3
ปัญวิชช์เดินเข้าไปในห้องโถง ทรงพลกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ เขาไปยืนหน้าคนเป็นปู่และพูดง่าย ๆ
“ปู่ ผมจะไปเรียนต่อนะ”
ทรงพลโผล่หน้าออกหน้าออกมาจากกระดาษ เป็นจังหวะที่หลานชายหมุนตัวออกไป ราวกับบรรลุจุดประสงค์เพียงเท่านั้น
“เดี๋ยววิช ว่ายังไงนะ จะเรียนต่อเหรอ มาคุยกันก่อนเจ้าวิช” เขาผุดลุก พับหนังสือพิมพ์ลวก ๆ ไว้บนโต๊ะแล้วรีบจับแขนหลานชาย
“จะเรียน อะไร ยังไง ปู่ดีใจ...”
ทรงพลมีท่าทางกระตือรือล้นอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับปัญวิชช์ที่ส่ายหน้า “ยังไม่รู้ แต่ผมจะไป เดี๋ยวค่อยคิด” พูดแล้วก็เดินผละออกไปหนีการซักไซร้ เทวินซึ่งนั่งอยู่ใกล้กันเอ่ยลอย ๆ
“เข้าท่า ยังไม่รู้ที่ไหน แต่จะไป”
พอพ่อตาหันไปมองเท่านั้นล่ะ เทวินแทบจะตบปากตัวเอง อีกฝ่ายทำเสียงเสมือนว่าเขาช่างไม่รู้อะไร ต้องเตือนตัวเองตลอดว่าเวลาที่ปู่หลานคู่นี้อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่เขาจะอยู่ห่าง ๆ ไม่อย่างนั้นจะเผลอตัว
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ ดีแล้วที่ยังคิดจะเรียน ผู้ชายมันก็แบบนี้แหล่ะ ไม่ได้ละเอียดละออเหมือนผู้หญิง ปล่อย ๆ ให้คิดเองตัดสินใจเองนั่นแหล่ะดีแล้ว มันจะได้เรียนรู้”
เทวินรู้แล้วว่าที่ปัญวิชช์นอกลู่นอกทางไม่ใชเพราะคนอื่นไกลเลย ปู่ที่รักนี่เอง แต่ที่เทวินและทรงพลไม่เคยรู้เลยก็คือ เหตุผลว่าทำไมหลานชายถึงยอมไปเรียนต่อง่าย ๆ ทั้งที่ถูกเคี่ยวเข็ญมานาน
ในขณะที่ทุกคนของบ้านชัยเตชินญ์กำลังตื่นเต้นกับงานแต่งงาน มีปัญวิชช์คนเดียวที่อยากหายตัวไปจากโลกนี้
วันนี้นภัสรินทร์มาบ้านปรเมศ ว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวสลับกันออกความเห็นเรื่องแบบการ์ด สถานที่ เบื้องหน้าหญิงสาวมีเครื่องดื่มสีสวยกับคุ้กกี้ เธอหยิบพลางพลิกหน้านิตยสาร ปรเมศแซว
“เพลินเชียว เดี๋ยวก็ใส่ชุดแต่งงานไม่ได้หรอก”
“ไม่กลัวค่ะ รินบอกช่างให้เผื่อไว้แล้ว” เธอลอยหน้าตอบ ท่าทางทะเล้นจนปรเมศอดไม่ได้ ยื่นมือมาบีบแก้มเธอด้วยความหมั่นไส้ ทั้งคู่คุยหยอกล้อกันตามประสาคู่รัก
ภาพบนหนังสือเป็นนางแบบใส่กางเกงยีนส์ นภัสรินทร์ดูอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า ผ้าสีฟ้าอมเขียวดูสวยแปลกตา วีรญามักชอบใส่แบบนี้ พอความคิดเดินมาถึง หญิงสาวก็นิ่ง ทบทวนแล้วรำพัน
“พักนี้รินไม่ค่อยได้เจอวีเลย”
ปรเมศตัวแข็ง ลำคอตีบตัน เหตุการณ์เก่าย้อนคืนกลับมา ความรู้สึกผิดที่ติดในใจเอ่อขึ้นเหมือนน้ำเต็มแก้ว ชวนให้ร้อนหนาวในความรู้สึก หลายวันที่ผ่านมาเขาสู้กับความหวาดระแวงว่าวีรญาจะฟ้องเรื่องนี้ แล้วจินตนาการเอาว่านภัสรินทร์มาต่อว่าเขาด้วยน้ำตานองหน้าจนนอนไม่หลับอยู่หลายคืน ทว่าจนแล้วจนรอดก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ แม้แต่ในฐานะเพื่อนรักยังเอ่ยปาก เชื่อได้ว่าเจ้าตัวคงหายจากวงจรชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ไปช่วงหนึ่งจริง ๆ
ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่า นภัสรินทร์พูดถึงเพื่อนสาวคนสนิทขึ้นมาทำไม หรืออาจจะลองใจ นี่คงเป็นความวิตกจริตของคนที่ทำเรื่องไม่ดีไว้สินะ แต่เขาไม่พบความนัยในแววตาคนรัก และการนิ่งเงียบโดยไม่ตอบโต้ส่อพิรุธมากกว่า
“ทำไมล่ะ”
“เปล่าค่ะ แค่เห็นหายไป รินโทรหาเขาก็ไม่รับ ไม่รู้โกรธอะไรรินหรือป่าว แต่ช่างเถอะ เดียวก็ดีเองแหล่ะ” เธอตอบอย่างไม่ใส่ใจ ปรเมศเห็นช่อง
“แล้ว...เขายังโวยวายอะไรกับรินหรือเปล่า เรื่องแต่งงานมีอะไรไหม”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ ก็อย่างที่บอก ติดต่อเขาไม่ได้ สงสัยคงยุ่ง ๆ อยู่มั้ง อีกอย่าง...รินก็ว่าดีแล้วค่ะ วีควรจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นเสียที ที่ผ่านวีมักไม่ค่อยมีเหตุผล บางครั้งรินก็เหนื่อยเหมือนกัน”
ทุกคำทิ่มตำในใจปรเมศซ้ำ ๆ ถ้าย้อนไปก่อนงานวันเกิดนภัสรินทร์ เขาคงตีปีกดีใจกับคำบอกกล่าวนี้ หากบัดนี้ มันไม่ได้ส่งผลอะไรต่ออารมณ์ ซ้ำยังตอกให้รู้ว่าการที่วีรญารามือไม่ใช่เพราะความเข้าใจเหตุผลอย่างที่นภัสรินทร์บอก
แต่มันเกิดจากตราประทับอันน่าอับอายของเขาเอง
โทรศัพท์มือถือดัง ปรเมศขอตัวไปรับ คุยอยู่ครู่หนึ่งก็เดินกลับมา
“ริน ผมมีเอกสารต้องเตรียม นั่งเล่นไปก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วออกไปหาอะไรกินกัน”
นภัสรินทร์พยักหน้าพร้อมยิ้มสดใส ครั้นแล้วก็อ่านบทความในนิตยสารเล่มนั้นต่อ
บรรยากาศยามสายสดใส แดดอ่อนทอประกาย คนสวนกำลังรดน้ำต้นไม้ ละอองพัดมาตามสายลมสดชื่น เธอหยิบหมอนอิงมาหนุน เอนกาย กระทั่งความสบายนำพาให้เข้าสู่ความง่วงงุน
ปัญวิชช์เพิ่งกลับจากการไปถ่ายรูปเพื่อเตรียมทำพาสปอร์ตเล่มใหม่ เขาเดินเข้ามาที่เรือนใหญ่เพื่อหาของกินใส่ท้องที่ว่างเปล่าตั้งแต่เช้า แต่หางตาเห็นว่ามีใครคนหนึ่งอยู่บริเวณชานบ้าน และเมื่อสืบเท้าเข้าไปใกล้ ภาพนั้นก็ตรึงเขาไว้
ร่างนั้นนอนเอนไปตามแนวโซฟา ลำแขนกลมกลึงกอดหมอนอิงใบเล็กไว้แนบกาย ผมยาวสีน้ำตาลเข้มแผ่ไปตามลำคอระหง ดวงหน้ามีรอยยิ้มนิด ๆ เสมือนกำลังดื่มด่ำกับนิทราแสนสุข นภัสรินทร์สวมเดรสผ้าชีฟองสีน้ำเงินตัดกับผิวขาวผ่อง ลมโชยให้ชายไหวแผ่วเบา เช่นเดียวกับแก้มอ่อนใสระเรื่อแต้มสีชมพูอ่อน ปัญวิชช์อิจฉาสายลม อิจฉาอา อิจฉาอะไรก็ตามที่ได้แตะต้องและครอบครองเจ้าหญิงคนนี้
เขาควรจะเดินผ่านไป ควรจะยอมรับเสียทีว่าอีกไม่นานเธอจะเป็นภรรยาของอา และผู้ชายซึ่งเป็นญาติก็ยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ และเขาจะทำได้แค่เพียงรับรู้ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แต่หัวใจดวงเดียวกันนี้กลับร่ำร้อง ทุรนทุรายอยากได้ แทนที่สองเท้าจะก้าว แต่หัวเข่าย่อลง วินาทีนั้น เขาไม่อาจทนต่อความปรารถนาในหัวใจ
วินาทีเดียวที่ลืมตัวลืมใจ ปัญวิชช์แตะริมฝีปากบนแก้มนภัสรินทร์
หญิงสาวเปิดเปลือกตารับรู้อาการสัมผัส แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
“วิช!!”
