมหัศจรรย์เล่มนั้นคือใคร? จะใช่ลุงอาตม์ผู้นี้หรือไม่? และ รูปของลุงอาตม์ที่หล่อนเห็นว่าได้ถ่ายเคียงคู่กับคุณปู่ทวดบนห้องใต้หอคอยนั้นเล่า?
ปริศนาเหล่านั้น ธามยังไม่ได้เฉลย ในเมื่อมีเหตุการณ์ขัดจังหวะเกิดขึ้นเสียก่อน... ปีระกาปลอบใจตัวเองว่าคืนนี้แหละ หล่อนจะขึ้นไปที่นั่นอีกครั้ง และคราวนี้จะไม่ยอมพลาดเรื่องราวทั้งหมดเด็ดขาด!!
กล้ำกลืนความสงสัยลงไปไม่ให้เกิดสีหน้าพิรุธ ขณะที่ยายชลก็ทักขึ้นบ้างหลังจากเข้าไปล้างหน้าตาเรียบร้อยแล้ว
แล้วมะขิ่นมาหรือยังคะลุง?
แวบนั้น ปีระกามองเห็นสีหน้าราบเรียบของชายสูงวัยปรากฏอาการผิดปกติขึ้นเพียงนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น
มะขิ่นบอกกับผมล่วงหน้าว่าจะขอลางานอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ครับ แม่ของมะขิ่นไม่สบายคงจะต้องไปอยู่ดูแลหลายวันสักหน่อย ต้องขอโทษคุณทั้งสองคนด้วย
ชลธรพยักหน้ารับรู้และมีทีท่าไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ยกเว้นตัวหล่อนเองเท่านั้น ที่รู้สึกว่าประโยคคำตอบของอีกฝ่าย ช่างขัดกับพฤติกรรมของมะขิ่นที่ได้พบและพูดคุยกันกันมาก่อนหน้า แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ อย่างเห็นได้ชัด
เด็กสาวร่าเริงช่างพูดช่างเจรจา ดูเหมือนไม่มีทีท่าวิตกกังวลใดๆเลยด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าหากว่ามารดาของเจ้าหล่อนจะไม่สบายจนถึงกับต้องลางานในวันรุ่งขึ้น และไม่เห็นเจ้าตัวหลุดปากเล่าเรื่องนี้ออกมาเลยสักแอะ ทั้งที่ช่างพูดช่างคุยอยู่ไม่น้อย
ปีระกากำลังคิดว่าประโยคที่ลุงอาตม์เอ่ยออกมา ไม่น่าจะเป็นความจริงเลยสักคำเดียว!!
แต่ชายชราก็ดูเหมือนจะไม่ทันได้สังเกตเห็นความสงสัยในดวงตาของหล่อน เขายังกล่าวต่อไปเรื่อยๆตามลักษณะแบบฉบับของตนเอง
แล้วตอนนี้ แขกที่ต้องการติดต่อกับคุณปีระกา ก็มารออยู่แล้วด้วยครับ เขารออยู่ลานกุหลาบด้านนอกทับสนธยา ก็เลยต้องรีบขึ้นมาเรียนให้คุณทราบไว้ก่อน
หล่อนจำคำบอกเล่าของอาตม์ได้เลาๆก็จริง แต่ก็ไม่นึกว่า แขกคนสำคัญที่ว่า จะเดินทางมารอตั้งแต่เช้าอย่างนี้
อ้าว แล้วทำไมลุงไม่เชิญเขาเข้ามาที่ห้องรับแขกของเราล่ะคะ? ที่ตรงลานในสวนกุหลาบนั่นน่าจะแดดร้อนนะคะ
ไม่มีคำตอบจากชายชรา นอกจากอาการนิ่งงันบางอย่าง ชั่วขณะ เมื่ออาตม์กลับไพล่ตอบอีกคำถามหนึ่งแทน
คนที่ผมเคยเรียนคุณปีระกา ตั้งแต่เมื่อวานนี้แหละครับ เขาสนใจจะมาเจรจาเพื่อขอซื้อทับสนธยาเอาไว้เอง
ใครคะ?
คราวนี้ปีระกาอดถามออกไปไม่ได้จริงๆ
เขาเป็นเจ้าจากทางฝั่งขะโน้นครับ ชื่อว่า เจ้าเสือเข่นฟ้า
เจ้าเสือเข่นฟ้า?
**********************
บุรุษที่ลุกขึ้นยืนต้อนรับการมาถึงของปีระกาและชลธร ทำให้หญิงสาวถึงกับยืนนิ่งงันไปชั่วขณะ ไม่ใช่ด้วยเรือนร่างสูงใหญ่จนแทบจะทำให้หล่อนตัวเล็กจ้อยกลายเป็นเด็กหญิงลงไปในทันทีที่เข้ามายืนเทียบกันระยะใกล้ แต่เป็นด้วยอาภรณ์ที่เจ้าตัวสวมใส่ตลอดทั้งร่างนั่นต่างหาก ที่แทบจะปิดบังไม่เห็นแม้แต่ผิวกายทุกส่วน แม้กระทั่งใบหน้า!
