Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แก้วนพเก้า บทที่ 90 หิมพานต์นฤมิต (๒) ติดต่อทีมงาน

แก้วนพเก้า ที่เคยลงไว้ นานแล้ว ตอนที่ 1-9
http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/01/W10094105/W10094105.html

http://topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2011/08/W10889731/W10889731.html

หรือจะติดตามอ่าน จากเว็บนี้ก็ได้ค่ะ ค่อนข้างสะดวกกว่า เพราะเรียงเป็นตอนๆ ไว้
http://www.hongsamut.com/readniyai.php?niyaiid=364

แก้วนพเก้า บทที่ 88 หิมพานต์พนาลัย
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12090067/W12090067.html

แก้วนพเก้า บทที่ 89 กุญแจแห่งหิมพานต์
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12107202/W12107202.html

แก้วนพเก้า บทที่ 90 หิมพานต์นฤมิต (๑)
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12195909/W12195909.html
*****************************************

แก้วนพเก้า บทที่ 91 หิมพานต์นฤมิต (๒)

จอมนารีวิ่งซอกซอนไปตามไพรพนาพลางเหลียวหาธีรวงศ์แต่ก็ไร้วี่แวว สรรพสัตว์ต่างแตกตื่นหนีหายเพราะการต่อสู้ของไกรสรราชสีห์และวิทยาธรส่งผลให้อาณาบริเวณนั้นสะเทือนเลือนลั่น

พลันวิทยาธรตนนั้นก็ดิ่งลงมาขวางหน้าจนหญิงสาวแทบจะหยุดฝีเท้าไม่ทัน ร่างระหงถอยห่างเตรียมรับมืออย่างห้าวหาญพร้อมตวาดลั่น

“หลีกไป!!”

“เจ้าจะหนีข้าไปทำไม งดงามออกขนาดนี้ยังไงก็ไม่พ้นสายตาพวกอมนุษย์ตนอื่น สู้ไปกับข้าเสียดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนใจภายหลัง เผลอๆ ถ้าตกเป็นของพวกเดรัจฉานอย่างไกรสรราชสีห์นั่น เจ้าคงต้องช้ำใจตายไปตลอดชีวิต”

จอมนารีมองวิทยาธรตรงหน้าที่เอ่ยวาจากักขฬะด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ไม่ปิดบัง นึกอยากจะสั่งสอนให้สาสมกับกริยาวาจาที่บังอาจจาบจ้วงดูหมิ่นศักดิ์ศรีของนาง

“คงไม่มีอะไรช้ำใจเท่ากับการที่ต้องมาพบเจอวิทยาธรต่ำช้าเช่นเจ้าหรอก คิดว่าเราดูไม่ออกหรือไงว่าไกรสรราชสีห์ตนนั้นไม่ได้เป็นเพียงเดรัจฉานธรรมดา แต่มีชาติกำเนิดที่ประเสริฐนัก และจิตใจก็ประเสริฐกว่าเจ้าด้วยซ้ำ!”

จอมนารีโต้ตอบกลับอย่างไม่หวั่นถึงแม้จะตกเป็นรองเพราะไม่มีอาวุธใดๆ เลย สายน้ำก็อยู่ไกลเกินกว่าจะดึงมาหลอมเป็นแท่งน้ำแข็งได้

“ทระนงตัวนักนะ นางมนุษย์…ยังไงเจ้าก็ไม่มีทางหนีข้าพ้นหรอก!”

อันตรัยระเดือดดาลเมื่อเห็นว่ามนุษย์สาวโสภานางนี้ฤทธิ์มากและดื้อดึงกว่าที่คาดไว้ ก็หมายจะใช้กำลังบังคับข่มขู่ ทว่ายังไม่ทันที่มือหยาบกร้านนั้นจะเอื้อมคว้าแตะต้องร่างบาง กระแสวาโยจากที่ใดที่หนึ่งก็โหมซัดร่างอันตรัยระกระเด็นออกไปไกล

“จอมนารี!”

หัตถ์แกร่งดึงร่างระหงเข้ามาใกล้อย่างห่วงใย พลางสำรวจให้แน่ใจว่าหญิงสาวไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

“จอมนารี เกิดอะไรขึ้น...เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะถูกธีรวงศ์ดึงให้ไปหลบอยู่หลังร่างสูง เมื่ออันตรัยระลุกขึ้นมาอย่างเดือดดาลเพราะถูกขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่า และยิ่งเมื่อเห็นว่านางมนุษย์ที่ตนหมายปองยอมให้ชายอื่นแตะต้องได้โดยไม่แสดงท่าทีรังเกียจเหมือนที่ทำกับตนก็ยิ่งคับแค้นราวกับถูกหยามน้ำหน้า

“เจ้าเป็นใคร!!”

