Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เก็บแผ่นดินใจไว้ปลูกรัก 19 : สังฆทานประกาศตัว (สาว) ติดต่อทีมงาน

บทที่แล้ว

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12176004/W12176004.html

บทที่  19


“โธ่โว้ย ทำไมมีแต่คนงกๆ กันทั้งนั้นนะ”

คนที่อยู่ในชุดนอนสีขาวสะอาดที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอกับอารมณ์หงุดหงิดของเตวิชผู้เป็นสามี ปกติแล้วเตวิชไม่ใช่คนเจ้าอารมณ์ มีบ้างที่หงุดหงิดแล้วสบถคำไม่สุภาพออกมา แต่คราวนี้ดูพลุ่งพล่านโมโหจนหน้าดำหน้าแดง กชกรคาดเดาเอาเองว่าสาเหตุหนึ่งต้องเกิดจากเพราะธุรกิจบ้านจัดสรรที่มีคนจองไปเกินกว่าครึ่งและอยู่ในช่วงดำเนินการก่อสร้างแต่ติดปัญหาคือธนาคารไม่ยอมอนุมัติเงินให้ในรอบหลังแน่นอนที่ทำให้สามีเป็นอย่างนี้

“ความจริงคุณยายก็พูดถูกนะคะ เราก็ยืมท่านมาแต่ไม่ยอมคืน แถมตอนท่านเจ็บป่วยก็ยังไม่ดูแลท่านอีก”

ร่างผอมเพรียวบอบบางน่าทะนุถนอมปัดผมดำสนิทยาวตรงไปด้านหลังก่อนจะทรุดนั่งลงข้างสามีที่นอนเหยียดยาวหน้าบูดบึ้งหลังจากรับฟังเรื่องของกันและกันจนจบแล้ว

“งกน่ะสิ” เตวิชเผลอขึ้นเสียงเมื่อไม่ได้ดังใจกับสิ่งที่คาดหวังไว้จนกชกรหน้าเผือดสี

“พี่เต้อย่าตะคอกใส่กุ้งสิคะ”

“ก็หรือไม่จริง ยายของกุ้งน่ะนอกจากงกแล้วยังเป็นคนแก่นิสัยเด็กเรียกร้องความสนใจ”

กชกรเอนกายพิงหัวเตียงก่อนจะถอนใจเฮือกพลางมองตามร่างกะทัดรัดที่ลุกขึ้นเดินไปยืนริมหน้าต่างและใช้มือดึงผ้าม่านผืนบางพลิ้วไปด้านหนึ่งเปิดให้เห็นด้านนอกที่มืดมิดเงียบสงบไร้เสียงกวนใจเหมือนเฉกเช่นในเมืองหลวงที่วุ่นวายจนถึงดึกดื่น

น่าหนักใจน้อยเสียเมื่อไหร่กับโครงการที่มองเห็นลู่ทางร่ำรวยแต่เป็นอันชะงักเพียงเพราะเครดิตไม่ดี อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับสามีเพราะหลายครั้งที่คุณยายของเธอทำเหมือนไม่รับรู้ว่าลูกหลานต้องแยกย้ายกันไปทำงานสร้างครอบครัวของตัวเองแล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาเอาอกเอาใจท่านได้ตลอดเวลา

“แล้วนี่เราจะทำยังไงดี โครงการเราทำไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ธนาคารไม่อนุมัติเงินให้ในรอบสองแบบนี้เราจะไม่เจ๊งหมดเนื้อหมดตัวกันเหรอคะ”

“นี่แหละที่พี่ห่วง เฮ้อ คนมาจองโครงการเราก็ตั้งเยอะตั้งแยะ พ่อก็ไม่ยอมช่วยกลัวแต่ว่าเราจะเอาเงินไปละลายแม่น้ำ ทั้งๆ ที่ก็เห็นอยู่ว่าโครงการมันกำลังไปได้ดี”