ใช่! แม้กระทั่งใบหน้าที่ควรจะมองเห็น เพราะนอกจากเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อหนาคลุมลงมาจนแทบจะถึงชายกางเกงราวกับเป็นเสื้อกาวน์ยาวสำหรับสวมใส่แล้ว เขายังดึงฮูดขึ้นมาคลุมศีรษะเอาไว้ แล้ว เขายังสวมหน้ากากบางๆครอบทับเอาไว้ โดยเจาะเฉพาะช่องที่เป็นนัยน์ตาสองข้างให้หล่อนมองเห็นแต่เพียงประกายมืดทึบเหมือนบ่อน้ำไร้ก้นบึ้งเอาไว้เท่านั้น...
นี่หรือคือเจ้าเสือเข่นฟ้า แห่งรัฐอิสระเชียงแมน ที่ลุงอาตม์พูดถึง
หล่อนพยายามนึกในใจถึงรัฐอิสระที่ว่านั้น ว่าอยู่ตรงไหนของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ยังนึกไม่ออก
เขายื่นมือออกมาทักทายตามธรรมเนียมตะวันตก แม้แต่อุ้งมือนั้นก็ยังสวมถุงมือหนังสีดำสนิทเอาไว้
ปีระกายื่นมือออกไปรับสัมผัส รู้สึกถึงละไอร้อนผ่าวที่กรุ่นผ่านขึ้นมาจนต้องรีบปล่อยในจังหวะที่คลายมือออกพอดี
ต้องขออภัยคุณทั้งสองด้วย ที่ผมมารบกวนตั้งแต่ตอนเช้าวันนี้เลย
น้ำเสียงทุ้มกังวานดังผ่านออกมาจากลำคอ หล่อนเอ่ยทักทายตามมารยาท รู้สึกแปลกตั้งแรกเห็น และดูเหมือนเจ้าเสือเข่นฟ้าแห่งเชียงแมนก็จะรู้ตัวดี จึงชิงเอ่ยตอบออกมาเองเสียก่อน
คุณอาจจะรู้สึกแปลกใจไปบ้าง พอดีผมป่วยเป็นโรคแพ้แสงครับ ถ้าสัมผัสแสงแดดไม่นานจะมีปฏิกิริยาเป็นผื่นแดงขึ้นตลอดทั้งตัว แพทย์ประจำตัวก็เลยแนะนำให้สวมเสื้อผ้ารุ่มร่ามแบบนี้ไว้ตลอดเวลา
เอ้อ... ค่ะ
ตอบออกมาแบบนี้ เลยไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป แต่เจ้าจากเชียงแมนก็ไม่รีรอที่จะปล่อยโอกาสนั้นให้ผ่านไป เขาพุ่งตรงเข้าสู่ประเด็นของเรื่องทันที
ประเด็นสำคัญที่ทำให้ปีระกา ถึงกับตัดสินใจไม่ถูกไปชั่วขณะ
นั่นคือการติดต่อขอซื้อทับสนธยา!
ผมยินดีให้ราคา ตามที่คุณปีระกาเสนอมาครับ
ก็เพราะประโยคอย่างนี้แหละที่ทำให้หล่อนไม่อาจตัดสินใจได้ ถ้าเขาเอ่ยจำนวนราคาออกมาเลย ปีระกาก็คงจะพอคิดออกว่า ราคาที่ตั้งไว้เหมาะสมหรือเปล่า?
เจ้าเสนอราคามาก่อนไม่ดีหรือคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันคงจะตัดสินใจไม่ได้หรอกค่ะ
หล่อนโยนหินถามทางออกไป ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะหึหึในลำคอโดยไม่อาจตีความหมาย
ปีระกาหันไปมองสบนัยน์ตากลมโตเบิกกว้างของชลธร ที่ถือถ้วยกาแฟค้างรอการตัดสินใจของเพื่อนรักอย่างจดจ่อ ใครเล่าจะไปคิดว่าทับสนธยา ที่ได้ยินชื่อแต่แรกจะกลายเป็นคฤหาสน์หลังงามกลางป่า แต่นั่นยังไม่เท่ากับคฤหาสน์หลังนี้ กลับมีผู้สนใจมาเสนอขอซื้อในราคาที่ให้เจ้าของเป็นฝ่ายกำหนดเสียเองอีกด้วย
เจ้าเสือเข่นฟ้า แห่งเชียงแมน ชะโงกร่างเงื้อมจากเก้าอี้ออกมาเล็กน้อย แม้จะไม่อาจมองไม่เห็นใบหน้าและแววตาแท้จริง แต่เสียงทุ้มห้าวที่เปล่งออกมาอย่างช้าๆ ได้จังหวะชัดเจน ก็ดังกังวานขึ้นในความเงียบสงัดที่มีแต่เสียงลมพัดรอบบริเวณลานสวนกุหลาบแห่งนั้น
ถ้าเช่นนั้น ผมขอเสนอราคาเริ่มต้นที่สองร้อยล้านบาท...
*********************
พบกันในบทที่ 20 สัปดาห์หน้านะครับ หมอกมุงเมือง
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
11 มิ.ย. 55 12:08:16
|
|
|
|