“เราจะเป็นใครก็ช่าง แต่เจ้าไม่ควรจะมายุ่งกับนาง!”

คำพูดของธีรวงศ์สร้างความอบอุ่นในหทัยอย่างประหลาด ทั้งที่ไม่ได้กลัวเกรงวิทยาธรกักขฬะนั่น แต่เมื่อมีคนๆ นี้อยู่ใกล้ๆ นางกลับรู้สึกโหยหาอยากถูกปกป้อง

“ยอมแพ้เสียเถอะ อันตรัยระ...เจ้าไม่คู่ควรกับนางหรอก”

ไกรสรราชสีห์ที่ตามมาเห็นว่านางมนุษย์โฉมงามมีผู้คุ้มครองแล้วก็ค่อยคลายกังวล อีกทั้งมนุษย์หนุ่มผู้นี้ก็รูปงามเทียบเทวาชั้นฟ้า ดวงตาสีอำพันจ้องมองธีรวงศ์ราวกับกำลังเพ่งพิศอะไรบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนว่าอันตรัยระเองก็คงจะสังเกตเห็นเช่นกัน ท่าทีอุกอาจเมื่อครู่จึงลดลงคล้ายกริ่งเกรงอำนาจบางประการที่ไม่อาจบอกได้

“นางเป็นของเจ้า?”

“ใช่! นางผู้นี้มีเจ้าของแล้ว พวกเจ้าก็เลิกเยื้อแย่งกันเสียที” เสียงที่สี่ซึ่งแทรกเข้ามาทำให้จอมนารีเพิ่งเห็นว่ามีสัตว์หิมพานต์ตนหนึ่งตามธีรวงศ์มาด้วย รูปผสมด้วยเผ่าพันธุ์ที่แปลกประหลาดคล้ายนาคากึ่งสกุณา

ธีรวงศ์หันไปมองนาคปักษิณวิรุฬห์ที่ดูเหมือนว่าจะเอ่ยเกินความจริงไปอยู่สักหน่อยอย่างเก้อเขิน ในขณะที่ร่างบางหทัยระรัวเพราะความอางขนางที่นาคปักษิณประกาศออกไปเช่นนั้น

“รัตนทัตต์ ข้าไม่คิดเลยนะว่าท่านจะมัวเมาตัณหาเช่นเดียวกับอันตรัยระ!”

ไกรสรราชสีห์สะบัดขนหางประดุจเพลิงพวยนั้นอย่างไม่พอใจกับคำกล่าวหาจากนาคปักษิณ แก้วตาสีอำพันชำเลืองไปทางวิทยาธรอันตรัยระขณะแก้ต่างให้ตัวเอง

“เจ้าคิดว่าข้าจะลดเกียรติลงมาทำอะไรสามานย์เช่นนี้หรือ วิรุฬห์”

ก่อนที่จะเกิดสงครามพิฆาตทางสายตาขึ้น ธีรวงศ์รีบตัดบทให้จบเรื่องเพื่อจะได้ไม่ต้องมีปัญหาบานปลาย เนตรคมจับจ้องวิทยาธรที่กำลังลำบากใจเพราะตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม

“เจ้าไปเสียเถอะ แล้วอย่ามายุ่งกับนางอีก!”

ทั้งท่วงท่าสง่างามและกระแสเสียงหนักแน่น อีกทั้งรังสีอำนาจที่แผ่ออกมานั้นทำให้หวั่นเกรง บำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าหิมพานต์มานานพบเห็นเทวดามาก็มาก อันตรัยระรู้ตัวดีว่าการสำเร็จปรอทเพียงไม่กี่ขั้นนั้นยังไม่สามารถต่อกรกับผู้มีทิพยะเหนือกว่าได้ แม้แต่ไกรสรราชสีห์ที่เป็นกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉานยังยากจะเอาชนะ

หากมนุษย์ผู้นี้ทรงรัศมีเทียบเทียมเทวา!

เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ซ้ำยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อันตรัยระได้แต่จ้องมองธีรวงศ์และไกรสรราชสีห์อย่างเคียดแค้น เหลียวมาทางจอมนารีด้วยความเสียดาย ก่อนจะเหาะเหินขึ้นไปด้วยอานุภาพของปรอทหายลับไปในหมู่เมฆสีเลื่อมรุ้งพรรณราย

จอมนารีถอนใจโล่ง มือเรียวบางที่ยึดท่อนแขนแกร่งของชายหนุ่มไว้แน่นคลายออก แต่ธีรวงศ์กลับรู้สึกอยากให้สัมผัสนั้นคงอยู่ต่อไป ถ้าเมื่อครู่เขากลับมาไม่ทันนางจะเป็นอย่างไร

ชายหนุ่มกำลังจะคว้ามือเรียวบางนั้นไว้เพื่อปลอบโยน ทว่ากลับถูกใครบางคนช่วงชิงไปต่อหน้าต่อตา พร้อมทั้งถ้อยคำที่เขาควรจะเป็นฝ่ายเอ่ยกับนางเสียด้วย

“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ จอมนารี” ศตายุเข้ามาสมทบหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายจบลง มือแกร่งทั้งสองข้างประคองอังสะบางไว้ ก่อนที่สายตาคมจะชำเลืองมาทางเขาพร้อมข้อกล่าวหาที่ชวนให้คนฟังขุ่นเคือง

“ว่าแล้วว่าเจ้าต้องปกป้องนางไม่ได้!”

“ว่าแต่เรา แล้วเจ้าล่ะหายไปไหนมา!”

“เจ้าไม่ใช่หรือที่อยู่กับจอมนารีครั้งสุดท้าย ทำไมถึงได้ปล่อยให้วิทยาธรตนนั้นมันมาระรานนางได้ล่ะ” ศตายุย้อนกลับจนธีรวงศ์โต้แย้งไม่ออก

“พอที พวกเจ้าไม่ผิดหรอก เราผิดเองที่ไม่ระวังตัว” คนกลางตัดบทอย่างระอามองทั้งสองด้วยสายตาขุ่นขวาง

“อ้าว! พวกเจ้าก็กำลังแย่งชิงนางกันอยู่เหมือนกันหรือ” รัตนทัตต์โพล่งถามขึ้นมาด้วยความขบขันเมื่อมองกริยาของมนุษย์ทั้งสาม

“ไม่ใช่!!”

สองหนุ่มพลั้งปากปฏิเสธออกไปพร้อมกันแล้วก็ต้องหันมามองหน้ากันเองอย่างไม่พอใจ...ทีอย่างนี้ล่ะพร้อมใจกันตอบ!

“เราขอบใจท่านมากนะ ไกรสรราชสีห์...ถ้าไม่ได้ท่านเราคงลำบากแน่” จอมนารีหันมาเอ่ยกับกึ่งเทพกึ่งเดรัจฉานที่ยืนผงาดอยู่ตรงหน้า

พลันร่างใหญ่โตน่าเกรงขามของไกรสรราชสีห์ก็กลับกลายเป็นบุรุษเพศที่องอาจสง่างาม เกศาสีเพลิงรับกับรูปหน้าคมเข้มที่ไม่ทิ้งความสง่างามสมชาติสีหราชเยื้องย่างตรงมาหาทั้งสาม กระแสเสียงกึกก้องทรงอำนาจแม้จะเอ่ยอย่างมีไมตรีก็ตาม

“เรียกข้าว่ารัตนทัตต์ก็ได้”

“ท่านแปลงเป็นมนุษย์ได้ด้วยหรือ!” จอมนารีก้าวถอยออกมาอย่างตระหนก

“ข้าไม่ได้จำแลงแปลงกายอะไรหรอก ไม่ว่าร่างมนุษย์หรือร่างราชสีห์ก็ล้วนเป็นร่างที่แท้จริงของข้าทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเวลาไหนข้าอยากจะเป็นอะไร”

“กึ่งเทพกึ่งเดรัจฉานในหิมพานต์ล้วนเป็นอย่างรัตนทัตต์ทั้งนั้นแหละ” นาคปักษิณวิรุฬห์ขยายความให้เข้าใจง่ายๆ ธีรวงศ์หันไปมองวิรุฬห์

“แล้วเจ้าล่ะ วิรุฬห์ มีร่างมนุษย์อย่างรัตนทัตต์รึเปล่า”

“ข้าไม่ได้มีกำเนิดเป็นโอปาติกะเช่นรัตนทัตต์ ทำเช่นนี้ไม่ได้หรอก นอกเสียจากจะบำเพ็ญเพียรได้มากพอ”

