บทที่ 21 ยึดอำนาจ
รีบไปดูเร็วเข้า ทำไมหมอหลวงยังไม่มานะ เสียงตงเหมยดังออกมาจากด้านในห้อง พระนางเพคะ ทรงดื่มน้ำหวานสักหน่อยนะเพคะ จะได้ทรงรู้สึกสดชื่นขึ้น
เสียงด้านในดังสับสนอลหม่าน ฉันกำลังจะเดินเข้าไปอวี้เกอเอ๋อร์ก็วิ่งสวนออกมา เธอเพียงพยักหน้าให้ ไม่มีเวลาแม้แต่จะทักทาย จากนั้นเร่งให้พวกขันทีน้อยไปตามหมอหลวง ฉันเลิกม่านเข้าไปด้านในก็เห็นตงเหลียนกำลังนั่งคุกเข่านวดถวายพระนางเต๋อเฟยอยู่บนพรม พระนางทรงเอนพระกายกับหมอนอิงใบใหญ่ ปรือพระเนตรน้อยๆ ตงเหมยคอยป้อนน้ำหวานถวายทีละจิบ ฉันเดินเข้าไปหาอย่างแผ่วเบา สองสาวตระกูลตงหันมาทางฉันและพยักหน้าให้น้อยๆ ฉันสังเกตสีพระพักตร์ของพระนางดูแดงเรื่อผิดปกติ บางทีก็ทรงไอ ขอบพระโอษฐ์แตกแห้ง ฉันจึงลองยื่นมือไปอังพระนลาฏเบาๆ...ร้อนจริงๆ ด้วย! คงทรงมีไข้ แต่ก็ไม่น่าจะหนักหนา
ตงเหมยขยับเข้ามาใกล้ เสี่ยวเวยเจ้าว่าควรจะทูลองค์ชายสี่หรือไม่ องค์ชายสิบสามและองค์ชายสิบสี่ต่างเสด็จไปไกล ข้าเกรงว่า...
ฉันก็อยากให้เป็นอย่างนั้นจะแย่ ใจคิดจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่เหลือบเห็นพระนางทรงขยับเปลือกพระเนตร พระขนงขมวดแน่นคล้ายกับจะทรงตื่น ฉันรีบเปลี่ยนความคิดกระซิบบอก
อย่าเพิ่งรีบร้อนเลย รอให้หมอหลวงดูพระอาการก่อนค่อยว่ากันเถอะ เวลานี้องค์ชายสี่ทรงรับมอบหมายพระราชกิจของฝ่าบาท ทิ้งงานมาง่ายๆ ไม่ได้หรอก และถ้าหากพระอาการไม่ค่อยดีจริงๆ เราค่อยทูลเชิญเสด็จก็ยังไม่สาย
ตงเหมยคิดแล้วก็พยักหน้า หันไปโบกมือให้บรรดาสาวใช้แยกย้ายไปทำงาน ฉันแอบมองพระนางแวบหนึ่ง ยังทรงหลับพระเนตรอยู่ แต่มุมพระโอษฐ์แย้มพระสรวลน้อยๆ คงจะทรงพอพระทัยในวิธีของฉัน ฉันถอยมาอีกด้านหนึ่งเพื่อเอาผ้าชุบน้ำในอ่างมาส่งให้ตงเหมยเช็ดพระพักตร์ลดอุณหภูมิให้พระนาง ฉันหยิบจับทำเป็นมือไม้ไม่ว่างเพื่อหาเหตุผลให้ได้รอดูอยู่ในนี้
ม่านเลิกขึ้นแล้ว หลีไห่เอ๋อร์โผล่เข้ามาคุกเข่าคำนับ
ทูลพระนาง ท่านหมอหลวงลู่มาถึงแล้ว ให้เขาเข้ามาเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ
ตงเหลียนลุกขึ้นยืนและช่วยตงเหมยปล่อยชายมุ้งลง มีเพียงพระกรข้างหนึ่งของพระนางเท่านั้นที่โผล่พ้นมุ้งออกมา ตงเหมยพับแขนฉลองพระองค์ เลื่อนพระกำไลขึ้น และวางผ้าขนหนูผืนหนึ่งปิดข้อพระกรของพระนางตามกฎมนเทียรบาล เสร็จแล้วจึงหันไปโบกมือให้หลีไห่เอ๋อร์ ขันทีน้อยโค้งคำนับก่อนจะหันตัวออกไปเชิญหมอหลวงลู่ ฉันจำเขาได้ เมื่อตอนที่องค์ชายสี่และองค์ชายสิบสามได้รับบาดเจ็บครั้งก่อน เขาเป็นคนถวายการรักษา เป็นคนที่มีฝีมือการแพทย์ดีมากๆ ทีแรกฉันคิดว่าเขาตามเสด็จฝ่าบาทเสียอีก ไม่คิดเลยว่าเขาจะอยู่ถวายการรับใช้พระนางเต๋อเฟยทางนี้ ดูท่าพระนางจะทรงเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมากจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจักรพรรดิคังซีทรงรักพระนางจริงๆ? หรือเพราะพระโอรสที่เกิดแต่พระนางสมดังพระทัย?