กชกรนึกถึงการช่วยเหลือของไตรภพบิดาของสามีในระยะแรกของการเริ่มต้นทำธุรกิจที่แม้จะบ่นกระปอดกระแปดกลัวโน่นกลัวนี่ไปสารพัดของคนไม่ไว้ใจฝีมือของลูกชายและลูกสะใภ้อย่างเธอแต่ก็ยังยอมสนับสนุนการเงินตามที่อ้อนขอ แต่พอรู้ว่าล้มเหลวก็เต้นเป็นเจ้าเข้าเมื่อรู้ดีว่าเงินที่สูญไปไม่ใช่น้อยๆ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะได้คืน  

“คุณพ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอคะว่าให้ลองธนาคารอื่นดู” เธอลุกขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

“มันก็ช้าออกไปน่ะสิ”

เตวิชเดินไปมา อึดใจตาเรียวเล็กก็เบิกกว้าง ประกายตาแวววาวก่อนที่เจ้าตัวจะดีดนิ้วเปาะ

“นึกออกแล้ว พ่อบอกว่าชอบที่ดินผืนนั้น งั้นพี่ก็ต้องช่วยให้พ่อได้ที่ดินผืนนั้น โดยมีเงื่อนไข”

มือขาวนวลเรียวงามของกชกรที่กำลังเปิดกระปุกครีมปะทินผิวชะงักกึก “เงื่อนไขอะไรคะเหรอคะพี่เต้”

เตวิชก้าวเท้ามาหาภรรยาแล้วเอียงตัวและศีรษะเข้าใกล้พลางยิ้มกริ่มนัยน์ตาวาววับก่อนจะกระซิบข้างหูหอมกรุ่นกลิ่นครีมอาบน้ำราคาแพง

“เงื่อนไขที่ว่าคือ ถ้าพี่ทำให้เจ้าของที่ดินขายที่ให้พ่อได้ พ่อจะต้องยกที่ดินครึ่งหนึ่งให้พี่”

กชกรห่อปากเบิกตากว้าง “แล้วคุณพ่อจะยอมเหรอคะ”

เตวิชยืดตัวขึ้น ยิ้มกริ่ม

“ทำไมจะไม่ยอมล่ะในเมื่อพ่ออยากได้ที่นั้นมาก แต่ที่พ่อยังไม่ลุยเดินหน้าคงเพราะยังมีที่ดินตรงส่วนอื่นไว้ให้ทำโน่นทำนี่อยู่ แต่ถึงยังไงพ่อก็ยังอยากได้มันอยู่ดีไม่ละทิ้งความสนใจง่ายๆ หรอก เพราะฉะนั้นถ้าพี่เป็นคนจัดการเองโดยที่พ่อไม่ต้องเหนื่อยแกต้องยอมอยู่แล้ว”

“แล้วเจ้าของเขาจะยอมเหรอคะพี่เต้”

ริมฝีปากของเตวิชกระตุกขึ้น ตาเป็นประกายอย่างเจ้าเล่ห์

“ก่อนอื่นพี่ต้องขอดูท่าทีของเจ้าของก่อน หลังจากนั้นค่อยหาทางกันต่อไป มีหลายวิธีตั้งเยอะแยะเพียงแต่เราจะเลือกใช้วิธีไหนก็เท่านั้นเอง”

                             *****************

“เอาสิ เอาเลย ถ้าแกทำได้ก็เอาเลย”

ไตรภพหัวเราะร่าเมื่อบุตรชายนำเงื่อนไขมาเสนอ เตวิชยิ้มกว้างกับปฏิกิริยาของบิดา ความหวังในโครงการบ้านจัดสรรสว่างกระจ่างใสเหมือนฟ้าไร้เมฆฝน แต่พอคนที่หัวเราะจนพุงกระเพื่อมไปได้สักหนึ่งนาทีก็ฉุกคิดได้ว่าถ้าแบ่งครึ่งมันมากไป คนงกอย่างไตรภพเลยต่อรองกับเจ้าของความคิด

“ว่าแต่หากนังหนูพู่ยอมขายที่ให้จริง แกจะลดๆ ที่ดินที่แกควรจะได้หน่อยได้ไหมไอ้ลูกชาย เอาแค่หนึ่งส่วนสี่ก็พอ ครึ่งหนึ่งฉันว่ามันมากเกินไปนา”