ร่างมนุษย์ของรัตนทัตต์เยื้องย่างมาหยุดอยู่ตรงหน้าธีรวงศ์ ดวงแก้วสีอำพันภายใต้กรอบตาเรียวเข้ม คิ้วและปลายขนงที่เชิดขึ้นพินิจพิจารณาชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วนจนผู้ถูกจับจ้องแปลกใจ

“ท่านเป็นใครกันแน่”

“หมายความว่ายังไง” ธีรวงศ์ถามกลับอย่างไม่เข้าใจ หากรัตนทัตต์ก็เหมือนจะยังไม่แน่ใจในคำถามของตนเองเช่นกัน มนุษย์ผู้นี้มีอะไรแตกต่างจากบุรุษและสตรีอีกสองคนที่ร่วมทางมาด้วย มันเป็นกระแสพลังบางอย่างที่ทิพยะครึ่งหนึ่งในกายของตนสัมผัสได้

“ท่านมีพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่”

“ก็แน่ล่ะสิ ท่านธีรวงศ์เป็นศิษย์พระฤๅษีที่เคยช่วยชีวิตข้าไว้ เมื่อครั้งที่ข้ายังเยาว์วัยพลัดหลงออกไปยังโลกมนุษย์ ย่อมต้องมีอิทธิฤทธิ์เป็นธรรมดา ไม่อย่างนั้นจะเข้ามาในหิมพานต์ได้ยังไงล่ะ” นาคปักษิณกล่าวอย่างปลาบปลื้มในความสามารถของผู้มีพระคุณของตน

“ก็แน่ล่ะถ้าไม่มีฤทธิ์จะผ่านเข้ามาลึกขนาดนี้ได้ยังไง ท่านธีรวงศ์ของเจ้ามีอะไรบางอย่างมากกว่าพวกคนธรรพ์หรือมนุษย์ที่เล่นแร่แปรธาตุจนกระทั่งได้เป็นวิทยาธร ไม่อย่างนั้นอันตรัยระคงจะไม่ยอมจากไปง่ายๆ อย่างนี้หรอก ซ้ำยังพานางกับบุรุษผู้นี้ผ่านเข้ามาได้อีกด้วย ทั้งๆ ที่ข้าไม่สามารถสัมผัสพลังทิพยะจากพวกเจ้าได้”

ธีรวงศ์เริ่มเข้าใจได้รางๆ...มิน่า สัตว์หิมพานต์ทั้งหลายจึงพากันหลีกหนีหาย อาจเป็นเพราะกระแสอำนาจแห่งเทวะที่แฝงอยู่ภายใน แต่ก็ไม่อยากเอ่ยถึงให้ต้องหาคำอธิบายมาตอบคำถามที่จะตามมาอีก จึงยื่นขนนกสีขาวบริสุทธิ์ให้รัตนทัตต์ดูเพื่อเบี่ยงประเด็น

“พวกเราคงเข้ามาได้เพราะของสิ่งนี้น่ะ”

“ขนปีกกินรี!” รัตนทัตต์อุทานอย่างแปลกใจ “พวกท่านได้มันมายังไง”

“จากนางกินรีตนหนึ่งที่เราพบบริเวณปากทางเข้าหิมพานต์ นางขโมยของสำคัญบางอย่างของเราหนีกลับเข้ามา เราถึงต้องมาตามเอาคืน แล้วก็...ยังมีทับทิมผลนี้อีกที่นางลืมทิ้งไว้”

รัตนทัตต์รับผลทับทิมสีแดงสุกปลั่งจากมือธีรวงศ์ ไม่เพียงแค่คุ้นตาเท่านั้นหากมันยังมีกลิ่นอายพลังที่เขาเคยสัมผัสหลงเหลือไว้อยู่...ทับทิมที่นางกินรีน้อยแย่งไป!

“รวิชา...เอาอีกแล้ว” ไกรสรราชสีห์พึมพำอย่างหนักใจ

“ท่านรู้จักนางหรือ” ธีรวงศ์ถามอย่างตื่นเต้น หากผู้ที่ตอบก่อนคือวิรุฬห์

“ใครๆ ก็รู้จักนางทั้งนั้นแหละ ท่านธีรวงศ์” ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของนางคงขจรไกลน่าดู...อย่างนี้ก็น่าจะตามหาได้ง่าย!