ฉันคิดเพ้อเจ้ออยู่ข้างๆ ขณะที่หมอหลวงลู่ถวายบังคมคล่องแคล่วว่องไว แล้วเขาก็นั่งลงบนม้านั่งที่ตงเหลียนจัดไว้ให้เพื่อตรวจพระชีพจรของพระนาง ภายในห้องเงียบสนิทพักหนึ่ง แทบจะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
ฉันหวังให้เขาบอกว่าพระอาการของพระนางค่อนข้างหนัก เพราะจะทำให้ฉันจัดการอะไรได้สะดวกขึ้น แต่ฉันก็รู้แก่ใจดี ภายในวังหลวงถือเรื่องป่วยไข้มากๆ ถึงแม้พระอาการจะหนัก แต่หมอหลวงลู่ย่อมไม่พูดออกมาตรงๆ แน่ ครู่หนึ่งหมอหลวงก็ยืดตัวขึ้นกล่าวเสียงแจ่มชัด
พระพลานามัยของพระนางมิได้เป็นอันใดมาก เพียงแต่ต้องลมบนเขามากจึงทรงมีไข้ กระหม่อมจะสั่งพระโอสถที่บรรเทาพระอาการไข้ ขจัดพิษ และขับไอชื้น ให้พวกแม่นางต้มถวายเสวยไม่เกินสามครั้ง พระอาการก็จะหายพ่ะย่ะค่ะ
อืม รบกวนท่านหมอลู่แล้ว เสี่ยวเวย...
พระนางทรงเรียกฉันอย่างกะทันหันจนฉันตกใจ
เพคะ
เจ้าตามท่านหมอหลวงลู่ไปรับใบยาแล้วให้คนไปต้มมานะ
เพคะ หม่อมฉันรับบัญชา ฉันค้อมตัวถวายความเคารพก่อนประสานมือคำนับหมอหลวงลู่ ท่านหมอหลวงเชิญทางนี้เจ้าค่ะ
หมอหลวงลู่ยิ้มใจดี
แม่นางเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญ เขาเก็บเครื่องมือลงกล่องแพทย์แล้วเดินตามฉันไปที่ห้องข้างๆ เพื่อเขียนใบสั่งยา
ปุดๆๆ...
กลิ่นยาจีนฉุนๆ ตลบอวลไปทั่วครัว ขันทีฉินอวี้เหงื่อผุดเต็มหน้าคอยดูหม้อยาไม่ให้ไฟแรงเกิน ไม่งั้นจะทำให้เสียฤทธิ์ยา การต้มพระโอสถนั้นต้องมีเจ้าหน้าที่เฉพาะ ก่อนฉินอวี้จะเข้าวังมาเขาเคยเป็นลูกมืออยู่ในร้านยามาก่อน ก็เลยพอเข้าใจหลักอยู่บ้าง ส่วนฉันไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเลย แล้วก็ไม่กล้ายุ่มย่ามอะไรด้วย เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายแบบนี้ไม่เอาด้วยเด็ดขาด
ฉันเดินไปเดินมาอยู่ด้านหนึ่ง คิดถึงคำพูดของหมอหลวงลู่เมื่อกี้นี้ พระอาการของพระนางไม่ได้รุนแรง แค่พักรักษาดีๆ ก็พอ อากาศบนภูเขาบริสุทธิ์ขนาดนี้ยิ่งเป็นผลดีกับการรักษา ที่ต้องทำก็คือจัดเครื่องเสวยอ่อนๆ ถวายเท่านั้น ส่วนพระนางเองก็ทรงไม่ต้องการสิ่งใดเป็นพิเศษ ฉันเลยหมดเรื่องจะอ้างเลยคราวนี้...โอ๊ย ปวดหัวจนต้องนวดขมับ...อาหารอ่อนๆ เหรอ! ฉันจำได้ว่าเวลาเป็นหวัดลิ้นเราจะไม่รับรส แถมยังห้ามกินเค็มเพราะมีผลต่อการขับเหงื่อ ร่างกายจะขาดน้ำ ทำให้หวัดหายช้า ดีไม่ดีอาจจะอาการหนักขึ้นด้วยซ้ำ
