Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 5 : นัตสึกิ) ติดต่อทีมงาน

ตอนก่อนหน้า (บทที่ 4) : ลูกสาว



ในปี ค.ศ. 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นซึ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามอย่างราบคาบ ต้องพยายามกอบกู้ชาติและฟื้นฟูประเทศของตนขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยความขยันหมั่นเพียรและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ประเทศที่ได้ชื่อว่าพังพินาศลงไปในพริบตา ก็กลับพลิกฟื้นขึ้นมา ทั้งยังก้าวกระโดดไปเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น


อุตสาหกรรมสำคัญที่ช่วยชุบชีวิตและนำทางให้ญี่ปุ่นเจริญรุดหน้าได้แก่ อุตสาหกรรมเหล็ก สิ่งทอ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บวกกับการบริหารทางเศรษฐกิจและการเงินที่เข้มแข็งธนาคารแต่ละแห่งและอุตสาหกรรมหลายชนิดถูกผนวกเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเพิ่มรากฐานที่แข็งแรงจากนั้น เมื่อมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจพอสมควรแล้ว อุตสาหกรรมในหลายภาคส่วนก็เริ่มทำการขยายกิจการด้วยการเข้าไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา อันได้แก่ ประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์และมีค่าแรงต่ำกว่าค่าใช้จ่ายจากการผลิตภายในประเทศอยู่หลายเท่า


อิจิยานางิ  เกนโซ เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ ต้นตระกูลอิจิยานางิเป็นตระกูลขุนนางเก่า มีต้นทุนเดิมคือความเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมหาศาล จึงเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กและสิ่งทอร่วมกับอีกสองตระกูลใหญ่ อันได้แก่ ตระกูลฮงอิเด็น และตระกูลมิมูระ ซึ่งเป็นตระกูลประกอบการค้าเหล็กและสิ่งทอมายาวนาน ทั้งสามตระกูลมีความผูกสัมพันธ์ลึกซึ้งและเกี่ยวดองกันมานับแต่เริ่มกิจการ


จากรุ่นสู่รุ่น เกนโซเป็นรุ่นที่ 4 ของตระกูลอิจิยานางิ ซึ่งไม่ได้รับแรงกดดันมากเท่า อิจิยานางิ มาซารุ ซึ่งเป็นพี่ชายคนโต และต้องสืบทอดกิจการอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ขนาดใหญ่ในฟุกุโอกะ มาซารุดูแลกิจการได้เป็นอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง และยังได้เชื่อมความสัมพันธ์อันดีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จนภายหลังได้แต่งงานกับหญิงสาวซึ่งมีเชื้อสายของตระกูลฮงอิเด็น ซึ่งเป็นถึงผู้จัดการระดับภูมิภาคของธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศญี่ปุ่น ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมกิจการของครอบครัวให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีก


สิ่งเดียวที่ อิจิยานางิ เกนโซ ผู้เป็นทายาทคนรองถูกมอบหมายให้ต้องรับผิดชอบ คือการแต่งงานกับลูกสาวคนใดคนหนึ่งในตระกูลมิมูระ เพื่อควบรวมกิจการสิ่งทอ โดยหญิงสาวที่มีรุ่นราวคราวเดียวกับเขาได้แก่ มิมูระ นัตสึกิ ซึ่งแม้จะมีศักดิ์เป็นลูกสาวคนโตของ มิมูระ ทากาชิ แต่ก็เป็นลูกสาวคนโตที่กำพร้าแม่ ทั้งยังมีโรคประจำตัวประหลาดจนไม่สามารถไปโรงเรียนได้ ทำให้ต้องเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านและจำกัดการเดินทางออกไปไหนได้ไม่ไกลนัก ตรงกันข้ามกับ มิมูระ อายูมิ ซึ่งเป็นลูกสาวของภรรยารอง แต่เต็มไปด้วยความช่างอ้อนน่ารัก และโดดเด่นเฉิดฉายในหมู่เพื่อนนักเรียนหญิง และยิ่งมีผู้ติดตามมากมายเมื่อย้ายไปเรียนโรงเรียนสหศึกษาในชั้นมัธยมปลาย ความโดดเด่นนั้นทำให้เป็นที่หมายปองของนักเรียนชายอีกหลายคน