“ข้าคิดว่านางคง...ไม่ได้ตั้งใจจะขโมยของท่านหรอก นางอาจจะเอาแต่ใจไปบ้าง แต่...จริงๆ แล้วนางมีจิตใจดีนะ”

จำไว้นะ รวิชา! เจ้าติดหนี้บุญคุณข้าที่ช่วยพูดรักษาภาพพจน์ให้เจ้า

“ท่านรู้จักนาง? ถ้าอย่างนั้นช่วยพาเราไปพบนางได้มั้ย”

  “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ข้าจะพานางมาพพวกท่านก็แล้วกัน”

  “ทำไมจะต้องไปพานางมาหาเรา ถ้าพาพวกเราไปหานางจะไม่เร็วกว่าหรือ...แล้วทำไมจะต้องเป็นพรุ่งนี้” ศตายุที่นิ่งฟังอยู่นานถามด้วยความสงสัยที่ไกรสรราชสีห์พยายามกล่าวเลี่ยงตลอด

“นางเป็นราชธิดาเทวกินราแห่งสุวรรณนครา นครในโลกมนุษย์ของพวกท่านคงมีกฏเกณฑ์ต่างๆ มากมาย ที่นี่ก็ไม่ต่างกัน เวลาใกล้ค่ำเช่นนี้ท่านคิดว่าสมควรแล้วหรือที่เราจะขึ้นไปพบราชธิดาเทวกินรา ที่สำคัญพวกท่านเป็นมนุษย์แต่สามารถเข้ามาในหิมพานต์ได้เพราะมีขนปีกกินรีไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“ไม่ดียังไง?” มนุษย์สาวโฉมงามผู้มาเยือนหิมพานต์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็ถ้ามีขนปีกกินรีหรืออะไรอย่างอื่นจากร่างกายของชาวหิมพานต์ตกหล่นอยู่ภายนอกง่ายดายขนาดนี้ พวกมนุษย์ก็อาจจะพบเจอทางเข้าหิมพานต์ได้ง่ายๆ น่ะสิ พวกท่านคิดว่าป่าหิมพานต์จะเป็นยังไง ถ้าหากมีมนุษย์เข้ามาเดินเพ่นพ่านปะปนกันไปหมด”

คำอธิบายของไกรสรราชสีห์ทำให้ทั้งสามมองหน้ากันอย่างครุ่นคิด

“หมายความว่า...การที่นางกินรีตนนั้นทำขนปีกตกไว้นอกเขตแดนหิมพานต์ ถือเป็นความผิดอย่างนั้นหรือ” ธีรวงศ์ลองถามหยั่งเชิง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็พอจะหาทางเอาขลุ่ยแก้วคืนมาได้ไม่ยาก ยิ่งไกรสรราชสีห์มีท่าทีอึกอักที่จะตอบ ชายหนุ่มก็ยิ่งมั่นใจ

“ถ้าอย่างนั้นกินรีนางนั้นก็ไม่ได้ผิดเพียงแค่เผลอทำขนปีกหล่นเอาไว้ แต่ยังผิดเพราะขโมยของๆ มนุษย์หลบหนีเข้ามาด้วย” คำกล่าวหาของศตายุเสมือนเป็นคำขู่กรายๆ ที่ผู้ฟังได้แต่หนักใจแทนเจ้าของขนปีกสีขาวสกาว

“พวกท่านคิดจะเอาเรื่องนี้มาข่มขู่นางอย่างนั้นหรือ”

รวิชาเอ๋ย...ท่าทางว่าเจ้าจะพบคู่ปรับที่คู่ควรกับความแสบสันต์ของเจ้าเข้าเสียแล้วล่ะ!

“ถ้ามันไม่มีทางเลือก เราก็คงจะต้องทำ” ธีรวงศ์ยืนยัน เป็นครั้งแรกที่เขานึกชื่นชมความคิดเห็นของศตายุ

“ถ้าท่านทำเช่นนั้น นางก็คงจะเดือดร้อนมากทีเดียว...แต่ใช่ว่าพวกท่านจะได้เปรียบนะ” รัตนทัตต์เอ่ยเตือน

“ท่านหมายความว่ายังไง”

“ในความคิดของมนุษย์ พวกท่านมองสัตว์เดรัจฉานในโลกของท่านว่าต่ำต้อยกว่า ที่นี่ก็เฉกเช่นเดียวกัน พวกเราถือว่าหิมพานต์คือดินแดนที่เชื่อมต่อระหว่างมนุษยโลกและสรวงสวรรค์ สัตว์ส่วนใหญ่ของที่นี่ก็ถือว่าตนเองสูงส่งกว่ามนุษย์อย่างพวกท่านเหมือนกัน”