“โหย...หนึ่งส่วนสี่มันน้อยไปพ่อ” สายเลือดความอยากได้ของลูกชายจะมาจากใครหากไม่ใช่บิดา

“งั้น หนึ่งส่วนสาม” คนเป็นบิดายังไม่ยอมเลิกต่อรอง

“ครึ่งหนึ่งพ่อ” คนเป็นลูกก็อยากได้ให้สมกับการตั้งใจจะเดินหน้าลุย

“บ๊ะ โลภจริงเลยแกนี่ ลูกใครวะ”

“ลูกพ่อนั่นแหละ”

ไตรภพค้อนปะหลับปะเหลือก มีเสียงหัวเราะคิกคักจากไอ้เป็ดกับไอ้ไข่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ

“ใครหัวเราะฉันจะหักเงินเดือนครั้งละพัน” คนได้รับคำขู่อันน่ากลัวที่ชวนให้กระเป๋าเงินค่าเหล้าเบาหวิวหน้าเหี่ยวแฟบไปถนัดใจ

“โอ๊ะ...โอ...เงินเดือนสามพัน ขืนหัวเราะสามครั้งก็หมดกันพอดี”

“เออ! อยากลองไหมล่ะ ถ้าหัวเราะเกินเงินเดือนฉันจะติดลบเอาไว้หักเดือนหน้าอีก”

“จึ๋ย จึ๊กกะดึ๋ย งกจริงๆ”

“เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยวเลยไอ้ตูดไก่นี่”

เตวิชไม่สนใจบิดาของตนกับลูกน้องแต่หันไปมองทุ่งนาที่บัดนี้เหลือเพียงตอซังข้าว กวาดสายตาเลื่อนเลยไปยังอาณาเขตของไร่นับดาวจนเห็นแนวต้นไม้เป็นแถวเป็นแนวสีเขียวชอุ่ม ถัดไปเป็นแปลงพืชผลสีเหลืองสูงระดับเดียวกันเป็นผืนกว้าง

หากซื้อที่ดินตรงนั้นสำเร็จ เขาจะเปลี่ยนเป็นบ้านจัดสรรหรือว่ารีสอร์ตหรูหราดีนะ

                      *************

รถราที่ขนชาวบ้านมาจากหลากหลายอำเภอจอดเรียงกันเป็นตับ ลูกเล็กเด็กแดงวิ่งเล่นส่งเสียงกันเจื้อยแจ้ว ผู้คนต่างเพศต่างวัยแต่งชุดสะอาดสะอ้านเรียบร้อย หญิงสูงวัยส่วนใหญ่สวมชุดผ้าไหมย้อมสีดำมีผ้าสีขาวพาดบ่า บางคนถือตะกร้าหมากในขณะที่ปากเคี้ยวหมากหยับๆ ส่วนสุภาพสตรีวัยสามสิบกว่าที่แต่งงานแล้วนุ่งผ้าถุงกับเสื้อสีขาวสะอาด ภายในวัดร่มรื่นไปด้วยต้นมะม่วงกับต้นพิกุลที่ปลูกเรียงรายพื้นดินสะอาดสะอ้านเนื่องจากได้รับการปัดกวาดอย่างดี ตรงกลางลานวัดเป็นฐานที่ตั้งของพระใหญ่ที่สร้างยังไม่เสร็จเรียบร้อย แต่กระนั้นก็ยังเป็นที่เคารพบูชาของผู้ที่มาทำบุญจากผู้คนต่างก็หยุดยืนไหว้อธิษฐานกันเนิ่นนาน