ยกเว้นแต่เกนโซ ที่มักจะปลีกตัวไปอยู่ในห้องสมุดหรือบางครั้ง เขาขึ้นไปนั่งเล่นอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียนที่ปราศจากผู้คน สุดปลายสายตาเป็นหาดทรายอยู่ไกลลิบ เกนโซมีสมุดวาดเขียน เขาวาดสิ่งที่เขาเห็นไว้ในสมุดภาพ ส่วนหนังสือที่เขาเปิดในห้องสมุด คือแผนที่โลกที่บอกได้ว่าห้วงมหาสมุทรแผ่ปกคลุมไปที่ใดและพาให้เดินทางไปยังจุดไหนได้บ้าง


มิมูระ อายูมิ มีตัวเลือกเป็นเพื่อนชายหลากหลายและไม่ซ้ำหน้า เด็กสาวคิดแต่เพียงว่าเธอเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยอยู่แล้ว หากจะมีคู่ครองก็ควรเป็นชายที่เกิดในชาติตระกูลที่ใกล้เคียงและเอาอกเอาใจเธอให้มีความสุขได้ไม่รู้จบ...


ดังนั้นแม้อยู่โรงเรียนเดียวกันเมื่อเดินสวนกับอิจิยานางิ เกนโซ นักเรียนรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะคุ้นหน้า ต่างฝ่ายจึงเพียงแต่เห็นกันแค่ปลายสายตาที่ต่างกำลังจ้องมองหรือคิดใคร่ครวญเรื่องอื่น


ซึ่งล้วนไม่ใช่เรื่องงานหมั้นของสองตระกูลที่ผู้ใหญ่วางแผนไว้นานแล้ว...


* •..,..,..• * * •..,..,..• * *•..,..,..• ** •..,..,..• *


มิมูระ นัตสึกิ ตักน้ำซุปในชามแล้วซดเป็นคำสุดท้ายก่อนจะเอ่ยขอบคุณพ่อครัวดังๆ

“อร่อยจังเลยค่ะคุณลุง”

“โอ...คุณหนูทานหมดชามเลยหรือครับ มาครับๆ เดี๋ยวขอผมเก็บจานชามก่อน รับอะไรอีกไหมครับ”

“เอ... ไม่ล่ะค่ะ หนูอิ่มแล้ว ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูเก็บโต๊ะเองนะคะ”

ยิ่งเห็นพ่อครัวกุลีกุจอเดินออกมา นัตสึกิก็รีบรวบช้อนและเก็บชามนำไปส่งให้ที่หลังร้านด้วยท่าทีที่แคล่วคล่อง พ่อครัวยะมะดะรีบโค้งขอบคุณ นัตสึกิโค้งคำนับกลับและเดินออกมาจากหลังร้านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ทันใดนั้น เสียงกรุ๋งกริ๋งจากหน้าร้านเป็นสัญญาณว่ามีลูกค้าเข้ามาใหม่ก็ดังขึ้น


ก่อนหน้านั้น อิจิยานางิ เกนโซ ในวัย 18 ปี บอกคนขับรถให้จอดที่ร้านอุด้งระหว่างทาง แทนที่จะตรงไปยังคฤหาสน์อันเป็นที่นัดหมาย

“ผมอยากกินอะไรรองท้องก่อนน่ะครับ กลัวไปถึงงานแล้วทำตัวไม่ถูก กินอะไรไม่ลง”

เขาให้เหตุผลกับคนรถง่ายๆ เมื่อเดินเข้าไปในร้าน ก็พบว่าเป็นร้านอุด้งเล็กๆ ที่ดูสะอาดตา และแทบจะไม่มีลูกค้าทั้งที่มีเด็กเสิร์ฟหน้าตาน่ารักยืนยิ้มเตร็ดเตร่ไปมาอยู่คนหนึ่ง

“ขออุด้งชามนึงครับ”

“คะ”

“ครับ อุด้งน้ำใส ตามป้ายหน้าร้านไงครับ”

“เออ... ค่ะ”

เด็กสาวตรงหน้าทำหน้ามึนงงและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างด้วยสายตาแพรวพราว หันกลับไปที่หลังร้าน

“คุณลุงยะมะดะค้าขออุด้งน้ำใสอีกชามนึงค่า”

“ครับคุณหนู ได้เลยครับๆ”