ฮ่า! ฉันร้องดีใจพาให้คนในครัวตกใจหันมามองกันเป็นตาเดียว ฉันยิ้มเขินเดินไปอีกทางหนึ่ง คนอื่นๆ เห็นว่าไม่มีอะไรเลยหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อไม่สนใจฉันอีก...ฮ่าๆๆ ฉันแอบหัวเราะในใจ การใส่ยาพิษจะทำให้ถึงตาย แต่ถ้าใส่เกลือล่ะ? ฉันแกล้งทำเป็นเดินดูโน่นดูนี่เรื่อยเปื่อย สอดส่ายสายตามองหาว่ากระปุกเกลืออยู่ตรงไหน ดีที่โต๊ะข้างเตามีกระปุกวางเรียงเป็นแถว เลยเดาว่าน่าจะเป็นกระปุกเครื่องปรุง ถึงฝีมือการทำอาหารของฉันจะแค่ขั้นธรรมดา แต่ก็แยกออกนะว่าอันไหนเกลืออันไหนน้ำตาลทราย แต่การจะเดินเข้าไปหยิบเนี่ยสิ ไม่ใช่ง่ายๆ เลย พ่อครัวใหญ่เห็นฉันยุ่มย่ามเกะกะจึงชะโงกหน้ามาพูดเย้า
แม่นางหมิงเวย อยากกินอะไรท่านบอกข้าได้นะ เดี๋ยวข้าจะทำให้
งั้นก็ต้องขอบคุณท่านจริงๆ พักนี้ข้าท้องไส้ไม่ค่อยดี อยากจะกินข้าวต้มผัก
พ่อครัวหลิวยิ้ม ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ แล้วเขาก็หันไปมองฉินอวี้ก่อนจะยิ้มบอกอีกครั้ง พระโอสถของพระนางท่านคงไม่งวดในเร็วๆ นี้หรอก เช่นนั้นข้าจะทำให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย
ฉันยิ้มตาหยี ดีเลย ต้องขอบคุณท่านจริงๆ
นางในระดับนางข้าหลวงอย่างฉันจริงๆ แล้วก็พอมีอำนาจให้คนประจบเอาใจอยู่บ้าง แต่ฉันไม่ชอบใช้อำนาจแบบนั้น ก็เลยไม่ค่อยได้ไปสุงสิงกับพวกเขาเท่าไหร่ แต่คราวนี้ฉันมาแบบมีจุดประสงค์ พ่อครัวคนนี้เองก็ไม่ทันระวังระไว คิดแต่จะอาศัยโอกาสตีสนิทกับฉัน ฉันก็ขอใช้เขาเป็นเครื่องมือหน่อยแล้วกัน
พ่อครัวหลิวใช้เวลาไม่นานกลิ่นข้าวต้มหอมๆ ก็ลอยมาเตะจมูก ประเดี๋ยวเดียวข้าวต้มผักร้อนๆ ชนิดเห็นข้าวปุดๆ ก็รอพร้อมอยู่ในชาม พ่อครัวหลิวส่งชามให้ฉัน
ระวังหน่อยนะแม่นาง ประเดี๋ยวจะลวกมือ
ฉันรับมาพร้อมกล่าวขอบคุณ จากนั้นฉันก็ชิมดู รสชาติเยี่ยมทีเดียว แต่ฉันก็ต้องทำเป็นแลบลิ้นแผลบๆ หันไปยิ้มพูดกับเขา
ดูเหมือนรสจะอ่อนไปนิด
อ๊ะ จริงหรือ ท่านรอประเดี๋ยว! ว่าแล้วเขาก็หันไปหยิบเกลือออกมาจากกระปุกลายครามทางด้านหนึ่งแล้วโรยใส่ชามให้ฉัน ฉันหรี่ตามองอย่างละเอียด จากนั้นก้มลงดื่มน้ำข้าวต้มก่อนเงยขึ้นมายิ้ม
กำลังดีแล้ว
ฉันหันกลับไปมองทางฉินอวี้ ยาที่ต้มไว้จวนจะได้แล้วเหมือนกัน ฉันเลยให้ขันทีน้อยคนหนึ่งเอาชามข้าวต้มไปไว้ในห้องของฉันก่อน แล้วจึงหันไปโปรยยาหอมให้พ่อครัวหลิวอีกรอบ ก่อนจะนำฉินอวี้ให้ยกยามาส่งที่ห้องบรรทมของพระนาง
พระนางเต๋อเฟยเสวยยาแล้วก็ทรงพักพระอิริยาบถ แต่เพราะทรงปวดพระเศียรมาก ตงเหลียนจึงนวดถวายและทูลถามว่าทรงอยากเสวยอะไร พระนางส่ายพระพักตร์ ฉันยังไม่ทันพูดอะไรตงเหมยก็ทำท่าพยักพเยิดกับฉัน ฉันจึงทูลพระนางว่าท่านหมอแนะให้เสวยอะไรบ้าง จะช่วยให้หายไวขึ้น พระนางจึงพยักพระพักตร์
