Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มนตราปาหนัน บทที่ ๑๑ : แรกพบ ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๑๑ : แรกพบ


ร่างบางเดินลัดเลาะแหวกผู้คนอย่างแคล่วคล่อง ครู่เดียวก็กลืนหายเข้าไปในฝูงชนที่จับจ่ายซื้อของอยู่ในตลาดเช้า คนที่ตามมาทันเห็นเพียงชายสไบของผู้เป็นนายแค่แวบเดียว ทำเอาบ่าวคนสนิทหน้าเสีย รีบชะเง้อชะแง้มองหาเสียยกใหญ่ กว่าจะพบตัวนายสาวเดินเล่นดูเครื่องประดับที่วางขายอย่างสบายอารมณ์ก็กินเวลาไปมากโข

“โอย คุณหนูเจ้าขา เร่งมาไม่รอบ่าวบ้างเลย”

“พี่ช้าเอง จักมาโทษฉันอย่างไรได้”  

ลำเจียกบอกพลางดูสินค้าที่วางขายไปเรื่อยๆ พอเจอของถูกตาก็ยิ้มกว้าง รีบจูงแขนบ่าวคนสนิทไปที่แผงหนึ่งทันที มือเรียวหยิบกำไลขอนหนึ่งขึ้นมาดูอย่างถูกใจ

“พี่สุกดูสิ งามฤๅไม่”

พูดพลางสวมเข้ากับข้อมือตนเอง นางสุกดูแล้วก็เอ่ยชม

“งามจริงเจ้าค่ะ คุณหนูชอบหรือเจ้าคะ”

“ชอบ แต่ยังไม่ซื้อเพลานี้ ฉันว่าเดินดูให้รอบตลาดก่อนดีกว่า เผื่อจักเจอที่งามกว่านี้”

หญิงสาวตอบแล้วจะถอดกำไลออกวางคืน แต่แล้วก็ต้องหน้าเสียเมื่อกำไลเจ้ากรรมกลับติดอยู่ที่ข้อมือนั่นเอง อันที่จริงเจ้าตัวก็รู้อยู่ว่ามันออกจะเล็กไปสักหน่อย แต่ยังขืนลองสวม ด้วยคิดว่าหากสวมเข้าไปได้ จะถอดออกก็คงไม่ยากเช่นกัน หล่อนรีบกระซิบบอกคนสนิท

“พี่จ๋า ฉันถอดไม่ออก ทำเยี่ยงไรดีเล่า”

“อย่าพูดเล่นเลยเจ้าค่ะ รีบถอดแล้วรีบไปดีกว่า คนขายหน้าดุ๊ดุมองมานั่นแล้ว”

ลำเจียกมองตามสายตาของนางสุก ก็เห็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า ชายผู้เป็นคนขายยืนกอดอกจ้องมองไม่วางตาอยู่ก่อนแล้ว หล่อนส่งยิ้มแห้งๆ แล้วหันมากระซิบบอก

“ฉันไม่ได้พูดเล่น เรื่องจริงเทียว พี่ช่วยฉันถอดหน่อยสิ”

นางสุกได้ฟังก็ตกใจรีบทำตามที่นายสาวสั่ง แต่ก็ไม่สำเร็จ คราวนี้ทั้งนายทั้งบ่าวต่างหน้าซีดไปตามๆ กัน ที่สุดบ่าวคนสนิทก็บอกเสียงอ่อยว่า

“คุณหนูเห็นจักต้องซื้อเสียแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

ลำเจียกพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก หล่อนหันไปถามคนขายเสียงอ่อน

“พี่ชายจ๊ะ ขอนนี้เท่าไรรึ”

“หนึ่งสลึงสองเฟื้อง”

คนฟังถึงกับสะดุ้งโหยงกับราคานั้น กำไลขอนนี้น่ะหรือแพงถึงหนึ่งสลึงสองเฟื้อง มิใช่เครื่องทองเหลืองประดับปะวะหล่ำลูกปัดเยี่ยงที่ตลาดชีกุนสักหน่อย

“แพง”