เกนโซรู้สึกแปลกใจกับสรรพนามที่ได้ยิน เด็กสาวยังคงยิ้มสดใสก่อนจะพยักหน้าให้แล้วปลีกตัวไปนั่งที่โต๊ะมุมในสุดเกือบหลังร้าน โต๊ะนั้นมีร่องรอยการใช้งานอยู่เล็กน้อย ทั้งยังมีสมุดบันทึกและอัลบั้มรูปต่างๆ วางอยู่หลายเล่ม เด็กสาวคนนั้นพลิกดูสมุดควบคู่กับอัลบั้มรูปแล้วพยักหน้าพึมพำอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว

“มาแล้วครับคุณหนู”

พ่อครัวนำอุด้งชามใหญ่มาเสิร์ฟเองจากหลังร้าน นัตสึกิส่ายหน้าแล้วชี้โบ้ยไปที่โต๊ะของเกนโซ

“เปล่าค่ะ ของโต๊ะนั้น หนูรับออเดอร์ให้คุณลุงไงคะ”

“โอ ครับๆ ขอบคุณครับ”

เกนโซกระพริบตาปริบๆ ตกลงเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟของร้าน เขาโค้งศีรษะตอบรับพ่อครัวที่นำชามอุด้งมาส่งและหันไปขอโทษเด็กสาว แต่ก็พบว่าเธอกำลังใช้สมาธิกับสมุดบันทึกตรงหน้าอย่างขะมักเขม้น

“พอจะจำได้มากขึ้นแล้วนะครับ”

“ฮืมม์.... ค่ะ จำได้ตั้งเยอะแล้วล่ะ”

บทสนทนาของพ่อครัวและเด็กสาวก็ดูแปลกๆ เกนโซคีบเส้นอุด้งใส่ปากแต่สายตาก็ยังมองที่เด็กสาวไม่วางตา ฝ่ายลุงยะมะดะพ่อครัวประสาทไว ก็หันขวับมาจ้องหน้าเขา

“เอ... คุณหนูคนนี้ คุณหนูรองของตระกูลอิจิยานางิหรือเปล่าครับ”

เกนโซถือตะเกียบค้างขณะที่นัตสึกิอุทานเบาๆ

“เฮ้... หนูอ่านถึงตรงนี้พอดีเลยค่ะ อิจิยานางิ เกนโซ คนที่พอถึงวันนึง จะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับมิมูระคนใดคนหนึ่ง อาจจะเป็นนัตสึกิ หรืออายูมิก็ได้ อา...”

เกนโซไม่เข้าใจที่คุณลุงและเด็กสาวคนนี้พูดเขาก้มหน้างุดและโกยอุด้งเข้าปาก

“เราชอบอุด้งเหมือนกันเลย ถ้าอย่างนั้นคุณก็มาแต่งงานกับนัตสึกิเถอะนะคะ”


เกนโซสำลักเส้นอุด้งพรวดออกทางปากและจมูก ทั้งมือก็ยังปัดไปโดนเครื่องเทศหกเลอะเทอะ ลุงยะมะดะต้องเข้ามาช่วยเก็บกวาดและพาเขาไปล้างมือล้างหน้าในห้องน้ำ


ระหว่างนั้น นัตสึกิอมยิ้มขำแต่ก็มองตามด้วยความเห็นอกเห็นใจ น่าแปลกที่เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่ตาต่อตาที่ประสานกันกลับบอกเล่าความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ชัดเจนอย่างประหลาด...


* •..,..,..• * * •..,..,..• * *•..,..,..• ** •..,..,..• *


“ไคริเซอิ ตนโส...”

ยะมะดะพึมพำเบาๆ ตรงอ่างล้างมือที่เด็กหนุ่มยืนล้างมืออยู่ที่หลังร้าน

“ครับ?”

เกนโซขมวดคิ้วทวนคำ

“ขออภัยครับ ผมเรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษไม่ถูกเหมือนกัน แต่มันเป็นโรคประหลาดที่คุณหนูนัตสึกิเป็นตั้งแต่ตอนขึ้นชั้นประถมครับ คุณหมอเรียกเจ้าโรคนี้ว่า ไคริเซอิ ตนโสะ”

“ไคริเซอิ ตนโสะ...”

