Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๗ : สาสน์จากเมืองเหนือ (ท่อนเริ่ม) ติดต่อทีมงาน

บทที่ ๗ : สาสน์จากเมืองเหนือ (ท่อนเริ่ม)


ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด สวมเพียงกางเกงป้ายอันทอมาจากผ้าฝ้ายมิได้ย้อมสี จึงปรากฏเป็นสีน้ำตาลอ่อนดั้งเดิมของมัน คาดทับด้วยผ้าขาวผืนใหญ่ ส่วนท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าเห็นแผ่นอกกว้างเยี่ยงบุรุษทั่วไป ผมยาวขมวดมุ่นเกล้าเอาไว้อย่างง่ายๆ มีรอยยุ่งเหยิงนิดหนึ่งตามประสาคนทำงานมิได้อยู่นิ่ง เขาเดินเข้ามานั่งพับเพียบลงกับพื้นดิน มิได้ก้าวขึ้นบนอาศรมแต่อย่างใด สองมือพนมอยู่กลางอกมองฤๅษีทั้งสองตนที่นั่งสมาธิเข้าฌานอยู่บนอาศรมด้วยสายตาเลื่อมใสบูชาหนักหนา

“มาแล้วรึ ควิยะ”

วาสุเทพฤๅษีถามโดยมิได้ลืมตาแต่อย่างใด ควิยะยิ้มอ่อนๆ มิได้ตอบว่าอย่างไร เพราะรู้ว่านี่เป็นเพียงคำทักทายเท่านั้น ไม่ถึงอึดใจฤๅษีทั้งสองตนก็ลืมตาขึ้นมองศิษย์ก้นกุฏิที่เฝ้าปรนนิบัติมานานปีอย่างปรานี นั่นแหละควิยะจึงเริ่มเอื้อนวาจา

“ครูท่านทั้งสองปรารถนาให้ข้าทำสิ่งใด ขอจงว่ามาเถิดเจ้าข้า”

“ข้าจักให้เจ้าเป็นราชทูตไปลวปุระ ไม่ต้องทำหน้าเยี่ยงนั้น”

สุกกทันตะฤๅษีพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตกใจของควิยะ หน้าคล้ำๆ ค่อยคลายที่ตกใจลงเหลือแต่รอยยิ้มแหยเต็มที ก่อนถามด้วยเสียงอันดังตามความเคยชิน  

“ก็ข้าไม่เคยไปนี่นา แล้วครูท่านจักให้ข้าไปทำการใดที่ลวปุระหรือเจ้าข้า”

วาสุเทพฤๅษีส่ายหน้าน้อยๆ อย่างระอาใจแกมขันหันไปทางสหายผู้อ่อนวัยกว่าพร้อมกับถามเสียงหน่ายเต็มที

“ดูมันทำเข้า คิดดีแล้วรึสุกกทันตะ ราชทูตบ้านใดเมืองใดเป็นเยี่ยงมันบ้าง พูดจาเอะอะโวยวายโหวกเหวกก็เท่านั้น ขี้ตื่นตกใจก็เท่านั้น มีดีตรงที่มันอ่านออกเขียนได้กับพอจักฉลาดกับเขาบ้างนี่ล่ะกระมัง”

อันที่จริงไม่ใช่ 'พอจักฉลาด' หรอก แต่มันฉลาดเป็นกรด กะล่อนลื่นไหลเก่งนักเทียว แต่ดีอยู่ตรงที่มันไม่เคยใช้ความฉลาดของมันทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ซ้ำยังคอยช่วยงาน 'ท่านครู' ของมันได้โขทีเดียว

“ก็แล้วผู้ใดว่าข้าจักให้มันไปคนเดียวเล่าวาสุเทพ ข้าจักไปด้วยมัน ขืนให้ไปเองพ่ออยู่หัวจักได้คิดว่าท่านกับข้าส่งจำอวดหลวงคนใหม่ไปให้แน่แท้”