“รวมถึงท่านด้วยรึเปล่า” จอมนารีถามออกมาตรงๆ ซึ่งไกรสรราชสีห์ก็ยกยิ้มที่มุมโอษฐ์กับความอาจหาญเกินวิสัยสตรี

“ก็มีบ้าง ถ้าหากมนุษย์คนนั้นกระทำตนให้น่ารังเกียจเหยียดหยาม...เหมือนอย่างอันตรัยระนั่นไง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นมนุษย์ ฝึกฝนเล่นแร่แปรธาตุจนกลายเป็นวิทยาธร แต่จิตใจก็มิได้เจริญตาม...เอาเถอะ ไม่ว่ายังไงทุกสรรพชีวิตในสังสารวัฏก็ถูกแบ่งชนชั้นวรรณะอยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าที่นั่นจะเป็นเขตแดนของใคร...ต่อให้รวิชาทำผิดจริง ชาวหิมพานต์ก็ย่อมต้องเข้าข้างและช่วยเหลือนางมากกว่ามนุษย์อย่างพวกท่านอยู่แล้ว”

ทั้งสามนิ่งงัน จำนนต่อสิ่งที่ไกรสรราชสีห์พูดมา เพราะมันคือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...ณ ที่นี้คือดินแดนหิมพานต์ มิใช่โลกมนุษย์ที่เคยคุ้นมาแต่กำเนิด!

“ทางที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่ายคือการเจรจา ถ้าพวกท่านสามารถตกลงกับรวิชาได้ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โต”

“หมายความว่าเราไม่มีทางเลือกใช่มั้ย นอกจากรอให้นางมาพบ?”

“นางเป็นถึงราชธิดาเทวกินราน่ะ ท่านคงต้องทำใจ” วิรุฬห์กล่าวเสริม พยายามผ่อนปรนความตึงเครียดที่อาจนำมาสู่การวิวาทด้วยความไม่เข้าใจ

“พวกท่านคงเหนื่อยกันมามาก ยังไงคืนนี้ก็พักที่ถ้ำแก้วของข้าก่อนแล้วกัน ถือว่าเป็นการขอโทษแทนนางกินรีเพื่อนข้าที่ทำให้พวกท่านต้องวุ่นวาย” รัตนทัตต์ชักชวนอย่างมีน้ำใจ แต่มันก็ยากที่จะไว้วางใจเสียทีเดียว จนกระทั่งวิรุฬห์ต้องช่วยยืนยันอีกครั้ง

“ข้าเห็นด้วยกับท่านรัตนทัตต์นะ ไหนๆ ก็ยังขึ้นไปบนสุวรรณนคราไม่ได้ พวกท่านก็ควรจะหาที่พักที่ปลอดภัยเสียก่อน หิมพานต์แม้จะสวยงามแต่อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ”

“ไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่าถ้ำแก้วของข้าอีกแล้ว ผู้ที่จะเข้าไปได้จะต้องได้รับคำอนุญาตจากข้าเท่านั้น รับรองอันตรัยระไม่มีทางราวีพวกท่านได้”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องขอรบกวนท่านสักคืน” ในที่สุดธีรวงศ์ก็ต้องยอมรับความช่วยเหลือจากไกรสรราชสีห์

“ในเมื่อท่านมีที่พักพิงที่ปลอดภัยแล้วก็ค่อยวางใจหน่อย แล้วข้าจะหมั่นมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ระหว่างที่ท่านยังอยู่ในหิมพานต์นะ...ถ้าหากต้องการความช่วยเหลือใด ข้าก็ยินดีช่วยท่านจนสุดความสามารถ”

“ขอบใจเจ้ามาก วิรุฬห์”

ธีรวงศ์มองตามนาคปักษิณที่โผผินขึ้นสู่ผืนนภาซึ่งกำลังราแสงแห่งสุริยา เกล็ดเลื่อมพรายและขนปีกเขียวมรกตสะท้อนแสงอัสดงเป็นเงาระยิบก่อนจะลับหายไปในเงาสิงขรนับร้อยนับพันลูกที่ลดหลั่นกันไป จากนั้นทั้งสามจึงจะตามไกรสรราชสีห์ไปยังถ้ำที่พัก

:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:  
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:*:

ปล. ขอ edit ลำดับตอนค่ะ ลงลำดับตอนผิด T_T"

แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 55 20:18:14

 
 

จากคุณ : บทเพลงปีศาจ
เขียนเมื่อ : 16 มิ.ย. 55 17:56:24




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com