เกนโซทวนคำ เขาผละจากอ่างน้ำ ลากเก้าอี้มานั่งในครัวและสนทนากับลุงยะมะดะอย่างจริงจัง

“มันคืออะไรหรือครับ”

“คืออย่างนี้ครับ...”

ยะมะดะพยายามให้คำอธิบาย

“เรื่องมันเริ่มจาก อยู่มาวันนึง แทนที่จะขึ้นรถไปโรงเรียน คุณหนูก็ถือกระเป๋าเดินเตร่ไปตามท้องถนนเรื่อยๆ โดยที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน แต่พอดีหิวก็แวะไปกินอุด้งที่ร้านข้างทางร้านนึงเข้า เจ้าของร้านจำคุณหนูนัตสึกิได้ แต่เจ้าตัวจำตัวเองไม่ได้”


“อย่างนั้นหรือครับ...”


เกนโซได้แต่ทวนคำถาม สมองได้รับข้อมูลใหม่ เพิ่มเติมจากที่เคยได้ยินแค่ ...นัตสึกิป่วยเป็นโรคประหลาดทำให้ไปโรงเรียนตามปรกติไม่ได้... เหตุผลก็คงเป็นเพราะ ถ้าหายตัวไปจากโรงเรียนก็คงจะตามหาตัวยากกว่าสินะ


“หลังจากตามตัวกลับมาได้ คุณผู้ชายก็พาคุณหนูไปรักษา จิตแพทย์บอกว่า เป็นโรคทางสมองอย่างหนึ่งครับ คุณหมอบอกว่าคนที่ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่ มักจะเคยได้รับความกระทบกระเทือนใจบางอย่างมากๆ เลยเกิดกลไกป้องกันจิตใจขึ้นมาครับ”

“แล้วนัตสึกิเจ็บปวดจากอะไรล่ะครับ”

“เอ่อ... อันนี้เป็นความลับของตระกูลมิมูระครับ กระผมเปิดเผยไปก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ”

“ครับ”

เกนโซพยักหน้าเขารู้สึกผิดหวัง แต่ก็เข้าใจดีว่า หากตนเองเป็นยะมะดะ ก็คงต้องตอบเช่นนี้


“เออะ แต่คุณเกนโซอย่าเข้าใจผิดนะครับ คุณนัตสึกิไม่ได้ถูกทำทารุณกรรมทางร่างกายแบบในหนังนะครับ ผมรับรองได้ โอย ผมจะเล่ายังไงดี”


“เปล่าครับ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย คุณลุงกรุณาเล่าเฉพาะส่วนที่พอจะเล่าได้ให้ผมฟังเถอะนะครับ”

เกนโซขอร้องอย่างสุภาพ


“แหะๆ ครับคือโรคนี้ยังไม่มียารักษา คุณหนูก็เลยอาจจะมีอาการได้อีกเรื่อยๆ ครับ คุณผู้ชายก็เลยให้คุณหนูงดไปโรงเรียน มีครูมาสอนหนังสือให้ที่คฤหาสน์ ทางออกจากคฤหาสน์ก็ทำเป็นทางบังคับให้ออกมาที่ถนนเส้นนี้ ให้ผ่านร้านอุด้งร้านนี้และให้ผมมาคอยเฝ้าอยู่ที่นี่”


“อย่างนั้นหรือครับ...”

เกนโซเข้าใจมากขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงตอบรับไม่กล้าถามอะไรเพิ่ม


“พอคุณหนูเดินผ่านร้านอุด้ง เธอก็จะแวะเข้ามาสั่งอุด้งน้ำใส 1 ชาม และผมก็จะค่อยๆ ชวนเธอคุยและให้เธออ่านบันทึกที่จดรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับตัวเธอไว้ สักพักเธอก็จะนึกขึ้นได้ แล้วกลับไปที่คฤหาสน์ตามเดิม ปีนึงมีเหตุการณ์อย่างนี้ไม่กี่ครั้งหรอกครับ คุณหนูเกนโซมาเจอแจ็กพอตพอดี”


“แปลว่าคุณลุง ก็ไม่ใช่พ่อครัวทำอุด้งจริงๆสินะครับ”

เกนโซเลือกตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญนัก


“ก็ไม่เชิงหรอกครับ ผมกำลังจะปลดเกษียณจากหน้าที่คนขับรถของตระกูลมิมูระอยู่พอดี เลยไปเรียนทำอุด้งมานิดหน่อย ถึงคุณหนูนัตสึกิไม่แวะมาตอนนี้ก็พอจะมีลูกค้าคนอื่นเข้าร้านแล้วล่ะครับ”