ลำเจียกบอก แต่พ่อค้าหน้าดุก็สวนคำกลับได้ทันใจเช่นกัน

“หาแพงไม่ นี่เป็นกำไลเงินแท้สลักลายเครือเถาลงดำ ฝีมือช่างเอกของสองแคว ราคานี้ถูกไปเสียด้วยซ้ำ”

“ฉันไม่มีอัฐมากอย่างนั้นหรอก พี่ชายลดลงหน่อยมิได้หรือจ๊ะ”

“เยี่ยงนั้นก็ถอดวาง คนที่เขาอยากได้โดยไม่ต่อยังมีอยู่อีกมากนัก”

พ่อค้าหน้าดุพูดขึงขัง ไม่มีเค้าว่าจะใจอ่อนกับเสียงและกิริยาน่าสงสารของหญิงสาวตรงหน้าเลย

“คุณหนูรีบให้อัฐเขาไปสิเจ้าคะ เราจักได้ไปกันเสียที”

“ก็อยากทำเช่นนั้นอยู่พี่ แต่ว่า....ฉันไม่ได้เอาถุงอัฐมาด้วย เร่งหลบพี่แสนออกมาจนลืม พี่พอมีบ้างฤๅไม่”

“พุทโธ่ คุณหนูเจ้าขา สองเฟื้องบ่าวพอมีเจ้าค่ะ แต่สลึงหนึ่งนี่บ่าวหามีไม่”

สองนายบ่าวยิ่งหน้าซีดหนักกว่าเก่า ลำเจียกพยายามปล้ำถอดกำไลออกอยู่อักพักหนึ่งแต่ก็ไม่สำเร็จ หล่อนจึงตัดสินใจต่อรองกับพ่อค้าอีกครั้ง

“ฉันถอดไม่ออก พี่ชายรอประเดี๋ยวได้หรือไม่ ฉันมีอัฐมาไม่พอ ขอฉันกลับเรือนไปเอาอัฐมาก่อน สัญญาว่าจักไม่หนี”

“ข้าตามไปเอาอัฐที่เรือนเจ้าดีกว่า ข้าไม่ไว้ใจผู้ใด”  

เขาพูดหน้าตาเฉย เล่นเอาฝ่ายตรงข้ามสะดุ้งเฮือกทั้งนายทั้งบ่าว อันที่จริงจะให้เขาตามไปเอาด้วยก็ไม่กระไรนักหรอก เพราะยังให้เขารออยู่ที่ท่าน้ำได้ แต่ถ้ายอมทำอย่างนั้น ความลับที่ตนหนีเที่ยวก็จะแตกทันที

“ว่ากระไรเล่า ถ้าเจ้าไม่ยอม ข้าจะส่งเจ้าให้หลวงท่านเสียให้เข็ด”

นั่นยิ่งแย่ไปกันใหญ่ หล่อนมองพ่อค้าหน้าดุสลับกับมองหน้าคนสนิทอย่างขอความเห็น ขณะชายหนุ่มยืนกอดอกนิ่งรอฟังคำตอบจากสองสาว


“คุณหนูขึ้นเรือนไปก่อนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวบ่าวจะอยู่กับพ่อค้าหน้าดุคนนี้เอง”

นางสุกบอกเมื่อขึ้นจากเรือมาที่ท่าน้ำแล้ว คนเดินตามหลังได้ยินนางบ่าวเรียกชื่อตนอย่างนั้นก็กลั้นหัวเราะ แกล้งพูดเสียงดุๆ ว่า

“ชื่อข้ามี ไม่ต้องตั้งใหม่ให้ข้าหรอก”

“ไม่บอกแล้วผู้ใดจักรู้” เสียงใสจงใจบ่นลอยลมมาเข้าหูคนฟัง  

“ข้าชื่อโมก”

“ผู้ใดใคร่รู้”

“ข้าใคร่บอก”

โมกต่อคำไม่ลดละ นางสุกเห็นท่าไม่ดีจึงรีบรุนหลังนายสาวให้เดินออกไป ลำเจียกทิ้งค้อนคมคนที่กำลังหย่อนตัวลงนั่งที่ศาลาท่าน้ำอย่างหมั่นไส้หนักหนา หวังใจว่าคงปะกันแค่ครั้งเดียวนี่ล่ะ