ควิยะคนซื่อได้แต่มองฤๅษีทั้งสองสลับกันไปมาด้วยความงุนงง นี่ครูท่านกำลังเล่นกระไรอยู่หนอ ที่ว่าให้ตูข้าเป็นราชทูตคงเป็นการเย้าเล่นเสียล่ะมากกว่า ครูท่านทั้งสองเองก็มีฝีปากเป็นเอกอยู่แล้ว ที่ไหนเลยจะเอาตัวเขาเป็นราชทูตให้อายคนเขาเล่นเล่า พอคิดเยี่ยงนี้เขาก็ค่อยมีสีหน้าชื่นขึ้น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงวาสุเทพฤๅษีขานนามด้วยเสียงอันดัง

“ควิยะ”

“จ...เจ้าข้า”

“ยังจักนั่งหน้าเป็นอยู่อีก นับแต่วันนี้ไปเจ้าจักต้องได้รับการอบรมกิริยาเสียใหม่ เข้าเจ้าเข้านายทั้งที จักทำตัวเป็นลิงเยี่ยงนี้มิได้”

“ง่า...นี่ครูท่านพูดจริงหรือเจ้าข้า”

“อุวะ ไอ้นี่ เจ้าเคยเห็นข้าสองคนพูดเล่นรึ” สุกกทันตะฤๅษีถามเสียงเคร่งแต่ดวงหน้าปรากฏรอยยิ้มละไม “เจ้าไม่ต้องเจรจาลิ้นทูตหรอก มิต้องกังวลถึงเพียงนั้น เพียงแต่ขอแรงเจ้าช่วยเขียนสาสน์เท่านั้น”

ควิยะฉีกยิ้มกว้างอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก แล้วรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปได้ราวสองก้าวก็ชะงักแล้วหันมายิ้มแห้งๆ ให้ฤๅษีทั้งสองตนที่นั่งสีหน้านิ่งมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ว่าที่ราชทูตกลับมาทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแล้วถามเสียงอ่อนอ่อยเต็มที

“เอ้อ ครูท่านจักให้ข้าเขียนความว่าอย่างใดเจ้าข้า”

“อ้าว เห็นพรวดพราดวิ่งออกไปเยี่ยงนั้นยังไม่รู้อีกรึ ข้าเห็นลุกพรวดพราดไปก็หลงดีใจนักว่าศิษย์คนนี้ช่างฉลาดหนักหนา มิทันบอกความก็ล่วงรู้ได้เองแล้วเสียอีก”

สุกกทันตะฤๅษีบอกด้วยสีหน้านิ่งสงบ ส่วนวาสุเทพฤๅษีนั้นเบือนหน้าไปยิ้มเสียทางอื่นกับวาจาค่อนแคะของสหาย ท่านเองก็ใคร่ต่อว่าควิยะอยู่เช่นกัน แต่พอยินฝีปากของผู้ที่นั่งอยู่เคียงกันแล้ว คำที่จะดุว่าสั่งสอนก็กลับกลืนหายลงคอไปจนสิ้น ปล่อยให้ราชทูตฝีปากเอกลับคมไปพลางก่อนก็แล้วกัน คนเป็นศิษย์ยิ่งยิ้มแห้งหนักกว่าเก่าเพราะรู้ถึงความผิดอันเกิดแต่ความหุนหันพลันแล่นของตนดี ท่านฤๅษีว่าจบแล้วก็จัดแจง:-)ถาดไม้ขนาดพอเหมาะซึ่งบรรจุแผ่นหนังพร้อมเครื่องหมึกจารที่วางอยู่ข้างตัวออกมาตรงหน้า พลางกวักมือเรียกควิยะ

“ขึ้นมานั่งบนนี้ ราชสาสน์สำคัญจักจารกลางดินหาสมควรไม่”