เช่นนั้นก็ทำข้าวต้มอ่อนๆ มาให้ข้าสักชามก็พอ
ฉันค้อมหน้ายิ้มรับรีบไปที่ครัว เมื่อสั่งกับพ่อครัวหลิวเขาก็ไม่กล้ารอช้าลงมือตั้งไฟทันที และเพราะครัวนี้ใช้ต้มพระโอสถ จึงกลัวว่าถ้ามากคนจะทำให้สกปรกเลอะเทอะ ไม่เป็นผลดีกับพระอาการ จึงมีคนประจำอยู่เพียงไม่กี่คน ฉันอาศัยจังหวะที่พ่อครัวหลิวเผลอหยิบเกลือกำใหญ่ใส่ในถุงพกด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ หางตาเหลือบเห็นเงาขันทีน้อยยกข้าวต้มมาหยุดเยื้องไปด้านหลังจึงหันกลับมารับชามข้าวต้มไปเอง จากนั้นฉันก็มองซ้ายมองขวาแอบโรยเกลือส่วนหนึ่งลงไป คนให้เข้ากันแล้วจึงยกไปถวาย
ตงเหมยและตงเหลียนพยุงพระนางขึ้นและช่วยจัดเตรียมสถานที่ให้ฉันวางเครื่องเสวย ฉันทำตามกฎคือต้องเทียบสำรับพิสูจน์พิษให้พระนางก่อน...แม่เจ้า! น้ำตาฉันแทบร่วง เค็มมหาเค็มเลย! แผลร้อนในในปากมันปวดแสบปวดร้อนไปหมด พวกนักโทษที่ถูกโบยแล้วโดนสาดน้ำเกลือซ้ำเขาทรมานอย่างนี้นี่เอง
ฉันแอบหวั่นในใจ ถ้าพระนางยังทรงพอรับรสได้ฉันแย่แน่ ฉันตักข้าวต้มคำหนึ่งเชิญให้พระนางเสวยช้าๆ แข็งใจสู้มองพระนาง...ทรงกลืนไปแล้ว
เสี่ยวเวย ตงเหมยสะกิดฉันทีหนึ่งแล้วทำปากบุ้ยใบ้...เหวอ...พระนางทรงรอให้ฉันป้อนคำต่อไปอยู่นานแล้ว ฉันรีบตักข้าวต้มป้อนถวายต่อ โล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตงเหลียนแซวฉันประมาณว่าถวายการรับใช้ไม่ได้เรื่อง แต่ฉันก็แกล้งทำหูทวนลมไม่รู้ไม่ชี้ พระนางเสวยได้ครึ่งชามก็ทรงหันมามองฉันอย่างพินิจ พาให้ใจฉันหล่นวูบ
เสี่ยวเวย เจ้าร้อนในใช่หรือไม่ ปากเจ้ามีตุ่มพอง
อ๊ะ เพคะ เอ๊ย ไม่เป็นไรเพคะ ฉันยิ้มเจื่อนตอบตะกุกตะกัก หัวใจเต้นด้วยอัตราร้อยห้าสิบครั้งต่อนาที
ตงเหมยนั่งหัวเราะอยู่ข้างๆ พลางทูลตอบพระนางแทนฉันว่าเป็นมาหลายวันแล้ว ตั้งแต่วันที่องค์ชายสิบสามเดินทางตามเสด็จ ฉันถลึงตาใส่ตงเหมย พระนางทรงได้ยินก็แย้มพระสรวล
เช่นนั้นเจ้าก็ไปพักเถอะ ตรัสพลางเอนพระกายพิงหมอน
ฉันยิ้มตอบ ไม่เป็นไรเพคะ พระองค์ประชวรเช่นนี้หม่อมฉันกลับไปพักก็คงไม่สนิทใจ พูดได้หน้าไม่อายจริงๆ เลยฉัน
พระนางทรงตีหลังมือฉันเบาๆ เช่นนั้นเจ้าเอาข้าวต้มชามนี้ไปกินต่อเถิด ถึงข้าจะไม่รู้รส แต่ก็รู้สึกคล่องคอ เจ้าร้อนในอยู่ กินนี่แล้วคงดี แล้วพระนางก็ทรงเอนพระกายบรรทมเพราะพระโอสถของพระนางมีฤทธิ์ทำให้รู้สึกง่วง