เขาผงะออก ส่วนเธอถอยกรูดออกไปยืนห่าง จับแก้มตัวเองหน้าตาตื่น
“ทะ...ทำอะไรของเธอ!!”
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน จุดยิ้ม “ไม่รู้เหรอว่าทำไม ให้ทำอีกทีไหม”
“อย่านะ!!” เธอตวาด แล้วมองซ้ายขวาเกรงว่าเสียงจะดังเกินไปจนใครจะบังเอิญได้ยิน “น่าเกลียดมากนะวิช ไม่เกรงใจอาเธอเหรอไง”
“ก็อาไม่มาเห็นนี่” เขาลอยหน้า หญิงสาวหน้าแดงจัด อ้าปากจะต่อว่าแต่ปรเมศเดินเข้ามาพอดี
“อ้าว วิช มาแล้วเหรอ เออดี เดี๋ยวอาว่าจะออกไปหาอะไรกินซะหน่อย ไปด้วยกันสิ” เขาพูดชวนขณะที่พาร่างไปยืนแนบชิดหญิงสาว ยกมือแตะข้อศอกอย่างคุ้นเคย ภาพนั้นจุดไฟในอกหลานชาย
“ไม่!!”
เขาตอบห้วน แล้วกระแทกส้นปึงปังออกไป ปรเมศมองตามแล้วส่ายหน้า ประกอบกับเห็นแววตาอึ้งงันของนภัสรินทร์จึงปลอบยิ้ม ๆ
“อย่าไปถือสานะริน เจ้านี่มันศิลปิน อารมณ์ติสต์เข้าสิงอีกตามเคย หิวหรือยัง ไปเถอะ”
หญิงสาวไม่รอให้พูดซ้ำ เคลื่อนกายมาหยิบกระเป๋าสะพายเพื่อกลบเกลื่อนอาการหวาดหวั่นที่พอกพูน หลายครั้งที่ปัญวิชช์เข้าถึงตัว แต่โชคดีที่เป็นสถานที่อื่น ครานี้ทำเธอวิตกเพราะเขาดูจะไม่สนใจแม้ว่าจะอยู่ในอาณาเขตบ้าน อยู่ในขอบข่ายที่อาตนเองมองเห็น
เมื่อขึ้นรถมาได้ ปรเมศยังไม่เปลี่ยนหัวข้อ คงเป็นเพราะนภัสรินทร์จมความคิด เขาจึงเดาว่าเธอติดใจมารยาทแข็งกระด้างของหลานชาย
“โกรธวิชเหรอ”
หญิงสาวรีบปฏิเสธ ปรับเสียงให้ปกติ “เปล่าค่ะ”
“ในบ้านนี้น่ะ ทุกคนรักแล้วก็เอาใจเจ้านี่กันหมด คงเป็นเพราะวิชไม่มีพ่อ อย่างที่บอกพี่ชายผมเสียไปตั้งแต่ลูกยังไม่เต็มสิบขวบ มันเลยเอาแต่ใจหน่อย แต่จริง ๆ มันน่ารัก ถึงจะกวน ๆ แต่ทำให้บ้านมีเสียงหัวเราะตลอด” เขาหมุนพวงมาลัย “ถ้ารินมาอยู่ ได้รู้จักกันมากขึ้นคงเอ็นดูมันเองนั่นแหล่ะ”
นภัสรินทร์ไม่ตอบ รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าวันนั้นมาถึง ปัญวิชช์จะทำชีวิตคู่เธอวุ่นวายมากไปกว่านี้หรือเปล่า แต่วางใจได้เล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มพูดว่าหลานชายกำลังจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
“วิชบอกว่าจะกลับมางานแต่งเรานะ แต่อย่างว่า เอาอะไรแน่นอนกับมันไม่ได้หรอก”
หญิงสาวคิดว่าเขาคงผิดหวัง หากแต่เธอก็หวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป ปัญวิชช์กลับมา โลกใบใหญ่และใหม่คงทำให้เขาลืมเรื่องราวของเธอได้เอง