พอจอดรถกระบะไว้ใต้ต้นมะม่วงร่มเงาแผ่ครึ้มแล้ว ร่างของพู่ชมพูในชุดเสื้อสีขาวแขนสั้นปักลายเอวรูดกับผ้าไหมสีแดงช้ำยาวกรอมเท้าผมสั้นๆ มีกิ๊บสีเงินติดผมป้ายไปข้างหนึ่งก็ก้าวลงมาจากรถ ดวงตาสีดำแจ่มใสภายใต้กรอบใบหน้าเรียวผุดผาดกวาดตามองไปทั่วบริเวณวัดก่อนจะหยุดที่เต็นท์กางติดกันสามเต็นท์เป็นโรงทานชั่วคราวเพื่อให้คนที่มาทำบุญได้กินกันและเป็นการทำบุญของผู้นำอาหารมา ผู้คนต่างเดินขวักไขว่ไปมาเสียงเพลงลูกทุ่งดังกระหึ่มผสานกับเสียงพูดคุยดูวุ่นวายไม่น้อยแต่ใบหน้าทุกคนดูอิ่มเอิบสดใส อรวรรณกับพิณไพลินและตติยะเดินลงมาสมทบ

“เดี๋ยวช่วยกันยกลงไปวางในโรงทานตรงโน้นดีกว่าลูก” อรวรรณเอ่ยขึ้นขณะจัดระเบียบเสื้อให้ดูเรียบร้อย

“ไม่ไปใกล้กับโต๊ะของนายไตรภพนะคะแม่ ตั้งแต่นายทุนจอมโลภนั่นให้คนยกโขยงรถเข้าไปบุกป่าพู่ยิ่งเหม็นขี้หน้า ไม่อยากได้ยินเสียงคุยโม้”

“ฮื้อ พู่นี่ก็ ปล่อยเขาไปเถอะวันนี้เรามาทำบุญนะลูกทำจิตใจให้สบายอย่าให้จิตต้องหมองเศร้า เข้าใจ๋” มารดาคนเก่งในชุดผ้าไหมกับเสื้อสีขาวใช้วาจาตอนท้ายที่ทำเอาบุตรสาวคนโตหลุดเสียงหัวเราะขำออกมา วัยรุ่นจริงเลยแม่เรา

“อย่าไปสนใจเลยค่ะพี่พู่ รีบยกหม้อลงไปวางดีกว่าของหวานเราจะได้หมดโกยบุญเข้ากระสอบกลับบ้าน” พิณไพลินเอ่ยเตือนสติ เธออยู่ในชุดคล้ายกับพี่สาวผิดเพียงทรงผมที่เปียเป็นเส้นเล็กๆ สองข้างมัดรวบไว้ด้านหลังทำให้ดูสวยหวานจนชายหนุ่มผมยาวที่ติดรถมาด้วยแอบลอบมองอย่างชื่นชมบ่อยครั้งโดยที่คนถูกลอบมองก็รู้แต่ทำเป็นไม่เห็น

“ดู ลูกสาวฉัน ทำยังกับบุญเป็นข้าวสารจะได้โกยเข้ากระสอบ” อรวรรณหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นหันไปถามตติยะซึ่งขอตามมาวัดด้วยว่า

“น้าดูดีไหมพ่อตั้ง”

“นางจักรวาลยังอายครับน้าอร” คนตอบๆ ยิ้มๆ

“แหมๆๆ พูดถูกใจน้าอย่างนี้น่าจะอยู่นานๆ นะคนแก่จะได้สดชื่นอายุเป็นหมื่นปี”

“โห...แม่ เดี๋ยวนี้รู้สึกจะชื่นมื่นยังไงพิกลนะคะ”

พู่ชมพูห่อปากทำหน้าขบขันกับคำถามของมารดากับคารมของแขกโฮมสเตย์มาดเซอร์ ส่วนพิณไพลินนั้นย่นจมูกอย่างหมั่นไส้ ตติยะยิ้มใส่ตาสาวผมยาวก่อนจะปีนขึ้นไปบนรถแล้วเลื่อนหม้อมาทางท้ายกระบะ พลันสายตาของสตรีสูงวัยก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งถือถุงข้าวของเดินตรงมา

“อ้าว ตาเดี่ยว ไปไหนมาทำไมใส่เสื้อผ้ารองเท้าเหมือนเตรียมจะไปลงนาเกี่ยวข้าวที่ไหนเลย ต๊าย น้องป้อง มากับลุงด้วยเหรอลูก ดูซิแต่งตัวหล่อนะเนี่ย”