ชายหนุ่มไม่สนใจนางบ่าวที่อยู่เฝ้าและตามติดไม่ให้คลาดสายตา ไม่ว่าเขาจะเดินกรายไปทางใดเป็นต้องมีนางสุกเดินตามไปด้วย จนเขาอดนึกชมความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของนางไม่ได้  โมกมองอาณาบริเวณบ้านกว้างขวาง มีบ่าวชายหญิงเดินขวักไขว่ไปมาก็พอจะประเมินฐานะของแม่ลูกค้าสาวแสนสวยได้ ไม่เสียแรงที่ฝากแผงค้าไว้กับสิงห์ หากนางผู้นี้มิใช่ลูกหลานคหบดีก็น่าที่จะเป็นลูกขุนนางวางน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง และถ้าเป็นอย่างหลัง โมกกระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง การสืบความในกรุงศรีอยุธยาคงง่ายขึ้นอีกอักโข เห็นทีต้องตีสนิทด้วยคนเรือนนี้เสียแล้ว แต่จะใช้วิธีใดนั้น รอพบเจ้าของเรือนพอให้รู้ทิศทางลมเสียสักหน่อยค่อยว่ากัน

ป่านนี้เจ้าคนท่าทางหลุกหลิกที่ปะกันระหว่างทางคงขึ้นไปถึงเชียงใหม่แล้ว คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาคราใด เขาก็อยากหัวเราะหนักหนาพญาใต้ปรัมมราชาไตรโลกนาถเลือกคนเยี่ยงมันเป็นอุปนิกขิตได้อย่างไร แสดงพิรุธให้คนเขาสงสัยยังมิหนำ ครั้นพอเหล้าเข้าปากก็พรั่งพรูความจริงออกมาจนสิ้น เมื่อแรกพวกเขาก็หมายจะฆ่าเสีย แต่ใจแก้ว คนของหมื่นโลกสามล้านที่มีอาวุโสสุดห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน

“หมู่สูปล่อยมันไปเทอะ”

“ปล่อยได้เยี่ยงใด พ่อลุง มันจักไปสืบความในเวียงเราคาบมาบอกพญาเมืองใต้”

“เชื่อข้า หมู่สูเฮย หื้อ-ให้มันไปเทอะ บ่ต้องกลัว ข้าจักหื้อคนของเราตามสะกดรอยไปอีกคนหนึ่ง มันเข้าเวียงวันใดก็จักถูกยับ-จับวันนั้น”



ความคิดของโมกหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงคนจำนวนหนึ่งเดินมาจากทางด้านหลัง และเสียงของนางสุกที่อุทานอะไรออกมาอย่างหนึ่ง พอหันไปก็เห็นชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเองเดินเข้ามาหา ขนาบสองข้างซ้ายขวาด้วยสองสาวที่หน้าตาเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว คนที่ทำหน้ามุ่ยๆ นั่นคงเป็นแม่ตัวร้าย ส่วนอีกคนหนึ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“ไม่เลว เจ้าหนุ่มคนนี้ได้เมียทีเดียวพร้อมกันสองคน มิหนำยังเป็นฝาแฝดกันเสียด้วย”

อุปนิกขิตจากล้านนาคิด สายตาจับนิ่งอยู่ที่แม่ตัวดีที่หน้าม่อยดูสิ้นฤทธิ์อย่างขันๆ ชะรอยคงถูกผัวว่ามาพอแรงกระมัง พระอินทเดชหยุดยืนต่อหน้าพ่อค้าเครื่องประดับ ดวงตาดุตวัดมองที่บ่าวคนสนิทของน้องสาว ค่าที่ชวนกันหาเรื่องร้อนมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน ก่อนจะหันมามองคู่กรณีตรงๆ ลักษณะท่าทางของโมกทำให้พระอินทเดชชะงักไปนิด นี่หรือพ่อค้าเครื่องประดับที่ลำเจียกไปลองกำไลของเขาจนถอดไม่ออก กระทั่งเจ้าของต้องตามมาเอาอัฐถึงเรือน ต่อให้มองด้วยสายตาเป็นธรรมอย่างไร พระอินทเดชก็ไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงพ่อค้า ใช่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่รู้ถึงความคิด หากแกล้งทำเป็นไม่รู้ชี้เสีย ด้วยการยืนกอดอกนิ่งอยู่