วันเวลาหมุนไปพร้อม ๆ กับการเตรียมงาน นภัสรินทร์นั่งรอปรเมศอยู่ที่ล็อบบี้คอนโด วันนี้ว่าที่เจ้าบ่าวจะมาพาเธอไปรับการ์ดเชิญที่เสร็จแล้ว หลังจากนั้นก็จะไปลองชุดเป็นครั้งสุดท้าย และไปคุยกับออแกไนเซอร์ที่รับจัดงานเพื่อเพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ วันเวลาแห่งความสุขใกล้เข้ามา หญิงสาวมีรอยยิ้มขณะนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ
“รินครับ”
เธอหันไปตามเสียง ปรเมศเดินผลักประตูเข้ามา เขาก็มีสีหน้าสดใสแม้ว่าจะเหนื่อยกับการทำงาน นภัสรินทร์รู้ว่าเมื่อคืนชายหนุ่มประชุมงานที่พรรคจนดึกดื่น แต่ยังอุตส่าห์มารับเธอได้เช้านี้ นภัสรินทร์ตอบแทนด้วยยิ้มหวานขณะที่กอดแขนเขาอย่างเคย
ไม่นานนักยานพาหนะก็พาทั้งคู่ออกสู่ถนน วันอาทิตย์มีคนใช้เส้นทางบางตา ปรเมศขับรถสบาย ๆ
“อีกสองเดือนเอง ตื่นเต้นไหม” เขาถาม นภัสรินทร์ส่ายหน้า
“ตามปกติ ก่อนแต่งงานผู้หญิงมักจะมีอารมณ์เครียด วิตกแล้วก็กังวลมากไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้หญิงสาวขมวดคิ้ว “ไปรู้มาจากไหน เคยแต่งงานแล้วหรือไงคะ”
เขาหัวเราะกับเสียงแข็งของเธอ “เอาอีกแล้ว พี่ก็อ่านเจอในหนังสือบ้าง เจอคนพูดบ้าง ทำไมต้องคิดว่าพี่มีประสบการณ์เรื่องนี้กับคนอื่นอยู่เรื่อยเลย เห็นอยู่กี่ปีมาแล้วก็จีบสาวอยู่คนเดียวนี่แหล่ะ”
‘สาว’ ยิ้มหมั่นไส้ “ตื่นเต้นแน่ค่ะ ถ้าไปจีบคนอื่น”
ชายหนุ่มยื่นมือมาโยกศีรษะเธอ หญิงสาวแกล้งตีมือ ก่อนที่จะปล่อยให้เขาได้ขับรถต่อ รถมาติดไฟแดง แดดจ้าจนปรเมศหยิบแว่นกันแดดมาสวม มองคนเดินข้ามถนนแล้วเอ่ยขึ้น
“เมื่อวานวิชโทรมาหา บอกว่าเรียนภาษาฝรั่งเศสจบคอร์สแล้ว กำลังจะเข้าเรียนภาคศิลปะ”
นภัสรินทร์ไม่แสดงอาการอะไร แม้บางครั้งจะรู้สึกว่าตนเองจะหายใจขัดเวลาได้ยินชื่อนี้ นับจากวันที่เขาขโมยหอมแก้มเธอวันนั้นก็หลายเดือนมาแล้ว วันที่ปัญวิชช์ไปเรียนต่อมีแต่ครอบครัวที่ไปส่ง ปรเมศชวนแล้ว แต่เธอปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าติดงาน ความจริงอยู่ในใจว่าเธอไม่ต้องการจะเจอหน้าเขา ไม่ต้องการสบสายตาที่เหมือนตัดพ้อและตำหนิทั้งที่เธอไม่มีความผิดอยู่ตลอดเวลา
“วิชมันบอกว่า ถ้าไม่ใช่ช่วงบทเรียนสำคัญคงมาได้ จะพยายามเคลียร์การบ้านให้เสร็จแล้วมาให้ทัน”
หญิงสาวไม่ตอบอะไรนอกจาก “ค่ะ” แต่ลึก ๆ แล้วเธอกลับเชื่อว่า ปัญวิชช์จะไม่มีทางมา รถยนต์เลี้ยวและตรงไปอีกสักระยะก็ถึงที่หมาย
“เดี๋ยวจอดฝั่งนี้ดีกว่า ขี้เกียจกลับรถ”