เจ้าตัวเล็กที่ถูกชมฉีกยิ้มจนแก้มปริก่อนจะยกมือไหว้ค้อมศีรษะเล็กๆ “สวัสดีคับคุณย่า สวัสดีคับแม่พู่”

อรวรรณอมยิ้มอย่างเอ็นดู ในขณะที่พู่ชมพูนึกเขินกับคำพูดในตอนท้ายที่หลุดจากปากของเด็กชายในชุดเสื้อยืดคอปกสีเขียวกับกางเกงยีนขาสั้นกับรองเท้าผ้าใบ เธอมองไปยังผู้เป็นลุงของปกป้องที่ใส่เสื้อแขนยาวลายตารางสีฟ้ากับกางเกงยีนสีเดียวกันสวมรองเท้าผ้าใบเก่าๆ เครื่องแต่งกายโดยรวมดูมอซอเหมือนเกษตรกรธรรมดาทั่วไป มีเพียงใบหน้าเท่านั้นแหละที่กระจ่างสดใสโดยเฉพาะนัยน์ตาวับวาวที่มองตรงมายังเธอ หญิงสาวแกล้งย่นจมูกใส่เหมือนเหม็นสาบ

“ผมไปขับรถเกี่ยวข้าวมาครับน้าอร พอดีเกี่ยวไม่ไกลก็เลยไปซื้อของมาทำบุญสังฆทานด้วย เผื่อกุศลผลบุญใหญ่ครั้งนี้จะหนุนนำให้ได้ทุกสิ่งที่ตั้งใจหวัง”

ปากว่าตาจับที่สาวผมสั้นในชุดงามสมหญิง เป็นภาพแปลกตาหายากยิ่งกว่าสุริยคราสหรือจันทรุปราคาที่เกิดมาชาตินี้ไม่รู้จะได้พบเห็นเป็นบุญตาหรือเปล่า

“ดีเลย อยากได้อะไรก็ค่อยไปอธิษฐานกับพระใหญ่เอานะ แต่ตอนนี้มาช่วยกันยกหม้อของหวานไปไว้ในเต็นท์หน่อยจ้ะ เดี๋ยวน้าจะเอาอาหารไปสมทบเขาแล้วก็จะเลยเข้าไปในครัวก่อนเผื่อมีอะไรช่วยกัน พิณอย่าลืมไปช่วยเขาตำส้มตำเลี้ยงแขกนะลูก พู่อยู่ดูทางนี้ด้วยล่ะ พ่อตั้งจะเข้าไปเที่ยวชมทั่วๆ วัดก็ได้นะ น้องป้องไปกับย่าไหมลูก” อรวรรณเอ่ยร่ายยาวแล้วก้มหน้าลงถามเด็กชายที่เธอดูแลมาสองสามวันนี้ด้วยความเอ็นดูในตอนท้าย

“ไปคับ”

“งั้นมาเลยลูก”

อรวรรณพูดแล้วก็จูงมือน้อยๆ พาเดินเข้าไปในอาคารชั้นเดียวทางด้านหลังแต่พอเดินผ่านเด็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่เจ้าหนูก็กระตุกมือคนที่จับจูงอยู่อึดใจร่างเล็กจึงวิ่งปร๋อไปเข้ากลุ่มแล้วพากันวิ่งหายไปทางใต้ต้นพิกุลซึ่งเยื้องออกไปทางด้านข้างวัด

พิณไพลินตวัดสายตาค้อนให้กับคนที่มารดาแนะนำว่าให้เข้าไปชมทั่วๆ วัดอย่างลืมตัว มารดาเธอคงไม่รู้ว่านายตั้งแอบมาวัดบ้านนาดีจนจะกลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อทองดีไปแล้ว นี่ถ้าชอบเครื่องรางของขลังก็คงจะมีตะกรุดกับพระเครื่องเต็มคอไปหมดแล้ว

ขณะที่พิณไพลินมองตามปกป้องไปก็อมยิ้มในความใจง่ายและเห็นเพื่อนดีกว่าคนแก่อย่างมารดาของเธอ เด็กน้อยก็น่ารักอย่างนี้นี่เอง ตัวเล็กๆ น่าหยิก เป็นตุ๊กตามีชีวิต ระหว่างนั้นรู้สึกเหมือนมีไอร้อนอยู่ข้างกายพอหันกลับมาก็สบตาคู่คมของนายตั้งที่มองอยู่ก่อนแล้ว