“ท่านหรือ เจ้าของกำไลขอนที่น้องข้าสวมติดข้อมืออยู่”

พระอินทเดชเป็นฝ่ายเริ่มเรื่องก่อน

“ถูกแล้ว ไยท่านถามเยี่ยงนี้”

เป็นพี่ชายน้องสาวกันหรอกหรือ แล้วนี่เขาเป็นอะไรไป ไฉนจึงปรีดานักที่แจ้งความจริงเช่นนี้ กระนั้นก็เร่งสลัดความรู้สึกนี้ออกไป  

“ข้าต้องขอโทษ แต่ราคาของมันข้าว่าจักสูงไปสักหน่อย”

“พูดเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง นางมิได้บอกท่านหรอกหรือ ว่าเหตุใดมันจึงแพงผิดธรรมดา”

คราวนี้พระอินทเดชหันมาทางลำเจียกที่ยืนหน้าเซียวอยู่ทันที แต่ไม่วายแอบทำหน้าเข่นเขี้ยวใส่พ่อค้าหน้าเลือดตรงหน้า สายตาคาดคั้นทำให้น้องสาวจำใจต้องเล่าตามจริง หากตบท้ายว่า

“แต่น้องไม่ได้ตั้งใจจักให้เกิดเรื่องนะเจ้าคะ”

“นี่ขนาดไม่ตั้งใจนะ ถ้าตั้งใจจักสักปานใด น้องสาวพระอินทเดชไปเที่ยวตลาดแต่ไม่มีอัฐจ่ายจนคนขายต้องตามมาทวงถึงเรือน รู้ถึงไหนอายถึงนั่น”

พระอินทเดชเสียงเข้ม หญิงสาวอีกนางที่ยืนอยู่ทางด้านขวาซึ่งนิ่งฟังอยู่นานจึงจับแขนพี่ชายเอาไว้พร้อมบอกเสียงอ่อน

“พี่แสนเจ้าคะ อย่าว่าลำเจียกเลยเจ้าค่ะ”

“ไม่ว่าอย่างไรได้ สารภี เจ้าก็อีกคนหนึ่ง สวมรอยเป็นแม่ตัวดีนี่ คิดว่าพี่จำไม่ได้หรืออย่างไร”  

เป็นอันว่าถูกดุทั้งพี่ทั้งน้อง ลำเจียกยิ้มเซียวไปทางพี่สาวฝาแฝดอย่างขอโทษ ขณะที่คนนอกซ่อนยิ้ม เจ้าของเรือนนี้เป็นขุนนางอยุธยาจริงดังคาด โมกเปลี่ยนท่าทีเป็นออมชอม

“เอาเถิดท่าน อย่างไรน้องสาวของคุณพระก็มิได้ตั้งใจ เช่นนั้นข้าพระเจ้าขอยกกำไลขอนนี้ให้เปล่า ถือเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ได้มาเหยียบเรือนขุนนาง เป็นบุญของข้าพระเจ้ายิ่งนัก”

“อีสุก” พระอินทเดชไม่ตอบรับหรือปฏิเสธของโมก กลับสั่งความบ่าวแทน “พานายเอ็งขึ้นเรือนไปก่อน ข้าจักขออยู่สนทนาด้วยเจ้าหนุ่มนี่สักครู่”

นัยน์ตาคมวาวตวัดมองที่เจ้าหนุ่มแปลกหน้าด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก พระอินทเดชไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่พยักหน้าให้โมกตามมาเท่านั้น อุปนิกขิตล้านนาแม้ไม่แจ้งว่าอีกฝ่ายจะสนทนากับตนในเรื่องใด แต่ก็ยอมเดินตามเจ้าของเรือนไปแต่โดยดี ชีวิตของคนเป็นอุปนิกขิตนั้นเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่แล้ว จะเป็นไรไปถ้าต้อง 'เสี่ยง' อีกสักครั้ง  