“นั่นซีครับ อย่างผมนี่ไง ฝีมือคุณลุงอร่อยใช้ได้เลยนะครับ”

เกนโซชมจากใจจริง ยะมะดะยิ้มเขินๆ

“ส่วนเรื่องคุณหนูนัตสึกิ คุณหนูเกนโซอย่าถือสาหาความเธอเลยนะครับ เวลาอยู่ในคฤหาสน์เธอก็ไม่ได้ร่าเริงขนาดนี้ บางที ผมก็รู้สึกว่าเธออาจจะแกล้งทำเป็นลืมๆ แล้วออกมาเที่ยวเล่น”


“ครับ”

เกนโซตอบรับแล้วยิ้มน้อยๆ


“โอ... อย่าบอกนะครับ ว่าคุณหนูเกนโซตกหลุมรักคุณหนูนัตสึกิเข้าให้แล้ว ฮ่าๆๆๆ”


เสียงหัวเราะของลุงยะมะดะดังลั่นหลังร้าน จนนัตสึกิต้องหันหลังเอี้ยวตัวไปดู คนขับรถของเกนโซเองก็เดินตามเข้ามาในร้าน และเตือนว่าใกล้ถึงเวลานัดหมายที่จะต้องไปร่วมงานวันเกิดของอายูมิที่คฤหาสน์ของตระกูลมิมูระแล้ว


ก่อนออกจากร้าน เกนโซหันไปมองนัตสึกิที่โบกมืออำลาก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดบันทึกต่อราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น อิจิยานางิ เกนโซ เดินออกจากร้านไปสามก้าวแล้วบอกกับคนขับรถอย่างเด็กหนุ่มที่พยายามจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว


“ฝากขอโทษคุณพ่อด้วยครับ ว่าผมไม่สะดวกไปงานเลี้ยงจริงๆ แต่ผมไม่ได้หนีไปเที่ยวเตร่ที่ไหน สิ่งที่ผมจะทำตอนนี้คือการช่วยดูแลลูกสาวคนโตของคุณอาทากากิอยู่ที่ร้านนี้นะครับ”

คนขับรถที่เปิดประตูรถไว้รอถึงกับอ้ำอึ้ง


“กรุณาด้วยนะครับ”


เกนโซโค้งให้ชายคนขับรถอย่างไม่ถือตัวและไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูรถ เด็กหนุ่มจึงค่อยยืดตัวตรง ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มและแววตาชื่นชมจากสารถีคู่ใจ


“เดี๋ยวผมจะรายงานให้นะครับคุณหนู”


คนขับรถโค้งให้ด้วยท่าทีขึงขัง จากนั้นจึงหันกลับไปนั่งในที่นั่งคนขับและขับรถที่ไร้ผู้โดยสารตรงไปยังคฤหาสน์อันเป็นที่หมาย ส่วนเกนโซหันหลังกลับไปเปิดประตูร้านขายอุด้งใหม่อีกครั้งหนึ่ง


เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังกรุ๋งกริ๋งแว่วหวาน เกนโซเดินไปขออนุญาตนั่งที่โต๊ะของนัตสึกิอย่างมีมารยาท บทสนทนาเริ่มต้นอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ต่อเนื่องยาวนานจนกระทั่งงานเลี้ยงเลิก...


* •..,..,..• * * •..,..,..• * *•..,..,..• ** •..,..,..• *




解 離 性 遁 走 (Kairi-sei tonsō) หรือโรคที่มีชื่อสามัญว่า Dissociative fugue เป็นโรคที่เกี่ยวกับการหลีกหนีเหตุการณ์เจ็บปวดในอดีต จิตใจของผู้ป่วยทำการสร้างกลไกขึ้นมาป้องกันระหว่างที่มีอาการ ผู้ป่วยจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง นิสัยอาจเปลี่ยน จำเหตุการณ์ในอดีตไม่ไดั เดินทางหาตัวตนไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จุดหมาย แต่ยังสามารถเรียกความจำกลับคืนมาได้เมื่อถูกกระตุ้น

จากคุณ : รุริกะ
เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 11:28:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com