“อยากมีเด็กน้อยเป็นของตัวเองบ้างเหรอครับ”

คนถูกถามเบาๆ หน้าร้อนซู่เมื่อถูกจี้จุด “ที่ฉันมองใช่ว่าจะอยากมีนะคะ เหมือนผู้ชายนั่นแหละค่ะมองผู้หญิงสวยๆ ก็ใช่ว่าอยากแต่งงานกับเขา” พูดไปแล้วพิณไพลินก็แทบกัดลิ้นตัวเอง เธอจะพูดเรื่องพวกนี้กับนายตั้งทำไมเนี่ย

“ก็จริงนะ ผู้ชายมองผู้หญิงสวยใช่ว่าจะอยากแต่งงานด้วย ส่วนคนที่แต่งงานด้วยก็ใช่ว่าจะรักอยู่ตลอดไป”

หญิงสาวหันหน้าไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่กรามเป็นนูนขึ้นมาเล็กน้อย ริมฝีปากยกขึ้นคล้ายหยันอะไรบางอย่าง พูดเหมือนคนมีปัญหาชีวิตครอบครัวเลย คิดถึงตรงนี้แล้วพิณไพลินก็รู้สึกใจหายขึ้นมาวูบหนึ่ง พร้อมกับความฉุนเฉียวที่แล่นริ้วขึ้นมา บ้าจริงเลยจะไปสนใจทำไมกัน

แล้วใจก็กวัดไปถึงดอกผักตบชวาที่เธอเอาทับในหนังสือขวัญเรือน คืนนี้เห็นทีต้องเอาออกไปโยนทิ้ง ดอกไม้อื่นเยอะแยะไม่เคยทับแล้วทำไมต้องมาทับดอกผักตบชวาด้วย

“ฉันจะไปช่วยพี่พู่ยกของก่อนค่ะ คุณจะไปไหนก็ไปเลยนะคะ”

สาวผมยาวเอ่ยปาก(ไล่) แบบไม่คิดจะสนใจเขาอีกเธอยื่นมือไปหยิบผ้าขนหนูสีฟ้าผืนเล็กเดินนำไปที่โต๊ะหน้าขาวแล้วจัดการเช็ดโต๊ะไว้รอ

ส่วนพันดุลนั้นหลังจากที่อรวรรณไปแล้วก็กระวีกระวาดเข้าไปยังท้ายกระบะรถอย่างกระตือรือร้น รีบวางถุงอาหารแห้งไว้แล้วจับหูหม้อใบใหญ่ มือที่เคยขาวเนียนบัดนี้คล้ำแดดกุมไปบนมือของพู่ชมพู

“มา พี่ช่วยยก โอ๊ย” อุทานแล้วพันดุลก็สะบัดมือเร่า “หยิกพี่ทำไม”

“ฉวยโอกาส ในวัดในวายังไม่เว้น” สุ้มเสียงดุยังไม่พอตายังดุวาววับราวกับแม่เสือเตรียมตะครุบกวางน้อยอย่างเขา

“พี่จะช่วยหิ้วหม้อ” ชายหนุ่มแก้ตัวเสียงอ่อยพลางหันไปพยักพเยิดหาพวกกับน้องสาวของเธอ “เนอะพิณ พี่อุตส่าห์จะช่วย” ตัวช่วยยิ้มขัน

“หิ้วก็หิ้วไปคนเดียวเลยเก่งนักไม่ใช่เหรอ”

“เรื่องอะไร ให้พี่หิ้วคนเดียวกระดูกทับเส้นเป็นอัมพาตทำงานไม่ได้เวลามีเมียแล้วทำการบ้านไม่ได้จะทำยังไง ยุ่งเลยนะทีนี้เรื่องใหญ่นะเนี่ย”

“พี่เดี่ยว !” สาวห้าวเรียกคนคิดการณ์ไกลด้วยสีหน้าแดงก่ำ

“จ๋า...า...า”