สองบุรุษเดินตัดทางเล็กๆ อันทอดสู่สระบัวมาด้วยกัน พระอินทเดชบอกตนเองไม่ได้ว่าไฉนจึงสนใจในตัวเจ้าคนแปลกหน้าที่เพิ่งเห็นคนนี้นัก บางทีอาจเป็นด้วยท่าทางองอาจผิดพ่อค้าธรรมดาของอีกฝ่ายกระมัง เมื่อมาถึงสระบัว อันเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดจากสายตาผู้รู้เห็น จู่ๆ ขุนนางหนุ่มก็หันขวับมาใช้หมัดลุ่นๆ หมายกระแทกใบหน้าอีกฝ่ายโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ด้วยสัญชาตญาณทำให้โมกฉีกหลบไปทางหนึ่ง หากพระอินทเดชไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น กลับเร่งตามเข้าประชิดและรุกต่อสู้ด้วยมือเปล่า โมกเองก็สู้ยิบตา ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับอยู่ครู่หนึ่ง แข้งของพ่อค้าสองแควก็ตวัดวาดเข้าที่ชายโครงของคู่ต่อสู้อย่างถนัดถนี่ เป็นผลให้อีกฝ่ายกระเด็นไปกองอยู่กับพื้น

โมกขยับเข้าไปหาด้วยเข้าใจว่าพระอินทเดชน่าจะเจ็บจุกอยู่ไม่น้อย หวังใจจะถามว่าเกิดเหตุกระไรขึ้น เขาจึงทำเยี่ยงนี้ หากยังไม่ทันถึงตัว ไม้ท่อนหนึ่งก็ถูกโยนส่งมาให้ ชายหนุ่มรับไว้ได้ทัน โมกหมดโอกาสจะซักถาม เพราะพระอินทเดชลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับท่อนไม้ในมือที่มีขนาดใกล้เคียงกับของเขา แล้วตรงเข้ารุกด้วยฝีมือดาบสำนักพุทไธศวรรย์

ขุนนางหนุ่มแห่งอยุธยาลอบยิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับและรุกตนเองอย่างแคล่วคล่อง การลองเชิงนั้นดำเนินไปอยู่ครู่หนึ่ง โมกก็รู้สึกตัว จึงจงใจใช้ข้อมือของตนเองยกขึ้นรับท่อนไม้ที่พระอินทเดชฟาดลงมาแทน คนตีเห็นเข้าก็รีบทิ้งของในมือปราดเข้ามาดูข้อมือของคู่ต่อสู้อย่างตกใจ      

“ไยไม่ใช้ไม้รับเล่า”

“ไยคุณพระจึงทำเยี่ยงนี้ขอรับ”

แทนที่จะตอบคำ พ่อค้าสองแควกลับย้อนถามคืน พระอินทเดชได้ยินก็ถอนใจ นัยน์ตาวาวจ้าที่สบประสานไม่ยอมหลบนั้น บอกให้รู้ว่าหมดเวลาที่จะอ้อมค้อมกันอีกต่อไปแล้ว  

“ลักษณะท่าทางเจ้าไม่เหมือนพ่อค้า ข้าจึงอยากพิสูจน์ให้รู้แน่ และก็เป็นเยี่ยงที่ข้าคิด”

“เยี่ยงไรขอรับ”

“ฝีมือการต่อสู้เจ้าไม่เป็นรองผู้ใด เจ้าเป็นเพียงพ่อค้ามิใช่ทหารแน่รึ”

โมกนิ่งอั้นไปพักหนึ่ง ที่สุดก็หัวเราะออกมาอย่างเห็นเป็นเรื่องขัน

“พ่อค้าทุกคนต้องมีวิชาการต่อสู้ติดตัวไว้บ้างขอรับ การเดินทางแต่ละคราใช่ราบรื่นเสมอไป หากเกิดเหตุอย่างใดขึ้นก็ใช้ป้องกันตนเองได้”

“แน่หรือ”

“แน่ขอรับ หากคุณพระไม่เชื่อคำข้าพระเจ้า ข้าพระเจ้าจักเรียกสหายมาให้คุณพระลองประมือด้วย”

พระอินทเดชนิ่งไปกับวาจานั้น แล้วเดินเลี่ยงไปยืนอยู่ริมสระบัว โมกหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด ขุนนางเมืองใต้คนนี้คิดการอันใดอยู่หนอ อยู่ๆ จึงลุกขึ้นมาลองฝีมือเขาโดยไม่ทันตั้งตัวเยี่ยงนี้