ปรเมศพูดพลางมองหาที่ว่างริมฟุตบาทฝั่งซ้ายมือเพื่อจอดรถ แนวนั้นมียานพาหนะจอดอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นถนนสายย่อย กฎระเบียบต่าง ๆ จึงไม่เคร่ดครัดนัก
“อย่าดีกว่ามั้งคะพี่เมศ เลยไปกลับหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก มาจอดแถวนี้เดี๋ยวถ้าตำรวจมาเจอจะเรื่องยาวนะคะ”
“คนอื่นยังจอดกันเยอะแยะเลย” ปรเมศเถียง ชะเง้อมอง นภัสรินทร์จะแย้งชายหนุ่มก็ร้องดีใจว่าเจอที่ว่างซึ่งไม่ไกลจากจุดหมายของเขาทั้งคู่นัก
นภัสรินทร์ทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัย แต่ปรเมศชิงบอกก่อน
“เดี๋ยวรินรอในรถนี่แหละ ไม่ต้องลงหรอก แดดร้อน”
ปรเมศพูด เขามองกระจกข้างก่อนจะเปิดประตูรถ ยืนรอให้ถนนว่างก่อนจะเดินไปยังร้านซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม นภัสรินทร์เห็นเขาผลักบานประตูเข้าไป เธอหยิบตลับแป้ง ส่องกระจกดูความเรียบร้อยไม่กี่นาที เป็นจังหวะที่เมื่อเธอมองไปยังร้าน ชายหนุ่มก็เดินออกมาพอดี
ในอ้อมแขนมีกล่องสี่เหลี่ยม นอกนั้นชายหนุ่มยังหิ้วถุงกระดาษอีกมือหนึ่ง นภัสรินทร์เปิดประตูลงไปตั้งใจจะช่วยคนรักถือ เธอเห็นสายตาและรอยยิ้มของเขาส่งมาบอกว่าไม่เป็นไร และมองฝั่งซ้ายมือของตัวเอง ก่อนจะก้าวข้ามมา
นภัสรินทร์ได้ยินเสียงเคลื่อนยนต์ เสียงล้อบดถนน เมื่อหันไปมอง รถคันนั้นก็พุ่งเข้าหาปรเมศที่กำลังก้าวเดิน
“พี่เมศ ระวัง!!!”
ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่ววินาที
ภาพที่นภัสรินทร์เห็นคือร่างปรเมศปลิวไปตามแรงชน กล่องใส่การ์ดลอยคว้าง แผ่นกระดาษสี่เหลี่ยมกับซองปลิวกระจายว่อน มีเสียงกรีดร้อง และความโกลาหลตามมา หญิงสาวตะลึงอยู่หลายวินาทีกว่าจะตั้งสติได้ วิ่งตรงไปยังจุดเกิดเหตุ แหวกฝูงชนถลาเข้าไปหาร่างที่จมกองเลือด
“พี่เมศ!!”
น้ำตาไหลรินไม่รู้ตัว ปรเมศสวมเสื้อโปโลสีครีม แต่มันเต็มไปด้วยเลือด หัวใจแทบสลาย
“พี่เมศ พี่เมศคะ”
ดวงตาปรเมศเปิดปรือ เขาขยับปากทำท่าเหมือนพูดแต่ลิ่มเลือดทะลักออกมา
“พี่เมศ ใคร...พี่เมศไม่เป็นอะไรนะ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!!” ขณะที่เรียบเรียงคำ สายน้ำไหลจากดวงตาราวทำนบทลาย เธอกอดเขา ไม่สนรอยเลือดแดงฉานที่เปรอะกาย พลางร้องเรียกชื่อคนรักและร้องไห้คร่ำครวญ ราวกับว่าหัวใจจะสลายลงต่อหน้า
.....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
12 มิ.ย. 55 09:57:30
|
|
|
|