ฉัน...เข้าใจแล้วว่าอะไรคือน้ำตาตกใน อะไรคือให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ฮือ...ได้แต่ยิ้มเหยขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ ฉันยกชามมาทางหนึ่ง มองข้าวต้มแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ อยากจะสะบัดแขนสาดข้าวต้มทิ้งไปนอกหน้าต่างจริงๆ เลย แต่ตามกฎมนเทียรบาลแล้วหากเจ้านายประทานเครื่องเสวยมาให้ก็ต้องกินให้หมด ฉันคนๆ ข้าวต้มอย่างอ้อยอิ่ง ทำยังไงก็ไม่กล้าตักขึ้นมาจนตงเหลียนเดินมามองฉัน
รีบกินเข้าสิ เย็นแล้วจะไม่อร่อยนะ
ฉันฉีกยิ้มแต่ในใจขมขื่น ใช่! เธอพูดถูก ข้าวต้มเย็นๆ เค็มๆ คงแย่กว่าตอนร้อนๆ ฉันหลับตาแข็งใจตักเข้าปาก...ที่แท้ในโลกมีวิธีตายอีกหนึ่งวิธี...เค็มตายแบบนี้ไง คืนนั้นฉันเลยต้องวิ่งเข้าห้องน้ำหลายรอบ ช่วยไม่ได้นี่นา ก็ดันดื่มน้ำตามมากไปหน่อย
ฉันทำแบบนี้มาสองวัน ไม่ว่าจะข้าวต้มหรือน้ำแกงฉันจะเติมเกลือให้พระนางทุกครั้ง แต่พระอาการก็ไม่ได้ทรุดลงเลย พระองค์เพียงบ่นว่าคอแห้งมากและเสวยอะไรไม่รู้รส ท่านหมอหลวงลู่ก็ไม่เข้าใจสาเหตุเหมือนกัน จับพระชีพจรบอกได้ว่าไอชื้นไม่ได้ขับออก ครั้นขอยาที่แรงขึ้นเขากลับไม่กล้าสั่งให้ เพราะถ้าหากรับยาที่แรงเกินไปเขาอาจจะรับผลที่ตามมาไม่ไหว พระนางทรงดีเหลือเกิน เพียงแต่ทุกครั้งที่ฉันป้อนพระกระยาหารพระนางก็จะประทานส่วนที่เหลือให้ฉันเรื่อยไป มีคนเคยบอกว่ากินเกลือมากๆ จะกลายเป็นค้างคาว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปฉันกับพระนางเต๋อเฟยคงมีปีกงอกจริงๆ แน่
ฉันต้องดื่มน้ำวันละหลายๆ ชามใหญ่ จากนั้นก็ไปปล่อยเบาวันละหลายๆ รอบ ริมฝีปากแห้งแตกจนคิดว่าภารกิจคงจะล้มเหลวในไม่ช้า นี่ถ้าองค์ชายสี่ยังไม่มาอีกล่ะก็ ฉันจะกลายร่างเป็นมนุษย์ค้างคาวแล้วนะ เป็นค้างคาวที่ขโมยเกลือเก่งซะด้วย
ฉันเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำก็มีคนร้องทัก
เสี่ยวเวย เจ้าไปไหนมาหรือ
สองวันมานี้ฉันหัวตื้อจนตาลาย เลยเห็นแค่เงาอยู่ด้านหน้า พอมองดูดีๆ ถึงพบว่าเป็นอวี้เกอเอ๋อร์ เธอเข้ามาดึงฉันไป
เจ้าจะทำอะไร ฉันมึนๆ งงๆ ไม่หาย
องค์ชายสี่เสด็จมา ตอนนี้เจ้านายทั้งสองทรงประทับอยู่ที่เรือนกลางแล้ว
อะไรนะ?! คราวนี้ฉันตื่นตัวทันทีและเป็นฝ่ายดึงเธอรีบเดินไป ทำเอาอวี้เกอเอ๋อร์งงงวย
เมื่อมาถึงด้านนอกเรือนกลางฉันก็เห็นองค์ชายสี่กำลังยืนวางตัวตามสบายอยู่ในนั้น เฮ้อ...เขามาแล้วจริงๆ ฉันทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันกลัวว่าถ้าสั่วเอ๋อถูลงมือแล้วองค์ชายสี่จะมาไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันภาวนาขอให้เขาลงมือเร็วๆ เลย องค์ชายสี่จะได้กลับไปไม่ได้แทน