“เจ้าชื่อกระไร”

“โมกขอรับ”

“อายุล่ะ”

“ยี่สิบสามปีขอรับ”

“เจ้ามาค้าขายในกรุงศรีทางใด กองเกวียนหรือล่องเรือลงมาจากสองแคว”

“ไม่แน่นอน สุดแต่จักสะดวกทางใดขอรับ”

อุปนิกขิตจากแดนไกลตอบอย่างระมัดระวัง เพราะไม่รู้ว่าคนถามคิดทำการใด

“พ่อค้าสองแควนั้นข้ารู้จักอยู่สี่ห้าคน เจ้ามาด้วยผู้ใด บอกทีหรือเผื่อข้าจักรู้จัก”

“ข้าพระเจ้ามาด้วยพ่อลุงใจแก้วขอรับ”

“จริงรึ บังเอิญเสียจริง ข้าไม่ได้พบกับพ่อลุงใจแก้วมาหลายปี ตั้งแต่ท่านผ่อนครัวไปอยู่สองแคว ประเดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าเอง จักได้สนทนากับพ่อลุงด้วย”

พระอินทเดชยิ้มอย่างดีใจ ความบังเอิญที่มาพ้องกันเยี่ยงนี้ โมกทำตาปริบๆ เพราะเพิ่งรู้ว่าใจแก้วเคยตั้งเรือนอยู่ที่เมืองใต้มาก่อน มิน่าเล่า หมื่นโลกสามล้านจึงเลือกฝากฝังเขากับสิงห์คำให้ติดมากับกองเกวียนของใจแก้ว พระอินทเดชเห็นโมกไม่ปฏิเสธว่าอย่างไรก็รวบรัดตัดความทำตามที่ตนต้องการทันที

“เช่นนั้นใส่ยาเสียก่อนแล้วค่อยกลับไปที่เกวียนนะ ดูนั่นสิ ข้อมือของเจ้าเริ่มบวมแล้ว”

“ลำบากคุณพระเปล่าๆ ขอรับ ไม่เจ็บกระไรนัก อีกอย่างที่เกวียนของข้าพระเจ้าก็พอมียาอยู่ กลับไปค่อยนวดยาก็ได้ขอรับ”

“เอาเช่นนั้นรึ”

“ขอรับ”

โมกส่งยิ้มให้พระอินทเดชอย่างมีไมตรี ขุนนางหนุ่มคิดนิดหนึ่งก็ยอมตามใจคนเจ็บ ทั้งเห็นว่าสายมากแล้ว กว่าจะไปถึงที่พักเกวียนพ่อค้าก็น่าจะจวนเที่ยง หากเป็นวันอื่นๆ พระอินทเดชคงจะรั้งตัวเจ้าหนุ่มคนนี้ให้อยู่ก่อน แต่วันนี้เขาต้องเข้าเฝ้าในช่วงเย็น จึงตกลงตามที่โมกเสนอมา  


สองบุรุษต่างวัยนั่งสนทนากันอยู่ที่ชานเรือนพักซึ่งปลูกสร้างอย่างง่ายๆ เพื่อเป็นที่พักแรมชั่วคราว เมื่อสนทนาไปได้สักครู่ ผู้แก่วัยกว่าก็หันมามองทางโมกที่สาละวนช่วยสหายเก็บข้าวของอยู่ทางหนึ่งด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความรู้สึกออก ก่อนจะหันมาทางคู่สนทนา    

“แน่ใจแล้วหรือพ่อแสน อ้ายโมกคนนี้หลานเพิ่งได้ปะเป็นคราแรก หัวนอนปลายตีนมันเป็นเยี่ยงไรยังมิรู้”

“ข้อนั้นหลานไม่เถียงขอรับ หลานยอมรับว่าพอปะหน้าพ่อโมกคนนี้ หลานก็ต้องชะตาด้วยนัก ทั้งลักษณะยังองอาจสมชายชาติ อีกอย่างหลานก็เห็นฝีมือพ่อโมกแล้ว น่าเสียดายหากจักเป็นเพียงพ่อค้าเยี่ยงนี้”