เสียงตติยะหัวเราะในลำคอก่อนจะเอ่ยว่า “ผมว่าคนที่ยังไม่ได้แต่งงานอย่าเพิ่งพูดเรื่องการบ้านเลย คุณเดี่ยว ช่วยผมยกหม้อหน่อยครับ”

สองหนุ่มที่รู้จักกันในวันที่ตามหาปกป้องกลางคันนาช่วยกันยกหม้อของหวานเข้าไปวางบนโต๊ะในเต็นท์ติดกับโต๊ะวางผลไม้หลากชนิดทั้งกล้วย ชมพู่ และส้ม ในขณะที่โต๊ะถัดไปเป็นโต๊ะเปล่าแต่ติดป้ายไว้ว่า ‘นายไตรภพ’

“อย่าทำหน้าเมื่อยอย่างนี้สิ เรามาทำบุญกันนะพู่ เดี๋ยวก็ได้บาปกลับบ้านหรอก”

พันดุลกระซิบข้างหูพู่ชมพูเสียงหวานเว้าวอนพลางเลื่อนเข่งใบใหญ่บรรจุถ้วยสังกะสีของวัดที่วางอยู่บนโต๊ะมาข้างๆ หม้อเตรียมตักแจกผู้มาทำบุญ งานถวายสังฆทานยังไม่เริ่มแต่ผู้คนที่มาก็เริ่มกินอาหารกันไปเรื่อยๆ

“ไม่บาปหรอกคนกตัญญูไม่คดโกงใครเสียอย่าง คนโกงคนอื่นต่างหากล่ะทำบุญแค่ไหนบาปก็ยังติดตัว” สาวห้าวแย้งเสียงเข้ม

“แต่ก็น่าแปลกนะ พวกโกงที่คนอื่นก็ยังมีความสุขอยู่ได้ แถมยังมีคนนับหน้าถือตามากขึ้นเรื่อยๆ”

เสียงเรียบๆ แทบไม่บอกความรู้สึกทำให้พู่ชมพูหันขวับไปมอง พอเห็นสีหน้าเครียดปนเศร้าสาวห้าวก็นึกได้ว่าคำพูดเธอไปกระทบแผลเขาเข้าอย่างจัง ความสงสารบวกกับความรู้สึกผิดทำให้รีบคลี่คลายความหม่นหมองให้หมดไปจากใบหน้าคมสัน

“ฮื้อ...นั่นมันแค่ภาพลวงก็เหมือนน้ำท่วมนั่นแหละตอทั้งหลายก็หายหมดมองไม่เห็น พอวันที่น้ำลดตอทั้งหลายก็ผุดให้เห็น เหมือนความชั่วของคนพวกนี้สักวันต้องมีคนเห็น สักวันก็ต้องได้รับกรรมเชื่อเถอะน่าพี่เดี่ยว”

“เป็นห่วงความรู้สึกพี่เหรอ”

ใบหน้าเนียนแดงก่ำรีบก้มลงหยิบทัพพีขึ้นมาถือไว้แล้วไม่รู้จะทำอะไรเลยเปิดฝาหม้อของหวานแล้วเอาทัพพีจุ่มลงไปและคนๆ “ใคร้ ใครห่วง ไม่เคยห่วงใครนอกจากแม่กับน้องสาว คนอื่นไม่มี๊” เธอทำเสียงสูง

“จริงรื้อ”

“จริง” สาวห้าวเอ่ยเสียงแข็งแก้เขินแล้วรีบไล่ส่ง “จะไปทำบุญไม่ใช่เหรอ รีบไปสิจะได้รีบไปทำมาหากินขับรถเกี่ยวข้าว รีบไปเลย”

“ไปทำบุญด้วยกันสิพู่” พันดุลเอ่ยเสียงออด “พี่อาย ไม่กล้าขึ้นไปบนศาลา คนเยอะแยะเลย”

“ตัวโตจนอีด่างเลียตูดไม่ถึงจะอายอะไรเล่า”