ร่างสันทัดแล่นปราดขึ้นมาบนอาศรมอย่างว่องไว สุกกทันตะฤๅษีบอกเนื้อความโดยรวมให้ศิษย์ก้นกุฏิอย่างคร่าวๆ และหันไปปรึกษากับวาสุเทพฤๅษีเป็นระยะ เพลาที่ไม่แน่ใจว่าใช้ถ้อยคำเยี่ยงนี้จะเหมาะควรแล้วฤๅไม่ ส่วนควิยะนั้นนั่งขัดสมาธิฟังอย่างตั้งใจ พอสิ้นกระแสความระยะหนึ่งก็นั่งคิดเรียบเรียงคำอยู่ชั่วขณะ ก่อนตวัดอักษรลากปราดๆ ลงในแผ่นหนัง การทุกสิ่งดำเนินไปเยี่ยงนี้อยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดราชสาสน์ที่จะเชิญลงไปยังลวปุระก็เสร็จสิ้น สุกกทันตะฤๅษีรับแผ่นหนังมาอ่านดูเนื้อความแล้วก็ยิ้มพอใจ ก่อนจะส่งให้วาสุเทพฤๅษีช่วยตรวจทานอีกคำรบหนึ่ง ท่านอ่านอย่างถี่ถ้วนแล้วก็บอกว่า

“เป็นดั่งนี้ควรแล้วสหายข้า สาสน์เชิญแล้วเสร็จ ครานี้ก็ต้องจัดเครื่องบรรณาการลงไปด้วย เจ้าคิดว่าจักต้องใช้เพลาสักเท่าไรในการตระเตรียมข้างของและผู้คนที่ร่วมในคณะทูตนี้”

“เครื่องบรรณาการนั้นคงไม่สู้กระไรนัก ที่ช้าเห็นจักเป็นเรื่องคนที่จักตามไปมากกว่า” สุกกทันตะฤๅษีพูดพลางลูบเคราของตนอย่างครุ่นคิด “ที่นี่มีแต่คนพื้นเมือง ส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าเจ้าเข้านายมาก่อน และที่เคยนั้นก็ใช่วางใจได้ ถึงแม้ดินแดนแถบนี้พอมีผู้ปกครองบ้านเมืองบ้างก็ตาม แต่แบบแผนราชสำนักเห็นจักผิดกันอยู่โข จำต้องคัดคนเข้ามาฝึกหัดพอให้ไม่ขัดเขินเก้งก้างจึงจักเดินทางไปได้ ข้าคิดว่าไม่น่าจักเกินเพ็ญหนึ่ง”

วาสุเทพฤๅษีพยักหน้ารับ ดวงหน้าดุเริ่มผ่อนคลายลง ทางนคราใหม่ต้นน้ำนี้เห็นจะไม่มีสิ่งใดต้องห่วงอีก แต่ที่ยังกังวลคือทางลวปุระมากกว่า เพราะเพลานี้ท่านก็แว่วข่าวมาว่าการเมืองในราชสำนักที่เย็นลงมาพักใหญ่ๆ นั้นเริ่มกลับมาแรงร้อนอีกคำรบ และมีเค้าว่าจะรุนแรงกว่าเมื่อสี่ปีก่อนเสียด้วย  ท่านอดคิดไม่ได้ว่าด้วยสาเหตุนี้ด้วยหรือเปล่าที่สุกกะทันตฤๅษีเลือกเจ้าหญิงจามเทวีมาเป็นจอมนางที่นคราใหม่แห่งนี้ นอกเหนือจากท่วงท่าลักษณะอันสำแดงถึงบุญญาแห่งนางพญาซึ่งท่านเคยประจักษ์ด้วยตาเมื่อครั้งยังอยู่ที่ลวปุระ สุกกทันตะฤๅษีเห็นท่าทีสหายที่อยู่ในภวังค์คิดก็ไม่ได้พูดว่ากระไร ท่านรอจนควิยะลากลับไปแล้วจึงเปรยเป็นโศลกที่ทำให้คนฟังต้องหลุดจากภวังค์หันมามองหน้าทันใด  

...........................................ดวงรัตน์จอมราช.......................................อำนาจเทวี
...................................อยู่เหนือธานี....................................................อยู่เหนือยิ่งชาย
...................................นางดั่งเพชรรัตน์...............................................จำรัสพรรณราย
...................................ดุจแสงสูรฉาย.................................................รัศมิ์ฤๅรู้ร้าง
...........................................แหล่งเดิมแหล่งนั้น...................................ห่อนทันบุญนาง
...................................ชาตาขีดทาง....................................................สู่เมืองเราผอง
...................................บุญญานางแก้ว.................................................เลิศแล้วจึ่งครอง
...................................รุ่งเรื้องเรืองรอง................................................ไปชั่วกัลปา