อวี้เกอเอ๋อร์เดินเข้าไปด้านในก่อน ฉันเดินตามเข้าไปก็เห็นองค์ชายสี่ลงนั่งข้างๆ เตียงพระบรรทมของพระนางพอดี เขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงหันมามอง ดวงตาสีดำของเขามองฉันแบบสังเกตหลายทีแล้วก็หยุดชะงัก คงจะเห็นสีหน้าซีดเซียวของฉัน... ฉันเดินเข้าไปทำความเคารพเขา เสียงตอบรับขององค์ชายสี่ยังคงเรียบเฉยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จากนั้นฉันก็ถอยออกมายืนหลบอยู่ข้างๆ ตงเหลียน ฟังพระนางตรัสคุยกับองค์ชายสี่
แม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าเสียเวลา ใครจะรู้ว่าพวกบ่าวไพร่ทั้งหลายจะเจ้ากี้เจ้าการนัก เรียกเจ้ามาจนได้
พระนางตรัสแล้วก็ทรงไอ องค์ชายสี่จึงรีบเข้าลูบพระปฤษฎางค์เบาๆ
หากลูกทราบเร็วกว่านี้ก็คงมาถึงนานแล้ว เสด็จแม่วางพระทัยเถิด องค์รัชทายาททรงฝากให้ลูกมาคารวะเสด็จแม่เช่นกัน ในเมืองนั้นมิได้มีกิจอันใดนัก ต่างก็มีผู้ดูแลจัดการอยู่แล้ว พระพลานามัยของเสด็จแม่สำคัญกว่า เขาหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ เมื่อครู่ลูกได้คุยกับท่านหมอลู่ หากจะเพิ่มพระโอสถก็มิน่าเป็นปัญหา
พระนางทรงพยักพักตร์อย่างโรยแรง ทำตามที่เจ้าเห็นสมควรเถิด
พ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสี่ค้อมตัวน้อมรับ เสด็จแม่พักผ่อนเถิด ลูกก็จะไปพักเช่นกัน
อืม เจ้ารีบเดินทางมาคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย รีบไปเถิด
พระนางเต๋อเฟยหันพระกายลงนอน ตงเหมยจึงรีบเข้าไปดูแล องค์ชายสี่ถอยออกไปจากห้อง ส่วนฉันยังยืนอยู่ ไม่อยากจะออกไปเท่าไหร่ แม้จะสามารถทำให้องค์ชายสี่เลี่ยงออกมาจากเมืองหลวงได้ แต่จะรั้งเขาไว้ยังไงฉันก็ยังไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นคือฉันไม่กล้าพบเขาเพราะเรื่องถุงพกนั่น
ในที่สุดพระนางก็บรรทม พวกเราออกมาจากห้องอย่างแผ่วเบา ฉันแอบถามหลีไห่เอ๋อร์
องค์ชายสี่เล่า
ขันทีน้อยบอกว่าเขาไปปรึกษาเรื่องพระอาการกับหมอหลวงลู่ ฉันเลยกลับห้องของตัวเองด้วยความโล่งอก
ภายในเรือนที่ฉันพักกับพวกของตงเหลียนเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่สักคน ดีเหมือนกัน ฉันจะได้นอนอย่างสงบสักที หลายวันที่ผ่านมาฉันแบกรับอะไรไว้มากพอดู ยังไงเสียองค์ชายสี่ก็คงจะไม่รีบกลับหรอกน่า เมื่อเขามาถึงที่นี่แล้วก็คงจะรอให้พระอาการของพระนางดีขึ้นก่อน เว้นแต่ว่า... ฉันส่ายหน้าไม่อยากคิดต่อ ขอไม่คิดถึงเรื่องนั้นชั่วคราว ในที่สุดวันนี้ฉันก็ได้บอกลาเจ้าเกลือแล้ว! เฮอะๆ...ฉันผลักประตูเปิดกำลังจะก้าวเข้าไปก็พลันรู้สึกถึงความผิดปกติ ฉันล็อกเอาไว้นี่นา ทำไมถึง... ฉันเงยหน้าขึ้นมองทันที แล้วก็ต้องค้างอยู่ตรงประตู องค์ชายสี่ยืนหันหลังอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ
ชั่วขณะนั้นเสียงลมหายใจของฉันเหมือนดังสะท้อนอยู่ภายในห้อง องค์ชายสี่ค่อยๆ หันตัวมาช้าๆ แค่เห็นใบหน้าด้านข้างของเขาสมองฉันก็ว่างเปล่า ปากพลันหลุดประโยคที่ไม่ได้คิดออกไป
ขอโทษที เข้าห้องผิด พูดจบฉันก็หมุนตัวเดินออกทันที ใจคิดจะวิ่งหนี แต่ก้าวได้แค่สองก้าวก็ถูกมือมือหนึ่งจับเข้าที่แขน
อ๊าย!
ฉันร้องตกใจและบิดแขนดิ้นหนี องค์ชายสี่จึงชะงักก่อนคลายการเกาะกุม แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตั้งสติเขาก็กลับกระชากฉันเข้าไปหา ฉันถูกบังคับให้ต้องสบตา สีหน้าของเขาเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงดูไม่ดีเลย ฉันดิ้นออกจากมือของเขาอย่างนิ่มนวลได้ในที่สุด รีบถอยหลังและย่อกายบังคม
ถวาย...
แต่ฉันก็พูดได้แค่นั้นเพราะองค์ชายสี่ทำเสียงฮึดฮัดใส่
นอกจากคำกล่าวพิธีรีตองพวกนี้เจ้าพูดอย่างอื่นไม่เป็นหรือไร
ฉันก้มหน้ากัดฟันนิ่ง เขาจะบีบคั้นอะไรฉันอีก ความเจ็บปวดที่ยากจะกดกลั้นแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ ฉันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มเรียบเฉย องค์ชายสี่สะอึก จ้องฉันนิ่ง
ถ้าทรงหมายความจะให้หม่อมฉันเรียกพระองค์ว่า พี่สี่ เกรงว่าตอนนี้จะเร็วไปกระมังเพคะ
พูดออกไปแล้วก็นึกเสียใจเหมือนกัน หน้าขององค์ชายสี่ซีดเสียจนแทบจะโปร่งแสง แต่ดวงตากลับดำเข้มจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง เขาจ้องฉันเขม็งไม่ละสายตาไปไหนเลยแม้แต่นิด ริมฝีปากสั่นน้อยๆ เขาจึงกัดมันอย่างไม่ปรานี และแล้วเลือดก็ซึมออกมาให้เห็น น้ำตาของฉันเอ่อขึ้นมาทันใด เผลอกุมสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอกของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
องค์ชายสี่มองฉันเนิ่นนาน อาจเพราะท่าทางของฉันมันบอกชัดถึงความรู้สึกข้างใน เขาจึงค่อยๆ เยือกเย็นลงและกลับมาเป็นคนที่จักรพรรดิคังซีทรงขนานนามว่า ผู้เข้มแข็งที่ไม่อาจมีสิ่งใดช่วงชิงปณิธาน เขาเป็นคนฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง จะมองไม่ออกได้ยังไง
ฉันหลับตาลง เมื่อครู่หม่อมฉันแสดงกิริยาไม่สมควร ไม่ทราบว่าองค์ชายสี่มีกิจอันใดให้หม่อมฉันรับใช้หรือเพคะ