คนตัวโตจนถูกเปรียบเทียบกับอีด่างที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่ใต้ต้นมะม่วงหัวเราะพรืด “พี่อายจริงๆ นะ แล้วก็เพิ่งกลับมาวัดบ้านนาดีหลังจากไปอยู่กรุงเทพเสียนานเลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ตรงไหน น่า...ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”

เพราะท่าทางออดอ้อนเว้าวอนของหนุ่มภูธรหล่อแบบไทยแท้แถมยังป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมมีทีท่าว่าจะไปไหนหากเธอไม่ไปทำบุญด้วยกัน สุดท้ายสาวห้าวเลยจำต้องพาชายหนุ่มเดินฝ่าผู้คนมากหน้าทั้งบ้านตัวเองและหมู่บ้านอื่นเดินขึ้นบันไดศาลา พอถอดรองเท้าและเดินเข้าไปในห้องโล่งใหญ่คนสูงวัยในหมู่บ้านนาดีก็เอ่ยทักทายกันจนคนถูกถามไม่รู้จะตอบใครก่อนดี

“อ้าว พ่อเดี่ยว กลับมาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

“วันนี้ไม่ไปขับรถเกี่ยวข้าวเรอะวันนี้”

แต่คำทักทายคงไม่ทำให้เธอหน้าร้อนด้วยความขัดเขินและอับอายเท่าคำตอบของคนข้างๆ ที่ดูจงใจจะยืนติดกัน

“ได้ยินมากลับมาอยู่บ้านแล้วเพิ่งเจอวันนี้เอง ยังหล่อเหมือนเดิมนี่ มีลูกมีเมียหรือยังล่ะ ทำไมไม่พาแฟนมาให้ป้าดูบ้าง” คนถามคือป้าสายร่างอ้วนผมหงอกขาวโพลนที่กำลังนั่งตำหมากป๊อกข้างยายเพียรตัวผอมแห้ง

“เมียยังไม่มีเลยจ้ะป้าแต่แฟนพามาให้ดูแล้วก็คนเก่าคนเดิมนี่แหละจ้ะ โอ๊ยๆ อู๊ยๆ ซี๊ด..ด...ด พู่...พี่เจ็บนะจ๊ะ”

“อ้าว เหรอ นังหนูพู่นี่เองเหรอ เออๆๆ ดีๆ มีแฟนคนบ้านเดียวกัน รีบๆ แต่งกันเข้านะ”

“ไม่ใช่นะป้า” พู่ชมพูปล่อยมือที่หยิกต้นแขนกำยำหันมาแก้ตัว

“ดูซิขนาบกันตั้งแต่ยังไม่แต่ง ถ้าแต่งไปคงจะกลัวเมียมากเลยนะเนี่ย”

พันดุลไม่รอช้ารีบเออออห่อหมกทันที “จ้า กลัวจ้ะ คงจะกลัวมากเลยแหละจ้ะป้าเพียร ขนาดยังไม่แต่งยังหยิกเก่งขนาดนี้”

“ป้าว่าคงไม่แค่หยิกหรอก ชกก็คงจะเก่ง ดูซิกำกำปั้นไว้รอเลยนะนั่น”

ว่าแล้วคนแก่ที่นั่งรวมกลุ่มกันเคี้ยวหมากรอเวลาถวายอาหารเพล ฟังธรรมและรับศีลรับพรก็หัวเราะกันเอิ๊กอ๊ากแข่งกับเสียงเพลงลูกทุ่ง พลอยทำให้คนวัยประมาณสามสิบปลายถึงสี่สิบกว่าซึ่งกำลังทยอยกันเดินถือปิ่นโตมาหยุดมอง ตามด้วยเสียงถามกันเซ็งแซ่ด้วยประเด็นที่ถูกจุดขึ้นมา

แต่ใครกันล่ะที่สานต่อให้คนเข้าใจผิด พี่เดี่ยว...ว...ว !! เย็นไว้กำปั้น เย็นไว้เล็บ เย็นไว้ฝ่ามือ ได้โอกาสเหมาะเมื่อไหร่จะถวายให้เต็มพระวรกายแข็งแรงเลย ฮึ่ม !

                        ****************

จากคุณ : สายธาร/กนกนารี
เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 23:28:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com