สุกกทันตะฤๅษีแย้มยิ้มเมื่อว่าโศลกจบลง ไม่รอให้ผู้แก่วัยกว่าซักถามว่าอย่างใดอีก กลับหลับตาลงแทนคำตัดบท แล้วดิ่งเข้าสู่ฌานสมาธิอย่างรวดเร็ว วาสุเทพฤๅษีถอนใจยาว ดูเหมือนสุกกทันตะฤๅษีทำสิ่งใดก็ดูเหมือนง่ายไปเสียทั้งสิ้น ท่านไม่เถียงหรอกว่าที่สร้างนคราใหม่นี้ก็เพื่อมอบให้ศิษย์เอกเป็นสำคัญ แต่นั่นก็ก่อนที่เจ้าหญิงจามเทวีจะอภิเษกด้วยเจ้าชายรามราช สายใยผูกพันของครอบครัวนั้นยิ่งใหญ่เพียงใดท่านรู้ดี ยิ่งเพิ่งอภิเษกได้เพียงไม่นาน จู่ๆ ก็จะพรากคู่เขานั้นบาปน้อยอยู่เมื่อไร แม้จะบอกว่าให้เป็นเรื่องที่เจ้าตัวจะตัดสินใจเองก็เถิด

จริงอยู่ว่าท่านสามารถใช้ข่ายญาณดูเหตุการณ์ภายภาคหน้าได้ แต่ควรฤๅที่จะก้าวล่วงเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นถึงเพียงนั้น อีกประการเล่า ท่านเองก็ใคร่รู้เช่นกันว่าสุกกทันตะฤๅษีจะแก้ไขเรื่องนี้ประการใด วาสุเทพฤๅษีมองคนที่อยู่ในฌานล่วงหน้าไปแล้วด้วยสีหน้าและแววตาที่ยากจะเดาออกว่าท่านคิดการใดอยู่กันแน่ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจแล้วหลับตาลงเพื่อเข้าสู่ฌานสมาธิดุจเดียวกัน    



ศรดอกนั้นพุ่งออกจากแล่งปักลงตรงเป้าที่ติดไว้ยังตำแหน่งหัวใจของหุ่นฟางขนาดเท่าคนจริงอย่างแม่นยำ เศษฟางขาดปลิวร่วงหล่นบนพื้นดินพร้อมๆ กับที่คนยิงลดธนูในมือลง แม้เสียงปรบมือจะดังไปทั้งลานฝึกแห่งนั้น แต่นัยน์ตาดำคมที่มองผลงานของตนเองกลับฉายแววไม่ใคร่พอใจนัก มือเรียววาดไปด้านข้างโดยไม่พูด คนอยู่ใกล้ย่อมรู้กิริยานี้หมายความเยี่ยงไร ศรดอกใหม่จึงได้รับการวางลงในอุ้งมือนาง เจ้าหญิงจามเทวีจัดการขึ้นสายหนังใหม่อีกคำรบอย่างชำนาญ หากยังไม่ทันได้ยิงออกไปก็ต้องลดธนูลงเมื่อยินเสียงทุ้มนุ่มที่เคยคุ้นดังอยู่ใกล้ๆ

“ยังไม่พอใจอีกหรือเจ้าดอกจำปาของพี่ ดอกแรกก็ปักกลางเป้าแล้วมิใช่รึ”

“แม้นเป็นดั่งที่เจ้าพี่ว่า น้องจักขอศรใหม่เพื่อการใดเล่าเจ้าคะ”

รอยยิ้มหวานหยดประทานแก่ผู้เป็นเจ้าของดวงใจ ก่อนยกธนูขึ้นน้าวสายจนสุดล้า เสียงลั่นเผ่งของสายหนังดังขึ้น ศรดอกเดิมกระเด็นร่วงลงพื้นทันใดเมื่อศรดอกใหม่ปักตรึงกลางเป้าพอดี เจ้าหญิงจามเทวีหันมายิ้มพลางยักคิ้วนิดๆ อย่างทะเล้น