ใจแก้วไม่ตอบ กลับมองไปทางโมกอีกครั้งอย่างครุ่นคิด หน้าที่ของชายหนุ่มคือสิ่งใดนั้นตนรู้ดีแก่ใจ หากเป็นคนอื่นมาขอตัว คงตกปากรับคำไปเสียนานแล้ว แต่นี่เป็นพระอินทเดช หนึ่งในพระตำรวจจตุลังคบาททั้งสี่ ซ้ำยังเคยเห็นและคุ้นเคยกับครอบครัวนี้มานาน แม้จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วใจแก้วคือข้ารองพระบาทในกษัตริย์เชียงใหม่ก็ตาม หากสายสัมพันธ์และน้ำมิตรที่เคยเกื้อกูลกันมาแต่ก่อนเก่า ทำให้ใจแก้วลำบากใจอยู่ไม่น้อย ต่อเมื่อเอาประโยชน์แห่งบ้านเมืองขึ้นชั่งเปรียบเทียบแล้ว ที่สุดชายชราก็ตัดสินใจได้

“เห็นแก่ความรุ่งเรืองของมันต่อไปภายหน้า ลุงยินดียกมันให้ แต่จักไม่ถามเจ้าตัวเลยก็หาควรไม่ ลุงจักเรียกมันมาถามเอาความต่อหน้าหลาน ส่วนมันจักปลงใจว่าอย่างใดนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”  


พระอินทเดชตกลง ใจแก้วจึงวานให้คนไปตามตัวโมกมาพบ ครั้นโมกทราบความแล้วก็แสนยินดีกับโอกาสที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนนี้ แต่จะให้ตอบรับทันทีก็ใช่ที่ จึงเหลือบแลไปทางผู้อาวุโสที่สุดคล้ายหารือ หากใจแก้วไม่พูดว่าอย่างไร คงนั่งนิ่งอยู่อย่างเดิม ชายหนุ่มจึงหันมาทางพระอินทเดชที่รอคอยคำตอบอยู่  

“ใช่ข้าพระเจ้าจักไม่อยากรับราชการ แต่ข้าพระเจ้าอ่านหนังสือยังไม่แตกเลย”

ใจแก้วได้ยินแล้วเกือบหัวเราะ ถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็คงเชื่อ แต่นี่เขารู้ดี อุปนิกขิตในพญาเจ้านั้นไม่เพียงเจนตัวธรรมที่ใช้ในล้านนา แต่ชาญทุกอักขระของชนที่เกี่ยวข้องด้วยล้านนาเสียด้วยซ้ำ มันตีหน้าซื่อได้สนิทนัก จนพระอินทเดชยังหลงคิดว่าเป็นความจริง

“เรื่องหนังสือใช่เรื่องยาก ค่อยฝึกเอาภายหลังก็ได้ คิดให้ดีโมก ระหว่างรอนแรมค้าขายเสี่ยงภัยเยี่ยงนี้กับการทำราชการในเมืองจักเลือกข้างใด”

“แต่...” โมกยังแสร้งทำทีอิดออด พระอินทเดชถอนใจบางๆ ก่อนบอกว่า

“เอาล่ะ ข้าจักให้เพลาเจ้าตรองก่อนสักสามวัน ปลงใจว่าอย่างใดก็บอก เจ้ารู้จักเรือนข้าแล้ว จักไปบอกข้าเองหรือจักให้ข้ามาที่นี่ล่ะ”

“ข้าพระเจ้าไปที่เรือนคุณพระเองดีกว่าขอรับ”

คราวนี้ตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องคิด ดวงหน้าของสตรีหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิด ทำให้อุปนิกขิตล้านนาอดหวามในใจไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยต้องใจสตรีใด แม้แม่ญิงที่ร่ำลือว่างามที่สุดในเมืองเหนือ หานไสสูงผู้นี้ก็ไม่เคยชายตาแล ไฉนแม่ดอกลำเจียกแสนสวยจึงมีอิทธิพลเหนือตนเองแต่แรกที่ได้พบหน้าเยี่ยงนี้หนอ



*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 11:30:52

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 11:30:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com