“เยี่ยงนี้สิเจ้าคะ จึงจักว่าแม่นยำ ดอกแรกนั้นเบี่ยงออกซ้ายนิดหนึ่ง”

เจ้าชายรามราชเห็นกิริยานั้นก็นึกหมั่นเขี้ยวเป็นกำลัง หากอยู่ด้วยกันตามลำพังแล้ว ป่านนี้นางคงได้บำเหน็จเป็นแน่แท้ แต่นี่อยู่ท่ามกลางข้าราชบริพารและทหารใหม่ที่มาฝึกอาวุธ ขืนทำตามใจตนเมื่อไร คนเหล่านี้คงเก็บไปนินทากันแน่แท้ เพลานี้จึงได้แต่กระซิบแผ่วยินกันเพียงสองคนแทน

“เก่ง กลับเรือนเมื่อใดพี่จักให้บำเหน็จน้อง”        

ปรางนวลเรื่อขึ้นทันใด คนสนิทของเจ้าหญิงจามเทวีซึ่งวันนี้อยู่ครบทั้งสี่นางพอเห็นนายสาวขวยอายก็รีบก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม และคงจะสำเร็จถ้ามธุจะไม่เผลอสบตากับปทุมวดีเสียก่อน ที่สะกดกลั้นเอาไว้ก็ถึงคราวทำนบแตกจนได้ เกษวดีกับจันทรีก็พลอยหลุดเสียงหัวเราะคิกคักไปด้วย เสียงนั้นดังถึงหูผู้เป็นนายได้ยินถนัดนัก แต่คนที่เคราะห์ร้ายถูกลงโทษกลับเป็นบดีแห่งนางแทน นิ้วเรียวแหนบเข้าที่ต้นแขนของเจ้าชายรามราชเต็มกำลังจนเจ้าตัวหน้าเหยเก

“อูย มือหนักจริงเมียพี่ พี่หาใช่คนหัวเราะสักหน่อย ไยไม่ไปหยิกสี่คนนั้นเล่า”

“ก็ผู้ใดล่ะเจ้าคะที่เป็นต้นเหตุ จักลงโทษก็ต้องคนต้นเรื่องนี่ล่ะ สำคัญนักเทียว”

“แล้วกัน ว้า! เป็นรามราชนี่แย่จริง โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ระวังเถิดจามเทวี วันใดพี่ไม่อยู่ด้วยน้องแล้ว น้องจักเหงา”

เจ้าชายรามราชแกล้งพ้อ แต่คนฟังกลับไหววูบในอกอย่างประหลาด ได้แต่ยืนมองหน้าบดีนิ่งงันอยู่ นิลน้ำงามคู่นั้นชุ่มด้วยม่านน้ำตาที่เอ่อขึ้นโดยไม่รู้ตัว มหาอุปราชลวปุระเห็นนางตกอยู่ในลักษณาการนั้นก็แปลกใจกึ่งตกใจนัก รีบบีบมือนางเบาๆ เพื่อเรียกสติ

“จามเทวี เจ้าจำปาของพี่ เป็นกระไรไป ร้องไห้ด้วยเหตุใด”

ชายาคนงามรู้สึกตัวก็ส่ายหน้า แล้วผละกลับไปนั่งที่ตั่งเตี้ยในศาลาข้างลานฝึกซ้อมอาวุธแทน เจ้าชายรามราชหันมาสั่งความให้คนทั้งปวงฝึกอาวุธกันต่อไป แล้วเร่งตามเจ้าหญิงจามเทวีเข้าไปในศาลา พี่เลี้ยงทั้งสี่ได้แต่มองหน้ากันเองอย่างพิศวงสงสัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็รู้กาลเทศะพอที่จะไม่ตามไป คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เป็นบดีแทน



“เป็นกระไรไป บอกพี่ได้ไหมคนดี”

เจ้าชายรามราชถามอย่างร้อนรนแกมห่วงใย ร่างสูงทรุดลงนั่งเคียงข้างแล้วโอบประคองชายาเอาไว้หลวมๆ เจ้าหญิงจามเทวีส่ายหน้าแทนคำตอบ น้ำตาที่เมื่อครู่เพียงซึมขอบตา มาบัดนี้กลับไหลพรากอาบปรางอย่างหยุดตนเองไม่ได้ เสียงสะอื้นผะแผ่วยิ่งทำให้มหาอุปราชลวปุระยิ่งห่วงหาเป็นทวีตรีคูณ มือใหญ่ลูบต้นแขนกลมกลึงอย่างปลอบขวัญแทนวาจา

“เจ้าพี่ อย่าพูดเยี่ยงเมื่อครู่อีกได้ฤๅไม่เจ้าคะ”

เสียงใสบัดนี้แหบพร่าเจือด้วยเสียงสะอื้นในอก ร่างบางผวาเข้าซุกกายในอ้อมแขนแกร่งของบดีเต็มกำลัง แล้วซบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างอยู่เช่นนั้น เจ้าชายรามราชถึงกับขมวดคิ้ว เพราะนางไม่เคยทำกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัลมาก่อน ถึงกระนั้นก็ยังกอดตอบชายาที่บัดนี้ไม่ต่างอันใดกับลูกนกตัวน้อยหลงรังเสียแล้ว

“พูดกระไร อ๋อ! ที่พี่เย้าเล่นว่าถ้าพี่ไม่อยู่ด้วยน้องจักเหงาน่ะรึ”

“เจ้าค่ะ อย่าพูดอีก น้องไม่อยากฟัง ไม่อยากฟังอีกแล้ว”

“ได้ พี่สัญญา จักไม่พูดเยี่ยงนี้อีก ว่าแต่ไฉนวันนี้ดวงใจพี่จึงวิกลนัก น้องไม่เคยเป็นเยี่ยงนี้เลยนี่นา”

“แปลกนักเจ้าค่ะเจ้าพี่ จู่ๆ น้องก็หนาวไปทั้งตัวทั้งใจ น้องไม่รู้ ไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุผลกลใดแน่”

ริมฝีปากอุ่นจัดประทับทาบเหนือหน้าผากนาง สัมผัสอ่อนโยนเจือด้วยความอบอุ่นนั้นทำให้นางเงยหน้ามองบดีก็เห็นสายตารักใคร่เปิดเผยมองอยู่ก่อนแล้ว

“พออุ่นขึ้นบ้างแล้วฤๅไม่ จูบนี้แทนคำมั่นว่ารามราชจักไม่ร้างห่างจามเทวี ไม่ว่าชาตินี้ฤๅชาติใด ต่อให้ไกลสุดไกลนอกฟ้าป่าหิมพานต์ก็จักขอตามไปทุกถิ่นที่ อย่ากลัวเลยคนดี อ้อมแขนพี่จักประคองป้องกันเยี่ยงนี้ตราบชั่วกาล”

เจ้าหญิงจามเทวีค่อยยิ้มออก แววกังวลที่ปรากฏรอยจางๆ ในดวงตาก่อนหน้านี้ถูกเกลื่อนทับด้วยแววปีติอิ่มใจ  

“ไม่ร้างแรมไกล จักประคองป้องกันเยี่ยงนั้นฤๅเจ้า กับจามเทวีคนนี้เท่านั้นฤๅไร เจ้าพี่”

“คนเดียวตราบไป ไม่ขอเผื่อแผ่แบ่งปันให้ผู้ใดอีก เป็นสัจจา”

“เช่นนั้นก็น่าสงสาร” นางว่าพลางแสร้งก้มหน้าลงด้วยท่าทีเศร้าๆ  

“สงสารผู้ใดกัน”


*** มีต่อค่ะ

แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 11:55:01

แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 11:54:37

แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 11:53:42

แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 11:51:14

แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 11:49:23

แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 55 11:48:18

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 55 11:43:33




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com